Category Archives: ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

there is, there are กับ have, has ใช้ต่างกันอย่างไร

there is, there are กับ have, has ใช้ต่างกันอย่างไร

there is, there are กับ have, has ใช้ต่างกันอย่างไร

ถ้าจะบอกว่า  “มี”  ในภาษาอังกฤษ  ก็คงนึกถึงคำว่า  have / has  กันใช่มั๊ยคะ  แต่ยังมีอีกคำหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไป  คือ  there is / there are  แต่ถึงแม้ว่าทั้งสองคำจะใช้ในความหมายว่า  มี   แต่การนำเอาไปใช้ก็ต่างกันค่ะ

have กับ has  จะนำไปใช้ในกรณีที่ “มี” แบบเป็นเจ้าของ  คือ  ใครมีอะไร?  have/has จะถูกนำไปใช้ในรูปของคำกริยา  เช่น

  • She has a new luxury car.
    เธอมีรถหรูหราคันใหม่
  • All people have the right to make their own decision.
    ทุกคนมีสิทธิที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง
  • They don’t have much money.
    พวกเขาไม่ได้มีเงินเยอะ

(** has ใช้กับประธานเอกพจน์  และ have ใช้กับประธานพหูพจน์นะคะ ส่วนประธาน I ใช้ haveค่ะ )  ในภาษาพูดเราอาจจะได้ยินฝรั่งเค้าใช้คำว่า have got หรือ has got และมักจะใช้ในรูปย่อ  คือ ‘s got หรือ ‘ve got  เช่น

  • We’ve got so much work to do.   พวกเรามีงานมากมายที่ต้องทำ
  • She’s got long straight hair.          เธอมีผมยาวตรง

ส่วนเจ้า There is/ There are จะใช้ในกรณีที่พูดลอยๆขึ้นมาว่า “มี” แบบไม่มีเจ้าของ  คือไม่เน้นว่าใครมีอะไร  แต่เน้นสิ่งที่มีมากกว่า  เช่น

  • There is a little milk left in the fridge.   มีนมเหลืออยู่นิดหน่อยในตู้เย็น
  • There are a lot of places to visit in Thailand. มีที่ท่องเที่ยวมากมายในเมืองไทย
  • Is there five rooms in this house?     มีห้องอยู่ 5 ห้องในบ้านหลังนี้ใช่มั๊ย

( there is ใช้กับนามเอกพจน์นับได้ และนามนับไม่ได้  ส่วน there are ใช้กับนามพหูพจน์นับได้)    ถ้าลองสังเกตให้ดีประโยคแบบนี้มักจะขึ้นต้นด้วยคำว่า “มี”  และรูปประโยคมักจะเขียนในความหมายว่า  มีอะไรอยู่ที่ไหน?
ถ้าเป็นอดีต เราก็ใช้  there was, there were  เช่น

  • There were a lot of people at One Direction Concert last night.

แต่ถ้าได้อ่านเยอะๆ คุณอาจจะเจอกับตัวประหลาดเหล่านี้ค่ะ   There will be, There have been, There should be, There must be, There might be  ทั้งหลายทั้งมวลมันก็แปลว่า “มี”  นั่นแหละค่ะ  แต่มีในเวอร์ชั่นไหน ก็แล้วแต่คำที่ตามหลังมา   คำพวกนี้ร่างเดิมของมันก็คือ there is/there are นั่นแหละค่ะ  เพียงแต่พอเราเอา modal verbs (will, would, should, might, may, etc…)  หรือ verb ช่วย have/has ใน perfect tense ใส่เข้าไป    verb to be (is, are)  มันเลยต้องกลายร่างเป็น  be  หรือ  been  ตามแต่กรณี   ( be หลัง modal verb เพราะต้องการ verb to be รูปธรรมดา  และ  been หลัง have/has เพราะต้องการ verb to be ช่องที่ 3 )

  • There will be  ก็แปลว่า   จะมี
  • There should be     ก็แปลว่า   ควรจะมี
  • There must be   ก็แปลว่า   ต้องมี
  • There might be  ก็แปลว่า  อาจจะมี
  • There should be more concern on children’s mental health.
    ควรจะมีความใส่ใจกับสุขภาพจิตของเด็กให้มากกว่านี้
  • There must be something in the water.  มันต้องมีอะไรอยู่ในน้ำนั่นแน่ๆ
  • There have been a lot of efforts to solve violent problems in Thailand.
    มีความพยายามอย่างมากในการแก้ปัญหาความรุนแรงในไทย   (ประโยคนี้ใช้ในรูปของ Present perfect tense)

No กับ Not ใช้ต่างกันอย่างไร

No กับ Not ใช้ต่างกันอย่างไร

No กับ Not  ใช้ต่างกันอย่างไร
คนส่วนใหญ่ก็มักจะคิดว่า  No แปลว่า “ไม่”  Not ก็แปลว่า  “ไม่”  มันก็คงจะใช้เหมือนๆกันนั่นแหละ  แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยค่ะ   คำว่า No  แปลว่า ไม่ แค่ตอนตอบคำถามที่เป็น Yes/No question เท่านั้น

  • Do you have any money?     No,  I don’t.
  • Will you go out tonight?      No, I won’t.

