Category Archives: ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

คำนำหน้ารากศัพท์ในภาษาอังกฤษ (Prefixes)

รากศัพท์ในภาษาอังกฤษ Prefixes

รากศัพท์ในภาษาอังกฤษ Prefixes

ปัญหาระดับโลกในการเรียนภาษาอังกฤษคือ “จำคำศัพท์ไม่ได้!!” ทำไงดี? จะให้ท่องศัพท์ทุกตัวใน dictionary ก็คงไม่ไหว วันนี้มีตัวช่วยมานำเสนอค่ะ เป็นทางลัดในการเดาความหมายของคำศัพท์ ไม่ได้หมายความว่าการจดจำคำศัพท์ไม่จำเป็นนะคะ อย่างน้อยเราต้องจำและรู้จักรากศัพท์เอาไว้บ้าง ตัวช่วยที่ว่าคือ Prefixes นั่นเอง Prefixes คืออะไร? เหมือนไม่ใช่แกรมม่าร์ที่จำเป็นเท่าไหร่แต่อยากจะบอกว่า prefix เนี่ยมีประโยชน์มากๆในการอ่าน เพราะถ้าเรารู้รากศัพท์และรู้จัก prefix การเดาความหมายคำศัพท์จะง่ายมากๆเลย ไม่ต้องไปเสียเวลาเปิด dictionary ให้เสียอารมณ์ในการอ่าน

Prefix คือ คำอุปสรรคที่เติมข้างหน้าคำหลัก แล้วเปลี่ยนความหมายของคำๆนั้น แต่ชนิดของคำหรือ parts of speech ยังคงเดิม แต่ปัญหาคือ!! prefix มีเยอะมากๆ ทางเดียวคือจดจำและทำความคุ้นเคยกับมันบ่อยๆ พอเจอปุ๊บก็จะจำได้ทันทีเลย Prefix มี 2 แบบค่ะ คือ

1.) แบบที่เติมเข้าไปข้างหน้าคำอื่นแล้วความหมายเปลี่ยน พอแยกออกมาความหมายก็กลับเป็นแบบเดิม

2.) แบบที่แฝงอยู่หน้าคำอื่นอยู่แล้ว และมีความหมายตาม prefix ที่แฝง แต่ไม่สามารถแยกออกมาได้ เช่น contradict เป็นต้น

มาดูตัวอย่างของ prefix ที่เจอบ่อยๆกันค่ะ

1. in-, im-, il-, ir-, un, dis, non-, a-   กลุ่มนี้ที่เอามารวมกัน เพราะทั้งหมดนี้เมื่อเติมหน้าคำใด จะมีความหมายว่า “ไม่” หรือทำให้มีความหมายตรงข้ามกับความหมายเดิม เช่น

  • indirect         หมายถึง   โดยอ้อม   ( direct แปลว่า ตรง เติม in ไปแปลว่า ไม่ตรง คือ โดยอ้อม นั่นแหละค่ะ)
  • impossible   หมายถึง   เป็นไปไม่ได้
  • illegal           หมายถึง ผิดกฎหมาย
  • irresponsible หมายถึง ไม่รับผิดชอบ
  • unexpected   หมายถึง ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
  • dislike           หมายถึง ไม่ชอบ
  • non-academic หมายถึง ไม่ใช่ด้านวิชาการ
  • amoral          หมายถึง ไร้ศีลธรรม

2. re- มีความหมายว่า “ทำอีกครั้ง” มักเติมไว้หน้า verb เช่น

  • rewrite          หมายถึง   เขียนอีกครั้ง
  • rearrange      หมายถึง จัดเตรียมใหม่

3. pre- มีความหมายว่า “ก่อน”   post- มีความหมายว่า “หลัง” เช่น

  • prehistory     หมายถึง   ก่อนประวัติศาสตร์
  • pre-war        หมายถึง ก่อนสงคราม
  • post-war       หมายถึง หลังสงคราม

4. ex- เติมเข้าไปจะแปลว่า “อดีต (ตำแหน่ง)” เช่น

  • ex-president    หมายถึง   ประธานาธิบดีคนก่อน
  • ex-husband      หมายถึง สามีคนก่อน

5. super- แปลว่า เหนือ,สูงกว่า   / sub แปลว่า อยู่ต่ำกว่า, ใต้,อยู่ภายใต้ เช่น

  • superstructure    หมายถึง   โครงสร้างที่อยู่ข้างบน
  • subsystem   หมายถึง   ระบบที่อยู่ภายใต้ระบบใหญ่
  • subway   หมายถึง   รถไฟใต้ดิน, ทางเดินใต้ดิน

6. prefix ที่บอกขนาด เช่น max, macro แปลว่า ใหญ่   mini, micro แปลว่าเล็ก เช่น

  • microbus     หมายถึง รสบัสขนาดเล็ก
  • maximum               หมายถึง ใหญ่ที่สุด

