Category Archives: เรียนภาษาอังกฤษกับ English 360 องศา

“open กับ closed” เปิดปิดทำการ

เคยสงสัยมั๊ย!!! ว่าทำไมป้ายที่แขวนหน้าร้านเพื่อบอกว่า เปิด/ปิดทำการ จึงใช้คำว่า “open กับ closed” ไม่ใช่ open กับ close…….

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในภาษาอังกฤษคำว่า “เปิดทำการหรือปิดทำการ” เป็นคำคุณศัพท์ (adjective)
คำว่า open เมื่อเป็นคำคุณศัพท์ก็แปลว่าเปิดได้ แต่สำหรับ close ที่หลายๆคนมักจะนำไปใช้ผิดกันนั้น ถ้าเป็นคำคุณศัพท์จะแปลว่า ใกล้ชิดหรือสนิท จึงนำมาใช้ในความหมายว่าปิดทำการไม่ได้ คำคุณศัพท์ที่แปลว่าปิดก็คือ closed ซึ่งหากจะพูดให้เต็มประโยคก็คือ

  • We are open. ร้านเราเปิดทำการ
  • We are closed. ร้านเราปิดทำการ

…ติดตามได้ในเพจ English 360 องศา

ความแตกต่างระหว่าง made of กับ made from

ความแตกต่างระหว่าง made of กับ made from

ความแตกต่างระหว่าง made of กับ made from

  • This chair is made of wood. “เก้าอี้ตัวนี้ทำมาจากไม้”
  • This glass is made from sand. “แก้วใบนี้ทำมาจากทราย”

จากสองประโยคด้านบนจะเห็นว่า made of กับ made from แปลว่า “ทำมาจาก…” เหมือนกัน หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่าสองคำนี้มันใช้ต่างกันยังไง?

คำตอบก็คือ……

เราจะใช้ “made of” กับคำนามที่แค่เพียงมองแวบเดียวด้วยตาก็สามารถบอกได้ทันทีว่าทำมาจากวัตถุดิบอะไร เช่นเก้าอี้เราก็มองออกได้ทันทีว่าทำมาจากไม้

ส่วนในกรณีของ “made from” เราจะใช้กับคำนามที่ต่อให้เพ่งมองขนาดไหนก็ยังไม่รู้ว่าทำมาจากอะไรอยู่ดี พูดง่ายๆก็คือถูกแปรรูปไปไม่หลงเหลือเศษเสี้ยวของวัตถุดิบเดิมอยู่เลยไงล่ะ

เช่นแก้วที่ทำมาจากทราย เราก็ไม่เห็นทรายแม้แต่เม็ดเดียวในแก้วใบนั้น
พอจะเข้าใจความต่างของ “made of” กับ “made from” กันบ้างหรือยังคะ ^^

…ติดตามได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน “have a crush on (someone)”

สำนวน "have a crush on (someone)"

สำนวน “have a crush on (someone)”

  • “have a crush on (someone)”

คำว่า crush แปลได้หลายความหมาย โดยมากมักหมายถึง บดให้ละเอียด หรือ คั้น แต่ในสำนวนนี้จะหมายถึง “หลงใหลหรือหลงรักใครสักคน” เป็นอาการหลงใหลได้ปลื้มหรือแอบชอบมากว่า เช่นในตัวอย่างประโยคต่อไปนี้

  • “I think I know you have a crush on her.”
    “รู้นะว่านายน่ะแอบชอบเธออยู่”
  • “I really had a tremendous crush on Robert when he acted as Edward in Twilight.”
    “ฉันโคตรปลื้มโรเบิร์ตเลยตอนที่เขาแสดงเป็นเอ็ดเวิร์ดในเรื่อง Twilight น่ะ”

แต่ถ้าเทียบกับสำนวน “fall in love with (someone)”แล้วล่ะก็ คำว่า fall in love จะดูจริงจังมากกว่า have a crush on…
ลองเอาไปใช้ดูนะคะ ^^

…ติดตามได้ในเพจ English 360 องศา

ความแตกต่างระหว่างคำว่า “House กับ Home”

“House กับ Home”