แต่ถ้าไปเจอ no ที่อื่นมันจะไม่ได้แปลว่า ไม่  แล้วค่ะ  แต่แปลว่า  “ไม่มี” ต่างหาก   เวลาใช้ก็แค่เอาไปวางไว้หน้าคำนาม  แล้วนามนั้นก็จะอันตรธานหายไป  ไม่มีโดยทันที  เช่น

  • I have no idea.
  • I had to walk home last night because there was no bus.
  • Hurry up! We have no time left.
  • No student passes math exam.

มาดูทางฝั่ง  not  กันบ้าง   not  เนี่ยแหละค่ะที่แปลว่า ไม่ ตัวจริงเสียงจริง  ใช้ในความหมายปฏิเสธโดยใช้คู่กับคำกริยา หรือ  คำคุณศัพท์  หรือ คำนาม   แต่!!  กฎคือ มันจะเข้ามาเสียบหน้าคำพวกนี้ลอยๆไม่ได้  มันต้องมีตัวช่วยเข้ามาวางไว้หน้า not  นั่นก็คือ  กริยาช่วย (Auxiliary verb)  นั่นเองค่ะ  มีทั้ง  Verb to be, Verb to do, Verb to have, และ modal verb  ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มี not ตามหลังได้เลยในความหมายปฏิเสธ  เช่น

  • Susie does not speak French.
  • I do not need your help.
  • You are not my boss.
  • She is not tall.
  • You should not wear shoes in Japanese home.

แต่เป็นธรรมดาของภาษาอังกฤษ  ตั้งกฎนู่นกฎนี่กฎนั่นมาตั้งมากมาย แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ดี  ข้อยกเว้นของการใช้  not ก็คือ  มันสามารถไปวางไว้หน้านามได้เหมือนกัน  แปลกไหมล่ะ  แต่มีข้อแม้ว่านามนั้นต้องมีคำบอกจำนวนอยู่ข้างหน้า  เช่น

  • Not many people are allowed to enter the stadium.
  • Not much sugar was used in this dish.

นอกจากนี้ในบางกรณี  ก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้  no หรือ not  เช่น

  • There was not any food left in the kitchen.
  • There was no food left in the kitchen.

สองประโยคนี้ความหมายเหมือนกันค่ะ คือแปลว่า ไม่มีอาหารเหลืออยู่ในห้องครัว

  • I have no money.
  • I don’t have any money.

สองประโยคนี้ก็มีความหมายเดียวกัน  ซึ่ง don’t ก็คือ do not ที่เป็นรูปย่อ  แต่ข้อควรระวังคือ  อย่าเอาสองคำนี้มาใช้รวมกันเด็ดขาด  คือ  I don’t have no money.  อย่างนี้ผิดค่ะ  เพราะ ถ้าจะใช้ no ก็ไม่ต้องมี don’t ข้างหน้าแล้ว  เพราะ no มีความหมายเป็นปฏิเสธอยู่แล้ว กริยาจึงต้องเป็นรูปประโยคบอกเล่า  แต่ถ้าจะใช้  don’t  ก็อย่าเอา  no  มาทับซ้อนกัน   ใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้นค่ะ  ประมาณว่า  เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้  ^^

การใช้บุพบท in, on, at กับสถานที่

in, on, at

การใช้บุพบท  in, on, at กับสถานที่
เจอกับบุพบทเจ้าปัญหาสามตัวนี้อีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่ได้ใช้กับเวลา แต่เป็นการบอกสถานที่ บางที่เราก็ใช้กันผิดๆถูกๆในการบอกสถานที่โดยใช้เจ้าบุพบทสามตัวนี้ แต่หลักการในการใช้กับสถานที่นั้นมีง่ายนิดเดียวค่ะ
เริ่มจากการใช้ in กันก่อนค่ะ in จะใช้บอกสถานที่ที่กว้างมากๆ แบบที่ว่าหากันไม่เจอแน่นอน พูดง่ายๆก็คือใช้บอกสถานที่ในระดับ ตำบล แขวง อำเภอ เขต จังหวัด เมือง ประเทศ ทวีป เช่น ถ้าเราบอกว่า

  • I was born in Bangkok. ฉันเกิดในกรุงเทพ
    (เกิดส่วนไหนของกรุงเทพก็ไม่รู้ บอกแค่ว่าในกรุงเทพ)
  • We’ve lived in Chicago for three years.
    พวกเราอาศัยอยู่ในเมืองชิคาโกมาได้ 3 ปีแล้ว
  • The conference was held in Asia.
    การประชุมถูกจัดขึ้นในเอเชีย

ถัดมาคือการใช้ on เราใช้ on กับสถานที่ในระดับที่แคบลงกว่า in หน่อย คือในระดับ ถนน หรือ ชั้นบนอาคาร แม่น้ำ เช่น

  • My office is located on Sukhumvit Road.
    ออฟฟิศของฉันตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท (รู้ว่าอยู่บนถนนสุขุมวิท แต่ก็ยังไม่แคบที่จะบอกว่าอยู่ตรงไหน)
  • ABC Language School is on the 9th floor, Empire Building.