7. prefix บอกจำนวน เช่น mono, uni แปลว่า หนึ่ง   bi, di, duo แปลว่า สอง tri แปลว่า สาม เช่น

  • bicycle  หมายถึง รถจักรยาน (มีสองล้อ)
  • triangle หมายถึง สามเหลี่ยม
  • monocle  หมายถึง แว่นข้างเดียว

8. mis- แปลว่า ผิด เช่น

  • misunderstand        หมายถึง เข้าใจผิด
  • misspell       หมายถึง สะกดผิด

9. inter แปลว่า “ระหว่าง” intra แปลว่า “ภายใน” เช่น

  • interchange   หมายถึง   การแลกเปลี่ยน (ระหว่างกัน)
  • intrastate                หมายถึง ภายในรัฐ

10. contra, anti, counter แปลว่า “ต่อต้าน” เช่น

  • antisocial                หมายถึง ต่อต้านสังคม
  • contradict               หมายถึง ขัดแย้ง

นี่เป็นเพียง prefix ที่พบเจอบ่อยๆเท่านั้น ยังมี prefix อีกมากมาย ว่างๆลองสำรวจหาคำที่มี prefix ดูนะคะ เราจะจดจำมันได้เองถ้าได้เจอบ่อยๆ ^^

Compound words ตอนที่ 2 (Compound Adjective)

Compound words

Compound words ตอนที่ 2 ( Compound Adjective)

จากที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนที่ 1 ว่า compound words คือคำประสมที่เกิดจากการนำคำสองคำมารวมกัน แบ่งออกเป็น Compound Noun และ Compound Adjective ในตอนที่ 2 นี้จะกล่าวถึง compound adjective หรือคำคุณศัพท์ประสมค่ะ

คำคุณศัพท์ประสม หมายถึง การนำคำสองคำมารวมกันแล้วเกิดคำใหม่ขึ้น โดยคำที่ได้นั้นทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ คำคุณศัพท์ประสมเกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะ ดังนี้ค่ะ

1. Noun + Adjective เช่น

  • A blood-red blouse  หมายถึง   เสื้อที่มีสีแดงเหมือนเลือด
  • Nut-brown eyes              หมายถึง   ตาที่มีสีน้ำตาลเข้ม

2. Adjective + Noun เช่น

  • Upper-class people       หมายถึง   คนชั้นสูง
  • Real-life story                 หมายถึง   เรื่องราวชีวิตจริง

การรวมกันในลักษณะแบบนี้รวมไปถึงการบอกจำนวนของคำนามด้วย คือ การนำเอา

จำนวน + คำนามรูปเอกพจน์ เช่น

  • Five-year-old boy           หมายถึง เด็กชายอายุ 5 ขวบ
  • Three-room house          หมายถึง บ้านที่มี 3 ห้อง
  • Ten-minute walk             หมายถึง   การเดิน 10 นาที

3. Adjective + Noun เติม ed  เช่น

  • A two-legged animal       หมายถึง สัตว์ที่มี 2 ขา
  • A long-sleeved shirt        หมายถึง เสื้อแขนยาว
  • A red-nosed reindeer       หมายถึง   กวางจมูกแดง

4. Adjective/Noun/Adverb + Ving เช่น

  • A good-looking girl         หมายถึง เด็กสาวหน้าตาดี
  • A fast-growing business หมายถึง ธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
  • An easy-going person      หมายถึง คนที่มีความเป็นอยู่ง่ายๆสบายๆ
  • A grass-cutting knife      หมายถึง มีดตัดหญ้า

5. Noun/Adjective/Adverb + Past Participle (V3) เช่น

  • A well-known legend                หมายถึง ตำนานที่รู้จักกันดี
  • A beautifully-decorated room  หมายถึง   ห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงาม
  • A snow-covered playground      หมายถึง สนามที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

6. Noun + Noun คำนาม บวก คำนาม ก็สามารถเป็นคำคุณศัพท์ขยายได้ เช่น

  • A water-proof watch       หมายถึง นาฬิกาข้อมือที่กันน้ำได้
  • A fireproof coat               หมายถึง เสื้อกันไฟ

การรู้จักคำประสมจะทำให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้นเพราะจะได้รู้ที่มาของคำและรู้ว่าใช้อย่างไร เวลาอ่านจะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้นค่ะ ยิ่งถ้าอ่านเอกสารเชิงวิชาการจะมีการประสมคำในลักษณะนี้เยอะมาก ซึ่งบางทีเปิดดูในพจนานุกรมก็ไม่มีจึงต้องอาศัยความเข้าใจเรื่องคำประสมเข้าไปช่วยค่ะ ^^

Compound Words – ตอนที่ 1 (Compound Nouns)

Compound words

Compound Words – ตอนที่ 1 (Compound Nouns)