“House กับ Home” ต่างกันอย่างไร

House กับ Home
House กับ Home

คำว่า House ส่วนใหญ่แล้วจะให้ความหมายเชิงกายภาพคือหมายถึงตัวบ้านที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง แต่คำว่า Home ก็แปลว่าบ้านเหมือนกันแต่จะให้ความหมายในเชิงของความรู้สึก ซึ่งอาจสื่อได้ถึงความรัก ความอบอุ่น ความสุขที่เกิดขึ้นภายในบ้านด้วย เหมือนเวลาที่เรารู้สึกคิดถึงบ้าน ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “homesick” ซึงบอกความหมายเป็นนัยๆว่าเราไม่ได้คิดถึงบ้านที่เป็นตัวบ้านเพียงอย่าง เดียวแต่ยังคิดถึงความรักความอบอุ่นที่อยู่ในนั้นด้วย มีสุภาษิตหนึ่งได้อธิบายความหมายของสองคำนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า

  • A house is made of “brick and stone”.
  • A home is made of “love” alone.

แปลได้ใจความว่า
house นั้นสร้างจากอิฐและหิน แต่ home นั้นสร้างมาจากความรักล้วนๆ……
เห็นมั๊ยคะ ฝรั่งเขาก็มีการแฝงความนัยในคำศัพท์เอาไว้เหมือนกัน

 

อ่านเพิ่มเติม มี home…ต้องไม่มี to

…ติดตามได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน “Don’t judge each day by the harvest you reap but by the seeds that you plant.”

สำนวน “Don’t judge each day by the harvest you reap but by the seeds that you plant.”

Idiom of The Day (สำนวนที่น่าสนใจในวันนี้) คือ

  • “Don’t judge each day by the harvest you reap but by the seeds that you plant.”
    “อย่าประเมินวันในแต่ละวันของคุณด้วยกับผลิตผลที่คุณเก็บเกี่ยวได้ แต่ให้เราวัดจากเมล็ดพันธ์ที่เราได้ปลูกมันลงไปต่างหาก”

คำศัพท์ที่น่าสนใจในประโยคนี้มีอะไรกันบ้างมาดูกัน…

  • คำแรกคำว่า “judge” ในประโยคนี้เป็นคำกริยาแปลว่า “ตัดสินหรือประเมิน คาดคะเน” ในที่นี้ขอเลือกใช้คำว่าประเมินแล้วกันนะ
  • คำถัดมาคือคำว่า “harvest” หมายถึง “ผลผลิตหรือการเก็บเกี่ยว” ก็ได้ ในประโยคนี้เป็นคำนาม เพื่อให้ตรงกับบริบทของประโยคข้างต้นก็ขอแปลว่าผลผลิตแล้วกันค่ะ harvest ก็เป็นคำกริยาได้นะ แปลคล้ายๆกันว่า เก็บเกี่ยว นั่นแหละ
  • ส่วนคำว่า “reap” ถัดมาเป็นคำกริยาหมายถึง เก็บเกี่ยว และอีกคำที่น่าสนใจก็คือ “plant” ที่อยู่ท้ายประโยคเลยทำหน้าที่เป็นคำกริยาอีกเช่นกันแปลว่า “เพาะปลูก”

หากว่าใครแปลได้สละสลวยกว่าสำนวนที่แปลด้านบนแล้วล่ะก็ คอมเม้นมาแบ่งปันกันได้เลยค่ะ ^^

…ติดตามได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน “To put yourself in someone’s shoes””

สำนวน "To put yourself in someone's shoes"

สำนวน “To put yourself in someone’s shoes”

สำนวนนี้ไม่ได้บอกให้เราไปอยู่ในรองเท้าของใครนะ แต่เป็นการเปรียบเปรยว่าให้เราเอาใจเขามาใส่ใจเรา หากเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขา ตัวอย่างประโยคเช่น :

  • If you put yourself in his shoes, what will you do?
    “ถ้าหากคุณเจอแบบเขา คุณจะทำอย่างไร”
  • หรือ “You are not the only one who has missed the train, lots of people are in your shoes.”
    ” ไม่ใช่เธอคนเดียวที่ตกรถไฟ ยังมีอีกตั้งหลายคนที่เป็นเหมือนเธอนะ”