นอกจากนี้ในการใช้ on บอกตำแหน่ง โดยมากมักใช้กับพื้นผิว เช่น

  • The picture is on the wall.
  • I left my key on the table.
  • I’ve just pasted the notice on the door.

สุดท้าย การใช้ at เราจะใช้กับการบอกบ้านเลขที่ บอกสถานที่ที่เฉพาะเจาะจง ตำแหน่งย่อยๆที่รู้ได้ทันที ถ้าให้ไปหานี่หาเจอได้เลย เช่น

  • We are meeting at the café.
  • Jimmy’s house is at 55/6 soi Sukhumvit 39.
    (ถ้าไปตามบ้านเลขที่นี้ รับรองว่าเจอบ้านจิมมี่แน่นอน)
  • This year, the Asia Volleyball Championship will be held at Huamark stadium.
    (รู้ได้ทันทีว่าสนามกีฬาไหน)

สรุปก็คือ
in ใช้กับเวลาหรือสถานที่ที่ทั่วๆไป หรือความหมายกว้าง
on จะใช้ในความหมายที่แคบลงกว่า in แต่ก็ยังไม่แคบมากพอที่จะเฉพาะเจาะจงลงไปได้ แต่
at ใช้กับเวลาหรือสถานที่ที่เฉพาะเจาะจง

หรือจะจำเอาสูตรนี้ไปใช้ก็ได้นะคะ in, on, at ก็คือ กว้าง, แคบ, เป๊ะ ฝึกใช้บ่อยๆนะคะ จะได้ใช้ได้คล่องๆ ถ้าไม่ฝึกใช้ สูตรไหนๆก็ช่วยไม่ได้นะคะ ^^

การใช้บุพบท in, on, at บอกเวลาในภาษาอังกฤษ

in, on, at

การใช้บุพบท  in, on, at บอกเวลา

คำบุพบทหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า preposition  คือ  คำที่ใช้บอกตำแหน่ง  บอกสถานที่  บอกทิศทาง  แสดงการเคลื่อนไหว  หรือบอกความสัมพันธ์ระหว่างคำนามหรือสรรพนามกับคำอื่นๆ ในประโยค   คำบุพบทในภาษาอังกฤษ มีเยอะแยะมากมายให้เลือกใช้จนลายตาเลยค่ะ  แต่คำที่เรามักนิยมใช้กันผิดบ่อยๆคือ  in, on, at  ที่ใช้ในการแสดงเวลา   เหตุผลหลักๆเลยก็คือ  เราแปลจากไทยเป็นอังกฤษแบบตรงตัวนั่นเองค่ะ มาดูวิธีการใช้กันค่ะ

in, on, at กับการบอกเวลา

1. In  –   ใช้กับ ปี  เดือน  ทศวรรษ  ศตวรรษ  ฤดูกาล  เช่น

  • I started working at AOT in 2002.
  • My sister was born in March.
  • It isn’t much cold here in the winter.

นอกจากนี้ยังใช้ in ในการบอกช่วงเวลา เช่น  in the morning, in the afternoon, in the evening

2. On  –   ใช้กับ  วันในสัปดาห์   วันที่  หรือวันเฉพาะในเทศกาลต่างๆ  เช่น

  • We usually have an English class on Monday.
  • My birthday is on July 14.
  • There’s a party at the Simpsons’ house on Christmas Day.

นอกจากนี้คนอเมริกันเขาใช้ on กับวันหยุดหรือ วันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยค่ะ  คือ on weekend, on holiday
ที่จะใช้ผิดกันบ่อยคือ  การใช้ on กับวันในสัปดาห์  เพราะเมื่อเราแปลเป็นไทย คือ ในวันจันทร์  ในวันอังคาร  บางคนก็อาจจะเลือกใช้  in Monday  in Tuesday ซึ่งผิดค่ะ เพราะคิดว่าถ้าคำว่า “ใน” ก็คือ in    และถ้าหากเราใช้วันในสัปดาห์โดยบอกช่วงเวลาไว้ด้านหลังก็ยังใช้ on เช่นเดิมค่ะ  เช่น  on Sunday morning, on Friday night

  • It’s not easy to get up early on Sunday morning.

และในการใช้ on บอกวันที่  ถึงแม้จะเอาเดือนขึ้นก่อน  แต่ถ้ามีวันที่ตามหลังก็ต้องใช้ on เช่นกันค่ะ

3. At  –  ใช้บอกเวลาตามนาฬิกา  เช่น

  • Simon always gets up at 5. 30 a.m.
  • The appointment is at 1 p.m.