Compound words คือ คำประสมที่เกิดจากการนำเอาคำสองคำซึ่งอาจจะมีหน้าที่เหมือนกันหรือต่างกันมารวมกันเป็นคำเดียวกัน หลักในการเขียนคำประสมถ้าจะพูดกันจริงๆก็ยังไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวที่แน่นอน เวลาใช้ก็ต้องเช็คจากพจนานุกรมหรือดูที่เขาใช้กันว่าส่วนใหญ่เขาใช้กันแบบไหน แต่ส่วนใหญ่จะพบเจอการเขียนใน 3 รูปแบบดังนี้

  1. เขียนติดกันเป็นคำๆเดียว เช่น postcard toothbrush football homework headmaster เป็นต้น
  2. เขียนแยกกันโดยไม่ต้องใส่ hyphen (-) เช่น taxi driver   mother tongue   office hours เป็นต้น
  3. เขียนแยกจากกันเป็นสองคำโดยมี hyphen คั่น เช่น fire-engine swimming-pool son-in-law passer-by เป็นต้น

Compound words สามารถแบ่งออกเป็น

  1. Compound Noun คือ คำที่ประสมกันแล้วทำหน้าที่เป็นคำนาม
  2. Compound Adjective คือ คำที่ประสมกันแล้วทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์

1. Compound Noun คือ คำนามที่มาจากการนำคำตั้งแต่ 2 คำมารวมกันแล้วเกิดเป็นคำนามใหม่ขึ้นมา โดยที่คำข้างหลังจะเป็นคำหลัก (head) และคำข้างหน้าจะเป็นคำขยาย (modifier) โดยวิธีการเขียนอาจจะเขียนรวมกัน เขียนแยกกันหรือเขียนแยกกันโดยมี hyphen คั่น Compound Noun สามารถเกิดจากคำหลากหลายประเภทมารวมกัน ดังนี้

1.1 Noun + Noun คำนามประสมกับคำนาม จะมีความหมาย 5 ลักษณะดังนี้

นามตัวแรกจะบอกให้รู้ว่านามตัวหลังทำมาจากอะไร เช่น

  • iron + gate = iron gate   ประตูเหล็ก
  • plastic + bag = plastic bag   ถุงพลาสติก

นามตัวแรกบอกสิ่งที่ขายหรือทำ นามตัวหลังบอกอาชีพ เช่น

  • hair + dresser = hair dresser    ช่างจัดแต่งทรงผม
  • fruit + seller = fruit seller    คนขายผลไม้

นามตัวแรกเป็นของที่บรรจุ ส่วนนามตัวหลังเป็นภาชนะที่บรรจุ เช่น

  • tea + pot = tea pot    หม้อชา
  • pencil + box = pencil box    กล่องดินสอ

นามตัวหลังมีความสัมพันธ์กับนามตัวแรก เช่น

  • reference + book = reference book หนังสืออ้างอิง
  • weather + report = weather report รายงานสภาพอากาศ

นามตัวหน้าบอกให้ทราบถึงสถานที่ของนามตัวหลัง เช่น

  • shop + keeper = shopkeeper    เจ้าของร้าน
  • land + lord   =   landlord    เจ้าของบ้าน

1.2 Gerund (Ving) + Noun เช่น

  • living + room =   living room      ห้องนั่งเล่น
  • sleeping + pill = sleeping pill     ยานอนหลับ
  • hearing + aid =   hearing-aid      เครื่องช่วยฟัง
  • sleeping + bag = sleeping bag   ถุงนอน

1.3   Noun + Gerund (Ving) เช่น

  • day + dreaming = daydreaming การฝันกลางวัน
  • fortune + telling = fortunetelling   การทำนาย
  • bull + fighting = bull-fighting     การสู้วัวกระทิง

1.4 Adjective + Noun เช่น

  • high + way =   highway             ทางหลวง
  • fresh + water = freshwater       น้ำจืด
  • gentle + man = genltleman        สุภาพบุรุษ

1.5 Noun + Verb เช่น

  • car + wash =   carwash   การล้างรถ
  • sun + rise = sunrise     ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้น
  • hand + shake = handshake   การจับมือ

1.6 Noun + Preposition เช่น

  • son + in + law = son-in-law      ลูกเขย
  • father + in + law = father-in-law พ่อตา
  • mother + in + law = mother-in-law แม่ยาย

1.7 Adverb + Verb เช่น

  • out + put = Output  ผลผลิต
  • in + put = Input    ข้อมูล
  • out + break = outbreak    การเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด

1.8 Preposition + Noun เช่น

  • up + stairs = upstairs   ชั้นบน
  • over + pass = overpass   สะพานลอย
  • by + pass = bypass   ทางเลี่ยงเมือง