นอกจากนี้ยังใช้กับสำนวน  at noon, at night, at midday, at midnight, at lunchtime, at sunrise, at sunset, at present, at the moment, at the same time  เช่น

  • I’ll see you at lunchtime.
  • I don’t eat anything at night.

**  ข้อควรระวังในการใช้คำบุพบทบอกเวลาคือ  คำแสดงเวลาบางคำไม่ต้องการบุพบท เช่น  today, tomorrow, yesterday  และคำบอกเวลาที่ขึ้นต้นด้วย  last, next, every, this เป็นต้น  เช่น

  • I went to Samui yesterday.
  • I met Susan this morning.
  • Sarah will go to Malaysia next week.
  • Patrick has a piano class every Saturday.

ภาษาอังกฤษมีกฎเยอะแยะไปหมด  ข้อยกเว้นก็มีมาก  แต่ถ้าใช้บ่อยรับรองว่าใช้ได้คล่องแน่ๆค่ะ ^^

ประโยคในภาษาอังกฤษ (English basic sentence structures )

ประโยคในภาษาอังกฤษ (English basic sentence structures)

English basic sentence structures

ประโยคในภาษาอังกฤษที่เราเห็นยาวๆเป็นกิโลเนี่ย  มันก็มาจากรูปแบบประโยคพื้นฐานในภาษาอังกฤษหลักๆแค่ 5 แบบด้วยกันค่ะ  ส่วนที่มันยาวก็เพราะมีออปชั่นเยอะเช่นใส่ตัวเชื่อมหรือมีส่วนขยายเพิ่มเข้าไปในประโยคนั่นเอง  แต่ถ้าเราสามารถแยกแยะวิเคราะห์โครงสร้างประโยคได้  ก็จะไม่มีปัญหาในการอ่านแล้วไม่เข้าใจ  อ่านแล้วตีความผิด  อ่านแล้วหาประธานไม่เจอ  หากริยาหลักในประโยคไม่เจออีกต่อไปค่ะ

รูปแบบประโยคพื้นฐานในภาษาอังกฤษ มี 5 แบบด้วยกันดังนี้ค่ะ

1.  Subject + Verb
มีแค่ “ประธาน” บวกกับ “กริยา”  นั่นแสดงว่ากริยาในประโยคนี้จะต้องเป็นกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ คือไม่จำเป็นต้องมีกรรม  กริยาแบบนี้เราเรียกว่า Intransitive verb (อกรรมกริยา) เช่น walk, sleep, stand, run, etc.

  • She walks to school every day.
  • They are sleeping like a log.

สองประโยคนี้ walk กับ sleep เป็น intransitive verb ซึ่งไม่ต้องมีคำถามมาต่อท้ายว่า  “เดิน – เดินอะไร?, นอน – นอนอะไร?”  แค่พูดว่าเดินก็ชัดเจน ความหมายครบถ้วนแล้ว  ส่วนวลี “to school every day” “ like a log”  เป็นส่วนที่มาขยายกริยา ไม่ใช่กรรมของประโยค

2. Subject + Verb + Object
ประโยคนี้เพิ่ม “กรรม” เข้ามา  แสดงว่ากริยาในประโยคนี้เป็นกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ หรือเรียกว่า Transitive verb (สกรรมกริยา)  กริยาที่ต้องการกรรม หากไม่มีกรรมมารองรับก็จะมีคำถามค้างคาใจ เช่น  กิน  ถ้าไม่บอกว่ากินอะไร หรือ ดู ถ้าไม่บอกว่า ดูอะไร ก็จะได้ใจความไม่สมบูรณ์

  • She never drinks alcohol.
  • They have opened their shop for 2 years.

3.  Subject + Verb + Indirect object + Direct object
ประโยคที่มีกรรม ก็อาจจะมีกรรมสองตัวก็ได้  คือ “กรรมตรง” กับ “กรรมรอง”  โดยมีสูตรง่ายๆว่า  “กรรมตรงของ  กรรมรองคน”   ก่อนจะอธิบายสูตรมาดูตัวอย่างกันก่อนค่ะ

  • Eva gave me a present on my birthday last week.
  • I haven’t sent you an e-mail yet.

คำที่เป็นตัวหนา คือ กรรมรองซึ่งเป็นคน   และคำที่ขีดเส้นใต้คือกรรมตรงซึ่งเป็นสิ่งของ  ถ้าเราเรียงกรรมรองมาก่อนก็สามารถวางกรรมตรงต่อได้เลย  แต่ถ้าวันดีคืนดีอยากเอากรรมตรงที่เป็นสิ่งของขึ้นก่อนก็ย่อมได้ค่ะ  เพียงแต่ต้องเพิ่มตัวช่วยเข้าไปคือคำว่า to คือ

  • Eva gave a present to me on my birthday last week.
  • I haven’t sent an e-mail to you yet.