1.9 Verb + Preposition คำประสมในกลุ่มนี้มักมีความหมายที่เปลี่ยนไปจากความหมายเดิมของแต่ละคำ เช่น

  • make + up = makeup   การแต่งหน้า
  • break + through = breakthrough การพัฒนาหรือค้นพบ

ติดตาม compound words ในส่วนของ compound adjective ได้ในตอนที่ 2 ต่อนะคะ

phrasal verbs (กริยาวลี)

phrasal verbs

phrasal verbs (กริยาวลี)

Phrasal verbs หรือ กริยาวลี คือกลุ่มคำกริยาที่ประกอบไปด้วย คำกริยา (verb)และคำบุพบท (preposition) เมื่อรวมกันแล้วความหมายมักจะเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น

give up   แปลว่า   เลิก, หยุด     (เราไม่สามารถแปล give ว่า ให้ และ up แปลว่า ขึ้น แล้วนำมารวมกันแปลว่า “ให้ขึ้น” ได้)
come across แปลว่า พบโดยบังเอิญ ( come = มา, across = ข้าม)

ตัวอย่างอื่นๆเช่น

call off           ยุติ, ยกเลิก                        look up         ค้นหา
look after      ดูแล                                  turn into       กลายเป็น
carry on        ทำต่อไป                           turn up         ปรากฎตัว

Phrasal verbs แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. แบบ Separable verbs คือ กริยาวลีที่สามารถแยก verb และ preposition ได้ซึ่งมักเป็นกริยาวลีที่ต้องการกรรม เช่น   turn on, turn off, take off, try on, etc. เช่น

  • You must take off your shoes before entering the room.

สามารถเขียนได้ว่า

  • You must take your shoes off before entering the room.
  • Please turn off the light. หรือ Please turn the light off.
  • You can try on the shirt. หรือ You can try the shirt on.

** ในกรณีที่กรรมเป็นคำสรรพนามจะต้องวางไว้หน้าคำบุพบทเสมอ เช่น

  • You can try it on. จะเขียนว่า You can try on it. ไม่ได้
  • Please turn it off จะเขียนว่า Please turn off it ไม่ได้

** ถ้าหากว่า กรรมเป็นกลุ่มคำที่เป็นยาวๆ จะไม่สามารถวางไว้หน้าบุพบทได้ ให้วางไว้หลังกริยาวลีเสมอ เช่น

  • He gave away every book that he possessed. (ถูกต้อง)
  • He gave every book that he possessed away. (ผิด)

2. แบบ inseparatable verbs คือกริยากลุ่มที่ถ้ามีกรรมมารับจะไม่สามารถแยก verb กับ preposition ออกจากกันได้ ต้องวางกรรมไว้หลังสุด เช่น

  • The teachers have to look after students at school.
    ไม่สามารถเขียนว่า The teachers have to look students after at school.

ในบางครั้งกริยาวลีอาจจะเป็นแบบ three-word verb คือมีการใช้คำบุพบทมากกว่า 1 ตัว เช่น

put up with             อดทนกับ                catch up with                    ตามทัน
look down to           ดูถูก                        run out of                หมด

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • We are about to run out of water.
    พวกเรากำลังจะไม่มีน้ำ
  • I can’t put up with that noise any longer.
    ฉันทนเสียงนั่นต่อไปไม่ได้แล้ว

** มีอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ กริยาบางตัวที่ตามด้วยคำบุพบทจะไม่ใช่ กริยาวลี วิธีการแยกแยะระหว่างกริยาวลีและกริยาที่ตามด้วยคำบุพบทคือ กริยาที่ตามด้วยคำบุพบท คือ กริยาที่มีคำบุพบทแต่ไม่เปลี่ยนความหมายของคำกริยานั้น เช่น agree with ก็ยังคงมีความหมายเดิมของ agree และ with คือ “เห็นด้วยกับ” หรือ wait for ก็ยังแปลว่า “รอ”

แต่กริยาวลี คือ กลุ่มคำที่ประกอบไปด้วย คำกริยา และ บุพบท โดยที่จะให้ความหมายใหม่ขึ้นมา เช่น ask out ไม่ได้มีเค้าความหมายเดิมของ ask และ out แต่จะแปลว่า “ชวนออกไปข้างนอก” หรือ run into แปลว่า “พบ(ใครคนหนึ่ง)โดยบังเอิญ

การเข้าใจความหมายของกริยาวลีจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆสำหรับหลายๆคนเพราะมันมีความหมายที่ไม่ใช่ความหมายเดิมนั่นเอง วิธีการเดียวก็คือต้องเจอบ่อยๆใช้บ่อยๆจึงจะจำได้เอง ^^

การใช้ always

การใช้ always

การใช้ always

always เป็น adverb of frequency หรือคำบอกความถี่ แปลว่า “สม่ำเสมอ, เป็นประจำ” ซึ่งโดยปกติเรามักจะใช้ always คู่กับประโยค present simple tense เพื่อบอกถึงสิ่งที่เราทำซ้ำซาก จำเจ ทำสม่ำเสมอ (habitual actions) ในปัจจุบัน  เช่น

  • They are always kind to me.
  • We always satisfy our customers.
  • She always goes without saying goodbye.
  • My mom always tells me to be careful when I drive.

ตำแหน่งในการวาง always คือวางไว้หน้าคำกริยาในประโยค แต่ถ้าประโยคนั้นมี verb to be ก็ให้วางไว้หลัง verb to be

แต่ทราบหรือไม่ว่า always ก็ใช้คู่กับ present continuous tense ได้ แต่ความหมายที่สื่อออกมามันจะเปลี่ยนไป มันจะแปลได้ว่า สิ่งที่ทำสม่ำเสมอหรือซ้ำซากนั้นทำให้เรารำคาญหรือมีผลกระทบในทางที่ไม่ดีกับเรา เช่น

  • He is always looking at me.
    เขาชอบมองฉันบ่อยๆ

(ซึ่งการมองนี้ไม่ได้ทำให้คนถูกมองยินดีปรีดาแต่อย่างใด แต่เป็นในเชิงน่ารำคาญเสียมากกว่า)

  • You are always pretending to love me.
    คุณชอบเสแสร้งทำเป็นรักฉัน (แต่จริงๆแล้วอาจจะไม่ได้รัก ซึ่งทำให้ฉันรำคาญหรือเสียใจหรือน้อยใจ)
  • You are always complaining about silly things.
    เธอน่ะชอบบ่นเรื่องอะไรที่มันงี่เง่า (ซึ่งมันน่ารำคาญ)

ตำแหน่งในการวาง always ก็เช่นเดิม คือให้วางไว้หน้า verb ในประโยค และสิ่งที่ควรระวังเมื่อใช้ always คือ หลัง always ต้องมี s เสมอ เพราะบางคนชอบเขียน alway แบบนี้ค่ะ และถ้าหากประธานเป็นเอกพจน์ กริยาก็ต้องเติม s ด้วย เพราะบางคนคิดว่ามี s ที่ always แล้ว กริยาไม่ต้องเติม s แล้ว อันนี้มีคนเคยเขียนผิดมาแล้ว   เช่นถ้าประโยคคือ

  • He always eats after midnight.   ไม่ใช่ He always eat after midnight.

การใช้ can, could, to be able to

การใช้ can, could, to be able to

การบอกความสามารถในภาษาอังกฤษ (การใช้ can, could, to be able to)

การบอกความสามารถในภาษาอังกฤษที่เห็นจะใช้กันบ่อยๆก็คือ can, could และ to be able to ค่ะ สามตัวนี้สามารถใช้แทนกันได้ในบางกรณี และในบางสถานการณ์ก็ใช้แทนกันไม่ได้ ถ้าจะพูดถึงความสามารถทั่วๆไปในปัจจุบัน ก็ใช้ can โดยที่ can + V1 ถ้าเป็นปฏิเสธก็ใช้ cannot หรือ can’t แต่ถ้าเป็นความสามารถทั่วๆไปในอดีต ก็ใช้ could + V1 ถ้าเป็นปฏิเสธก็ใช้ could not หรือ couldn’t เช่น

  • He can drive a car.
  • She can’t live alone.
  • I could sing French songs when I was in high school.
  • My children couldn’t swim until they were five.

To be able to สามารถนำมาใช้แทน can หรือ could ได้ในการพูดถึงความสามารถทั่วๆไปเช่นนี้ได้ เช่น

  • He is able to juggle the ball very well.
  • They are able to row the boat cross the river.

แต่ในประโยคที่เป็น future tense, perfect tense หรือ infinitive เราไม่สามารถใช้ can ได้ จึงต้องใช้ to be able to แทน เพราะเราไม่สามารถพูดว่า I will can call you tonight. ได้ (เพราะกริยาช่วยสองตัวมันจะอยู่ด้วยกันไม่ได้) จึงต้องพูดว่า I will be able to call you tonight. หรือตัวอย่างอื่นๆเช่น

  • I haven’t been able to get much work done today.
  • I want to be able to speak four languages.

ในประโยค passive voice เราสามารถใช้ได้ทั้ง can, could และ be able to เช่น

  • The car can’t be fixed within two days.
  • The room is able to be painted today.

ในบางสถานการณ์ที่เป็นอดีต เราไม่สามารถใช้ could ได้ แต่จะใช้ was/were able to แทน คือเหตุการณ์ที่เราต้องการสื่อว่าเราสามารถทำอะไรสำเร็จได้ในอดีต เช่น

  • Joshua was able to win the gold medal at the Olympic Games.
  • Samantha and Maria were able to enter the Top Ten university in America.