4.  Subject + Verb + Subject Complement
ประโยคนี้ส่วนที่ตามหลัง คำกริยาคือ subject complement  คำถามคือ subject complement มันคืออะไร?   มันก็คือ ส่วนเติมเต็มของประโยคซึ่งขยายประธาน  กริยาในประโยคแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็น verb to be หรือ linking verb  (ตัวอย่าง linking verb คือ become, seem, turn, appear, sound, remain, feel, etc.)  ตัวอย่างประโยค เช่น

  • She is very rich.
  • Bill felt sick after the party.
  • The manager’s plan sounds interesting for all employees.

very rich เป็นส่วนเติมเต็มที่มาขยายประธาน she , sick เป็นส่วนเติมเต็มที่มาขยายประธาน Bill  และ    interesting เป็นส่วนเติมเต็มที่มาขยายประธาน the manager’s plan

5.  Subject + Verb + Object + Object Complement
ประโยคนี้เพิ่มเติม object complement เข้ามา ซึ่งก็คือ ส่วนเติมเต็มที่มาขยายกรรม  เช่น

  • Our class chose Bill our leader.
    ห้องของเราเลือกบิลเป็นหัวหน้าห้อง
  • Flood in Thailand made the country’s economy worse.
    น้ำท่วมในประเทศไทยทำให้เศรษฐกิจของประเทศเลวร้ายลง
  • The students should keep the classroom clean.
    นักเรียนควรจะดูแลรักษาห้องเรียนให้สะอาด

คำว่า our leader, worse และ clean เป็น object complement ที่มาขยายกรรม เพื่อบอกว่ากรรมเป็นใครหรือเป็นอะไรหรือมีลักษณะอย่างไร
ทั้งหมดคือรูปแบบพื้นฐานของประโยคในภาษาอังกฤษที่เราจะพบเจอบ่อยๆ  ส่วนมันจะแปลงร่างเป็นประโยคยาวๆได้แค่ไหนก็แล้วแต่ว่าเราจะใส่ส่วนขยายหรือตัวเชื่อมอะไรเข้าไป ^^

การแสดงความเป็นเจ้าของในภาษาอังกฤษ (ตอนที่ 2)

possessive adjective และ possessive pronoun

การแสดงความเป็นเจ้าของโดยการใช้ possessive adjective และ possessive pronoun

การแสดงความเป็นเจ้าของในภาษาอังกฤษ  (ตอนที่ 2) ตอนที่แล้วได้พูดถึงการแสดงความเป็นเจ้าของโดยการใช้ apostrophe s และการใช้ of ไปแล้ว  คราวนี้เรามาดูการแสดงความเป็นเจ้าของโดยการใช้ adjective (คำคุณศัพท์) ซึ่งเรียกว่า possessive adjective และ pronoun (คำสรรพนาม) ซึ่งเรียกว่า possessive pronoun ดูบ้าง  ก่อนอื่นไปเริ่มที่ตารางข้างล่างกันเลยค่ะ

PronounPossessive adjectivePossessive pronoun
Imymine
Youyouryours
Weourours
Theytheirtheirs
Hehishis
Sheherhers
Ititsits

 

possessive adjective และ possessive pronoun มีวิธีการใช้ต่างกันเล็กน้อยค่ะ possessive adjective  จะต้องมีคำนามตามหลังเสมอ  เพราะขึ้นชื่อว่า adjective ก็ต้องขยายคำนามโดยการวางไว้หน้าคำนาม  เช่น

  • Our trip will be cancelled.        การเดินทางของเราคงจะถูกยกเลิก
  • How can I get to your workplace?    ฉันจะไปที่ทำงานคุณได้ยังไง

แต่ถ้าเป็น possessive pronoun แล้วล่ะก็  จะไม่มีนามมาต่อท้ายให้กวนใจค่ะ  เหตุผลที่ไม่ต้องเอานามมารั้งท้ายก็คือ  เรารู้อยู่แล้วว่ากำลังพูดถึงนามอะไรกันอยู่หรือมีการกล่าวถึงมาก่อนหน้านี้  ฝรั่งก็เหมือนคนไทยแหละค่ะ  อะไรที่ย่อได้ก็ย่อ ตัดให้สั้นได้ก็ตัด  เพราะขี้เกียจพูดนั่นเอง ^^  เช่นประโยค  “This mobile phone is my mobile phone.”   ประโยคนี้มี mobile phone ซ้ำกันตั้งสองครั้ง  แล้วจะพูดยาวๆไปเพื่ออะไร!!  เลยบัญญัติคำแสดงความเป็นเจ้าของขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเพื่อใช้แทนนามนั้นและยังแสดงความเป็นเจ้าของไปในตัวด้วย ประโยคนี้จึงพูดสั้นๆได้ว่า  This mobile phone is mine.  ซึ่ง mine ในที่นี้ก็แทน my mobile phone นั่นเองค่ะ  ลองมาดูตัวอย่างอื่นๆกัน

  • My dress is red but yours is blue.        ชุดของฉันสีแดงแต่ชุดคุณน่ะสีฟ้า
  • These shoes are hers.             รองเท้าพวกนี้เป็นของหล่อน