ในสถานการณ์นี้ถ้าเราใช้ could มันจะแปลว่าเราสามารถทำสิ่งนี้ได้ ซึ่งอาจจะได้ทำหรือไม่ได้ทำก็ได้ แต่ในกรณีนี้ได้ทำไปแล้วและสามารถทำได้แล้วจึงใช้ to be able to แทน

*** ขอเพิ่มเติมในกรณีที่ can กับ could สามารถใช้ในการขอร้องหรือการขออนุญาต ในกรณีนี้ไม่สามารถใช้ to be able to แทนได้ เช่น

  • Can you pass me the salt?         ช่วยส่งเกลือมาให้หน่อยได้มั้ย

เราไม่สามารถพูดว่า

  • Are you able to pass me the salt?

เพราะจะเป็นการถามถึงความสามารถซะมากกว่าประมาณว่ามีความสามารถในการส่งเกลือมาได้มั้ย ซึ่งมันก็จะไม่ใช่การขอร้อง

จบเรื่องการพูดเรื่องความสามารถในภาษาอังกฤษค่ะ ดูเหมือนจะใช้ง่ายๆ แต่ถ้าลงรายละเอียดลึกลงไปนี่ก็ทำเอามึนได้เหมือนกัน   ลองฝึกใช้ดูค่ะ ^^

ประโยคคำถาม Subject and Object Question

Subject and Object Question

Subject and Object Question

เรียนภาษาอังกฤษก็วนเวียนอยู่แต่กับ Subject ไม่ก็ Object นี่แหละค่ะ เพราะประโยคมันก็ประกอบไปด้วย Subject คือผู้กระทำกริยา หรือบางประโยคก็จะมี Object ผู้ถูกกระทำ หรือ Subject เป็นผู้ถูกกระทำซะเองซึ่งก็คือ โครงสร้างประโยคแบบ Passive voice นั่นเองค่ะ แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้คือ Subject and Object Question เป็นประโยคคำถามด้วยกันทั้งคู่! แต่มันต่างกันอย่างไร มาดูกันเลยค่ะ

1. Subject Questions คือ ประโยคคำถามที่ Question words (what, who, where, when, etc.) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค หรือถ้าจะให้พูดง่ายกว่านั้นคือ คำถามนี้ต้องการถามหาประธานที่กระทำกริยา โครงสร้างประโยคของมันก็ง่ายๆ ใช้ question words ที่เราต้องการถาม แล้วตามด้วย verb ได้เลย ง่ายมั้ย!! เช่น

  • Who ate my cake in the fridge? / Babara did.
    ใครกินเค้กฉัน / บาบาร่ากิน

( ถามหาคนกินเค้ก ซึ่งคือผู้กระทำกริยา จึงเป็นประธานในประโยค)

  • Who is playing the piano? It’s awesome!
    ใครเล่นเปียโนน่ะ อย่างเพราะเลย!
  • What brings you here?
    ลมอะไรหอบมานี่ได้?

2. Object Questions คือ ประโยคคำถามที่ Question words ทำหน้าที่เป็นกรรมในประโยค ซึ่งโครงสร้างประโยคจะแตกต่างจากแบบแรกเพราะต้องใส่ตัวช่วยนั่นคือ (is, am, are, was, were, do, does, did, has, have, had, modal verbs) โดยกริยาช่วยเหล่านี้มันจะไปแทรกอยู่หน้าประธานค่ะ เช่น

  • Where have you been?
    เธอไปอยู่ที่ไหนมา
  • What are you listening to?
    คุณกำลังฟังอะไร
  • Who did you see on the beach last night?
    เมื่อคืนเธอเห็นใครที่ชายหาด
  • What should I do to quit smoking?
    ฉันควรจะทำยังไงดีที่จะเลิกบุหรี่

** เพิ่มเติมหลักการใช้กริยาช่วย do, does, did นิดนึงว่า ถ้ามีกริยาช่วยในกลุ่มนี้ปุ๊บ กริยาแท้ในประโยคไม่ว่ามันจะเพิ่มออปชั่นอะไรเข้าไป เช่น เติม s/es หรือ เติม ed/V2 อยู่ให้มันกลับมาเป็น Verb1 หรือ based form ธรรมดาได้เลย

และกฎเหล็กที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ ในประโยคเดียวกันกริยาช่วยจะใช้ซ้ำซ้อนกันไม่ได้ มีช่วยแล้วก็ยังจะมาช่วยอีก อันนี้ไม่ได้เด็ดขาด! เช่น ในประโยค present continuous tense มีกริยาช่วยคือ is, am, are อยู่แล้ว ไม่ต้องไปใส่ do หรือ does เข้าไปอีก เช่น

  • Where are you going?
    ไม่ใช่             Where do are you going?      X
  • What sport can you play?
    ไม่ใช่             What sport do you can play?   X

ฉะนั้นจำไว้ว่า ถ้ามีกริยาช่วยในประโยคให้มีตัวเดียวพอค่ะ ไม่ต้องไปใส่ซ้ำซ้อนนะคะ ^^