จะเลือกใช้แบบไหนก็ได้แล้วแต่ความชอบส่วนตัวเลยค่ะ เพียงแต่ต้องอย่าลืมกฎเหล็ก คือ possessive adjective ต้องเอาคำนามติดสอยห้อยตามมาด้วย  แต่ถ้าจะใช้ possessive pronoun ก็ไม่ต้องเอานามมาเป็นภาระ เพียงแต่ต้องรู้ว่าหมายถึงนามอะไรหรือเอ่ยไว้ก่อนแล้วแค่นั้นค่ะ

การแสดงความเป็นเจ้าของในภาษาอังกฤษ (ตอนที่ 1)

การแสดงความเป็นเจ้าของในภาษาอังกฤษ

การแสดงความเป็นเจ้าของในภาษาอังกฤษ  (ตอนที่ 1)

การแสดงความเป็นเจ้าของในภาษาอังกฤษก็มีให้เลือกใช้ได้หลากหลายค่ะ  แต่เวลาที่เราอยากพูดว่าใครเป็นเจ้าของอะไร ก็มักจะนึกถึง apostrophe s (‘s) ก่อนเสมอ  วันนี้เราจะมาดูกันค่ะว่าการแสดงความเป็นเจ้าของจะพูดอย่างไรได้บ้าง

1. การใช้ apostrophe s (‘s)   หลักการใช้ apostrophe s คือ ให้นำไปห้อยท้ายไว้หลังคำนามเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ  รูปแบบจะเป็นแบบนี้ค่ะ  noun’s noun  จำง่ายๆว่า นามที่อยู่หลัง apostrophe s จะตกเป็นของนามที่อยู่หน้า apostrophe s  ทันทีค่ะ  เช่น

  • My father’s car    รถของพ่อ
  • A girl’s shoes        รองเท้าของเด็กผู้หญิง

(ถ้าให้พูดง่ายๆก็คือ เราจะแปลจากหลังมาหน้านั่นเอง!! เพราะบางคำอาจเกิดความสับสน เช่น  my sister’s friend  แปลว่า  เพื่อนของน้องสาวฉัน  ไม่ใช่ น้องสาวของเพื่อนฉัน  ถ้าน้องสาวของเพื่อนต้องเขียนว่า   my friend’s sister )

แล้วถ้านามนั้นมี s ต่อท้ายที่แสดงความเป็นพหูพจน์อยู่แล้วล่ะ?  วิธีการก็คือให้เติม apostrophe  เข้าไปได้เลยค่ะ ไม่ต้องใส่ s เข้าไปอีกตัวก็ได้  เช่น

  • The students’ activity    Babies’ dress

หรือถ้าเป็นชื่อคน หรือครอบครัวที่มีตัว s ลงท้ายก็เติม apostrophe  เข้าไปได้เลยเหมือนกัน เช่น

  • The Simpsons’ car    รถของพวกตระกูลซิมป์สัน
  • James’ wallet        กระเป๋าสตางค์ของเจมส์

นอกจากนี้ apostrophe s  ยังใช้เติมหลังคำนามแสดงเวลาด้วย  เช่น

  • today’s news        ข่าวของวันนี้
  • New Year’s Day    วันปีใหม่

2.  การใช้ of    การใช้ of ปกติเราจะใช้แสดงความเป็นเจ้าของให้กับคำนามที่เป็นสิ่งไม่มีชีวิตรูปแบบการเขียนก็คือ noun of noun     เช่น

  • The lawn of the house        สนามหญ้าของบ้าน
  • Doors of opportunity        ประตูแห่งโอกาส

** จะเห็นว่า นามหน้า of จะเป็นของหรือเป็นส่วนหนึ่งของนามหลัง of  หรือพูดง่ายๆก็คือ  แปลเรียงจากหน้ามาหลังนั่นเองค่ะ

แต่!! ก็ใช่ว่า of จะใช้กับสิ่งมีชีวิตไม่ได้   of  เราสามารถนำมาใช้กับสิ่งมีชีวิตได้กรณีที่เราต้องการเน้นย้ำถึงความเป็นเจ้าของของคนๆนั้น  ส่วนใหญ่ก็มักจะเอาไปเขียนเป็นชื่อเรื่อง ชื่อหนัง  ชื่อเพลง เป็นต้น  เช่น

  • Kiss of the Spider Woman        จุมพิตของนางแมงมุมสาว
  • Love of the Loved            รักของคนที่ถูกรัก
  • Love of a mother            ความรักของแม่

การแสดงความเจ้าเป็นของในภาษาอังกฤษยังไม่หมดเท่านี้ค่ะ  จะใช้คำอะไรมาแสดงความเป็นเจ้าของได้อีก ติดตามต่อได้อีกในตอนที่ 2  ค่ะ ^^

การเปรียบคำคุณศัพท์ขั้นสูงสุด (Superlative Degree)

การเปรียบคำคุณศัพท์ขั้นสูงสุด

การเปรียบคำคุณศัพท์ขั้นสูงสุด  (Superlative Degree)
เมื่อมีการเปรียบเทียบขั้นกว่า ก็ต้องมีการเปรียบเทียบขั้นสูงสุดหรือ superlative degree ซึ่งก็คือการเปรียบเทียบของตั้งแต่ 3 สิ่งขึ้นไป  เช่น  สวยที่สุด,  ดีที่สุด,  ยาวที่สุด เป็นต้น   โครงสร้างของการเปรียบเทียบขั้นสูงสุดนี้ คำคุณศัพท์จะเติม –est   แต่มีข้อยกเว้นอีกเช่นกันคือ  ถ้าเป็นคุณศัพท์ที่มีมากกว่า 2 พยางค์ให้เติม  most ข้างหน้าคำคุณศัพท์  เช่น   fastest, oldest, most expensive, most interesting, etc.

หลักในการเติม –est ก็คล้ายกับการเติม –er  ดังนี้ค่ะ

  1. ถ้าคำคุณศัพท์นั้นมีพยางเดียวให้เติม –est ได้เลย แต่ถ้าคำนั้นเป็นสระเสียงสั้นให้เติมตัวสะกดเพิ่มไปอีกหนึ่งตัวแล้วค่อยเติม –est           เช่น
    rich ——-richest    large ——–largest
    big——–biggest    thin———thinnest
  2. ถ้าคำคุณศัพท์นั้นลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i  แล้วเติม –est  เช่น
    easy———–easiest     funny———-funniest
    dry————driest        pretty ———prettiest
  3. ถ้าคำคุณศัพท์นั้นลงท้ายด้วย  -ed, -ing, -ful, -less  ถึงแม้จะมีแค่ 1 หรือ 2 พยางค์ให้เติม most ข้างหน้า  จะไม่เติม –est เช่น
    boring ——— most boring     careless ———– most careless
    useful————most useful    helpful ————-most helpful
  4. คำคุณศัพท์บางคำเมื่อใช้ในรูปเปรียบเทียบขั้นสูงสุดจะไม่เติม –est หรือเติส most แต่จะเปลี่ยนรูป  เช่น
    good ————— best, bad ——————- worst
    little ————–least,    many —————-most

มาดูตัวอย่างโครงสร้างประโยคเปรียบเทียบขั้นสูงสุดกันค่ะ

  • Martin is the tallest boy in the class.
  • This is the most exciting story I’ve ever heard.
  • Today is the best day of my life.

** หน้าคำคุณศัพท์ขั้นสูงสุดจะต้องมี the นำหน้าเสมอค่ะ  แต่ถ้าหน้าคุณศัพท์มีคำแสดงความเป็นเจ้าของอยู่  ก็ไม่ต้องใส่ the   เช่น

  • Catherine is my best friend.
  • It was one of our best show ever.

การเปรียบคำคุณศัพท์ขั้นกว่า (Comparative Degree)

การเปรียบคำคุณศัพท์ขั้นกว่า

การเปรียบคำคุณศัพท์ขั้นกว่า (Comparative Degree)
การเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ขั้นกว่าคือ  การเปรียบเทียบของ 2 สิ่ง, คน 2 คน, หรือกลุ่ม 2 กลุ่ม  โดยเปรียบเทียบว่าสิ่งไหนใหญ่กว่า…เล็กกว่า….แพงกว่า….หรืออื่นๆ  คำคุณศัพท์ที่ใช้ในการเปรียบเทียบจะต้องเติม –er ต่อท้าย  แล้วตามด้วยคำว่า than   แต่ก็มีข้อยกเว้นอีกแล้วค่ะ!! ถ้าคำคุณศัพท์นั้นมีมากกว่า 2 พยางค์จะไม่เติม –er แต่จะเติม  more หน้า adjective แทน   คือ    more+ adjective + than

กฎในการเติม –er ก็มีดังนี้ค่ะ

  1. ถ้าคำคุณศัพท์นั้นเป็นสระเสียงสั้น  ให้เติมตัวสะกดเพิ่มไปอีกหนึ่งตัวแล้วค่อยเติม –er  เช่น
    big ——bigger,  hot———hotter,  fat ———-fatter
  2. ถ้าคำคุณศัพท์ลงท้ายด้วย  y  ให้เปลี่ยน y เป็น i  แล้วเติม  -er เช่น
    easy ——— easier, happy ———- happier, dirty ————dirtier
  3. คำคุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย  -ed, -ing, -ful, -less  ถึงแม้จะมีแค่ 1 หรือ 2 พยางค์ให้เติม more ข้างหน้า  จะไม่เติม –er เช่น
    bored ——— more bored, careful ———– more careful
  4. คำคุณศัพท์บางตัว  เวลาทำเป็นขั้นกว่าจะมีการเปลี่ยนรูป  เช่น
    good ———- better, bad ————- worse, far———–father