การใช้ Future perfect tense

Future perfect tense

การใช้ Future perfect tense

Future perfect tense เป็น tense ที่ไม่ค่อยได้เจอสักเท่าไหร่ ถ้าพูดถึง future tense ก็มักจะรู้จักแต่ future simple tense แต่สำหรับ future perfect tense นั้นถึงแม้จะไม่ค่อยได้ขุดมาพูดซักเท่าไหร่ แต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหลาย

โครงสร้างของ future perfect tense คือ

Subject + will + have + V3

เช่น

  • She will have studied English course for 1 year next week.
    เธอจะเรียนภาษาอังกฤษมาครบปีนึงแล้วในสัปดาห์หน้านี้

วิธีการใช้ Future perfect tense แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเสร็จสิ้นในอนาคต มักมีตัวบอกเวลาในอนาคตกำกับ เช่น

  • I’ll have been ready for our trip at 7 a.m. tomorrow.
    พรุ่งนี้ตอนเจ็ดโมงเช้า ฉันก็คงจะพร้อมสำหรับไปเที่ยวแล้ว

(หมายความว่า พรุ่งนี้เวลาเจ็ดโมง ฉันจะพร้อมออกเดินทางแล้วเพราะเตรียมตัวเสร็จแล้ว ถ้าจะมารับก็มารับเวลานั้นได้เลย)

  • Tomorrow morning, we will have finished our project.
    พรุ่งนี้เช้าเราก็จะทำโครงการของเราเสร็จแล้ว

(หมายความว่า พรุ่งนี้เช้าก็จะเป็นเวลาที่โครงการของเราเสร็จสมบูรณ์พอดี พร้อมส่งมอบ)

  • I think my students won’t have finished their assignments by Friday.
    ฉันคิดว่านักเรียนคงจะยังทำงานไม่เสร็จภายในวันศุกร์แน่

2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์   เหตุการณ์ที่จะเสร็จสมบูรณ์ในอนาคตใช้ future perfect อีกเหตุการณ์หนึ่งใช้ present simple เช่น

  • The children will have woken up when we arrive.
    เด็กก็คงจะตื่นกันแล้วตอนเราไปถึง
  • I will have finished my call when the train comes.
    ฉันก็คงจะโทรเสร็จไปแล้วตอนที่รถไฟมา

ลองเทียบความแตกต่างระหว่าง future perfect กับ present perfect จากสองประโยคนี้ค่ะ

  • I will have worked here for two years next month.
  • I have worked here for two years.

ประโยคแรกเป็น future perfect หมายถึงว่า ฉันจะทำงานที่นี่ครบสองปีในเดือนหน้า ซึ่ง ณ เวลาที่พูดนั้นยังไม่ครบสองปี
แต่ประโยคที่สองเป็น present perfect หมายถึง ฉันทำงานที่นี่มาสองปีแล้ว ซึ่ง ณ เวลาที่พูดก็ครบสองปีพอดี

และถ้าลองเทียบความแตกต่างระหว่าง future continuous กับ future perfect ลองดูสองประโยคนี้ค่ะ

  • I will be eating breakfast when you arrive.
  • I will have eaten breakfast when you arrive.

ประโยคแรกเป็น future continuous หมายถึง ฉันจะกำลังกินอาหารเช้าอยู่ตอนที่คุณมาถึง ซึ่งถ้าคุณมารับตอนนั้นก็ต้องรอให้ฉันกินข้าวเสร็จก่อน
แต่ประโยคที่สองเป็น future perfect หมายถึง ฉันจะกินข้าวเช้าเสร็จแล้วตอนที่คุณมาถึง นั่นหมายความว่า ถ้าคุณมารับตอนนั้นฉันก็พร้อมออกไปกับคุณได้เลยเพราะกินข้าวเสร็จแล้ว

การใช้ Active and Passive Voice ในภาษาอังกฤษ ตอนที่2

Active and Passive Voice

Active and Passive voice (2)

ประโยค Passive voice มีครบทั้ง 12 tense ซึ่งแต่ละ tense ก็จะมีรูปร่างหน้าตาโครงสร้างที่แตกต่างกันออกไป โดยมีการปรับจาก โครงสร้างหลักของ passive voice คือ

                    S + Verb to be + V3

โครงสร้าง passive voice ในแต่ละ tense มีดังนี้ค่ะ

1. Present simple tense

Active :        S + V1
Passive :      S + is / am / are + V3

ตัวอย่างเช่น

Active :        Sarah cooks dinner.
Passive :       Dinner is cooked by Sarah.

2. Present continuous tense

Active :        S + V. to be + Ving
Passive :      S + is / am / are + being + V3

ตัวอย่างเช่น
Active :        Sarah is cooking dinner.
Passive :       Dinner is being cooked by Sarah.

3. Present perfect tense

Active :        S + have / has + V3
Passive :      S + have / has + been + V3

ตัวอย่างเช่น
Active :        Sarah has cooked dinner.
Passive :       Dinner has been cooked by Sarah.

4. Present perfect continuous tense

Active :        S + have / has + been + Ving
Passive :      S + have / has + been + being + V3

ตัวอย่างเช่น

Active :        Sarah has been cooking dinner.
Passive :       Dinner has been being cooked by Sarah.

5. Past simple tense

Active :        S + V2
Passive :      S + was / were + V3

ตัวอย่างเช่น    Continue reading

การใช้ Active and Passive Voice ในภาษาอังกฤษ ตอนที่1

Active and Passive Voice

Active and Passive voice (1)

ในภาษาอังกฤษ รูปประโยคที่ทำเอาคนเรียนมึนเอามากๆเห็นจะเป็น ประโยค passive voice เพราะในภาษาไทยมันไม่มีโครงสร้างประโยคแบบนี้ ในภาษาอังกฤษจะมีโครงสร้างประโยค 2 รูปแบบด้วยกันคือ

1. Active voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำกริยา ซึ่งก็คือประโยคที่เราถูกสอนกันมาตั้งแต่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ เช่น

  • Johan is drinking coffee.
    โจฮันกำลังดื่มกาแฟ   (โจฮัน เป็นผู้กระทำกริยา ดื่ม )
  • Jack and Thomas always go to school together.
    แจ๊คและโธมัสไปโรงเรียนด้วยกันเสมอ  (แจ๊คกับโธมัส ซึ่งเป็นประธานของประโยคเป็นผู้กระทำกริยา)

2. Passive voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ ซึ่งในภาษาไทยเราไม่เคยพูดว่า ฉันถูกบอก ฉันถูกถาม บ้านถูกกวาด นี่คือความยากของ passive voice ที่ทำให้เราสับสน ตัวอย่างเช่น

  • My room was cleaned by my mom.
    ห้องของฉันถูกทำความสะอาดโดยแม่ หรือ ถ้าแปลในความหมายที่เป็นธรรมชาติคือ แม่ทำความสะอาดห้องของฉัน
  • The ceremony was held by Ministry of Commerce.
    พิธีจัดขึ้นโดยกระทรวงพาณิชย์ (ประธาน the ceremony ถูกกระทำ)

ประโยคแบบ passive voice จะสลับเอากรรมขึ้นมาเป็นประธานของประโยค เพื่อบอกว่าสิ่งนี้ถูกกระทำ

ทำไมต้องใช้ passive voice?

เหตุผลที่ใช้ passive voice ประการแรกเลยคือต้องการเน้นประธานที่ถูกกระทำ แต่ไม่ต้องการเน้นผู้กระทำ   อีกเหตุผลหนึ่งคือไม่คนที่กระทำอย่างแน่ชัดว่าใครทำ จึงต้องเอากรรมมาเป็นประธาน

Passive voice นั้นมีได้ทุก tense ครบทั้ง 12 tense เลย แต่รูปร่างหน้าตาของโครงสร้าง passive voice ในแต่ละ tense จะแตกต่างกันออกไป แต่โครงสร้างหลักๆ ของ passive voice คือ

                              S + Verb to be + V3 (by…)

วิธีการเปลี่ยนประโยคจาก active voice เป็น passive voice มีดังนี้

1. ประโยคที่มีกรรมตัวเดียว

  • เอากรรม ย้าย มาเป็นประธาน
  • เลือกใช้ Verb to be ให้ถูกต้อง
  • กริยาแท้ให้เปลี่ยนเป็น V3
  • เอาประธาน หรือผู้กระทำไปไว้หลัง by (กรณีที่จะใส่ผู้กระทำ) เช่น

                    Active: A snake did not bite her.
                    Passive: She was not bitten by a snake.

2. ประโยคที่มีกรรม 2 ตัว

กรรมตรง (Direct Object)    = สิ่งของ     และ
กรรมรอง (Indirect Object) =   คน

เมื่อมี กรรม 2 ตัว เวลาเปลี่ยนเป็น passive voice นิยมเอา “คน” เป็นประธาน แต่ถ้าเอา “สิ่งของ” เป็นประธานก็ได้ แต่ต้องใส่บุพบท to หน้า “คน” เช่น

                    Active: Dome gives me a flower.
                    Passive: I am given a flower by Dome. หรือ  A flower is given to me by Dome.

ในบางครั้งเวลาอ่านเนื้อเรื่อง ถ้าเราแยกโครงสร้าง passive voice ไม่ได้ แล้วแปลประโยคนั้นๆแบบ active voice จะทำให้ความหมายผิดเพี้ยนไป   ติดตามโครงสร้างของ passive voice ในแต่ละ tense ได้ในตอนที่ 2 ค่ะ