มาดูตัวอย่างโครงสร้างประโยคกันค่ะ Continue reading

การใช้ article ( a, an, the )

การใช้ article ( a, an, the )

การใช้ article ( a, an, the )

Article: a, an, the คือ คำนำหน้าคำนาม ใครที่เรียนภาษาอังกฤษ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก article a, an, และ the เพราะเป็นพื้นฐานขั้นต้นเลยก็ว่าได้ แต่พอเอาไปใช้จริงๆ ยังง๊ายยยยังไงก็ยังใช้ไม่ถูกกันอยู่ดี จะใช้ทีก็ลังเลเป็นนานสองนาน เอ๊ะ จะ a หรือจะ the ดี?? จะใช้ a เอ๊ะ! รู้สึกไม่คุ้นแห๊ะ เอา the ละกัน หรือตรงนี้ the แน่เหรอ ฟังทะแม่งๆ เอา a หรือ an ดีกว่า เคยเป็นกันใช่มั๊ยล่ะคะแบบนี้ ^^ อันที่จริงหลักง่ายๆในการใช้สามตัวนี้มีอยู่ดังนี้ค่ะ

1. A ใช้นำหน้าคำนามนับได้เอกพจน์ ที่เป็นนามทั่วๆไป ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็น “อันนั้น” หรือ “อันนี้” เช่น ถ้าเกิดเพื่อนคุณพูดขึ้นมาว่า “I want to buy a car.” a car ในที่นี้มีความหมายว่า “รถหนึ่งคันซึ่งเป็นรถทั่วๆไป ไม่ได้ระบุว่ายี่ห้อไหน สีอะไร หรือคันไหน”

2. An ใช้เหมือนกับ A ทุกประการ เพียงแต่ A ใช้นำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะ และ An ใช้นำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ ขอย้ำ!! นะคะว่าเราสังเกต ที่เสียงไม่ใช่ตัวอักษร เพราะตัวอักษรบางตัวเป็นพยัญชนะก็จริงแต่อาจจะออกเสียงเหมือนสระก็ได้ เช่น คำว่า hour ออกเสียงว่า เอาเอ่อร์ ไม่ใช่ เฮาเอ่อร์ จึงต้องใช้ an นำหน้า เป็น an hour แปลว่า ชั่วโมงนึง หรือคำว่า university ขึ้นต้นด้วยสระก็จริงแต่ออกเสียงว่า ยูนิเวอร์ซิตี้ ไม่ใช่ อูนิเวอร์ซิตี้ จึงต้องใช้ a นำหน้า เป็น a university

3. The ใช้ได้ทั้งกับนามเอกพจน์และพหูพจน์ ทั้งที่นับได้ และนับไม่ได้ The ไม่สนว่านามนั้นมีจำนวนเท่าไหร่ แต่เราจะใช้ the ก็ต่อเมื่อเป็นคำนามชี้เฉพาะ เราและผู้ฟังรู้และเข้าใจตรงกันว่าหมายถึง นามอันไหน คนไหน หรือ สิ่งไหน เช่นถ้าเพื่อนคุณบอกว่า I want to buy the car. “car” ในที่นี้จะหมายถึง รถคันนี้ ซึ่งคุณกับเพื่อนเข้าใจตรงกันว่าคันไหน เพราะมีการคุยกันมาก่อน หรือ เพื่อนคุณเอารูปให้ดู โดยจะหมายความเป็นรถคันอื่นไปไม่ได้ ต้องคันนี้เท่านั้น อีกกรณีหนึ่งที่จะใช้ the คือนามนั้นถูกกล่าวถึงเป็นครั้งที่สอง เพราะนั่นหมายความว่าผู้พูดและผู้ฟังจะเข้าใจตรงกันแล้วว่า นามนั้นคืออันไหนหรือ คนไหน เช่น
There was a man standing under a tree. The man is waiting for his girlfriend. a man ในประโยคแรกถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรก แต่เมื่อถูกกล่าวถึงอีกเป็นครั้งที่สองในประโยคที่สอง จึงใช้ the

นอกจากหลักการทั่วๆไปที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีการใช้ a/an หรือ the ในกรณีอื่นๆอีกที่ผู้ใช้ต้องจำ เป็นกรณีไป ดังนี้

หลักการใช้ a/an
1. ใช้นำหน้าอาชีพ เช่น

  • He’s a doctor.
  • I’m a teacher.

2. ใช้กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เช่น

  • I have a headache.
  • She has a cough.

3. ใช้นำหน้านามที่บอกถึง ราคา, น้ำหนัก, ความเร็ว, อัตรส่วน, เวลา เช่น

  • five dollars a pair คู่ละ 5 ดอลล่าร์
  • sixty miles an hour 60 ไมล์ต่อชั่วโมง
  • twice a week สัปดาห์ละสองครั้ง

4. ใช้กับสำนวนในประโยคอุทาน เช่น

  • What a wonderful day!
  • What a hot day it is!

หลักการใช้ the Continue reading