พอจะเข้าใจสำนวนนี้กันบ้างหรือยังจ๊ะ?
ลอง put yourself in someone’s shoes ดูนะ หรือ ลองให้คนอื่นมา put himself in your shoes ดูบ้างก็ได้นะจ๊ะ เราจะได้เข้าใจกันมากขึ้นเวลาที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขาไง

…ติดตามได้ในเพจ English 360 องศา

การใช้ somewhat somehow และ somewhere

การใช้ somewhat somehow และ somewhere

# การใช้ somewhat somehow และ somewhere

สามคำนี้ somewhat somehow และ somewhere ต่างก็เป็น adverb ทั้งหมดเลยค่ะ แต่ความหมายต่างกันนะคะ

** somewhat แปลง่ายๆว่า “ค่อนข้างจะ” แต่ในบางสถานการณ์อาจจะแปลอย่างนี้ก็ได้ค่ะ เพื่อให้ได้อรรถรสในภาษา เช่น แปลว่า “ออกจะ, ติดจะ” มาดูตัวอย่างกันค่ะ

  • His behavior has been somewhat unreasonable.
    พฤติกรรมของเขาดูออกจะไร้เหตุผลไปหน่อย (ค่อนข้างจะไร้เหตุผลนั่นแหละค่ะ)
  • The economy has improved somewhat during the past year.
    เศรษฐกิจค่อนข้างจะดีขึ้นมาบ้างในช่วงปีที่แล้ว
  • This house is somewhat old, but it looks nice.
    บ้านหลังนี้ติดจะเก่าไปสักหน่อยแต่ก็ดูสวยดี

** ส่วนคำว่า somehow แปลว่า ” ด้วยวิธีใดก็ตาม, ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง” หรือพูดง่ายๆประมาณว่า ไม่ว่ายังไง, ถึงยังไง ซึ่งบางทีผู้พูดเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หรือใช้วิธีไหน เช่น Continue reading

ว่าด้วยเรื่องของ Question tag ในภาษาอังกฤษ

Question tag ในภาษาอังกฤษ

# ว่าด้วยเรื่องของ Question tag

Question tag คือประโยคคำถามที่ห้อยท้ายอยู่หลังประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธ หน้าตาของมันจะเป็นแบบนี้ค่ะ

  • Today is Sunday, isn’t it?

ส่วนที่ห้อยท้ายอยู่ คือ isn’t it? นี่แหละค่ะที่เราเรียกว่า question tag ซึ่งจะพบบ่อยในภาษาพูดมากกว่า พูดเพื่อเน้นความมั่นใจหรือไม่มั่นใจในสิ่งที่เราพูด ลองเปรียบเทียบประโยคคำถามธรรมดากับประโยคคำถามแบบ question tag ดูนะคะ

  • Can you play guitar?
  • You can guitar, can’t you?

สองประโยคนี้แตกต่างกันตรงที่ ประโยคแรก เป็นการถามทั่วๆไป เพื่อต้องการรู้ข้อมูลนั้นจริงๆ ว่าอีกฝ่ายเล่นกีต้าร์เป็นมั๊ย แต่ประโยคที่สองที่มี question tag คือเรารู้อยู่แล้วว่าเขาเล่นเป็นแต่ต้องการถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้น

** หลักการเขียน question tag มีดังนี้ค่ะ

– ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นบอกเล่า question tag จะต้องทำเป็นรูปปฏิเสธค่ะ เช่น

  • She came here yesterday, didn’t she?
    เมื่อวานเธอมาที่นี่ใช่มั๊ย

– ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นปฏิเสธ question tag ต้องเป็นบอกเล่าค่ะ เช่น

  • He won’t quit, will he?
    เขาจะไม่ลาออกใช่มั๊ย

*** โครงสร้างของ question tag ก็คือ “กริยาช่วย + ประธาน”
ซึ่งประธานจะต้องเป็น Pronoun (สรรพนาม) เท่านั้นนะคะ และถ้าต้องทำกริยาช่วยให้เป็นปฏิเสธก็ต้องใช้รูปย่อเท่านั้นค่ะ กริยาช่วยนั้นก็คือ กริยาพวก Verb to be, Verb to do, Verb to have และยังรวมไปถึง Modal verb (can, could, shall, should, will, would, etc. ) ด้วยนะคะ Continue reading

กีฬาเมื่อมีชนะ ก็ต้องมีแพ้ win & lose

แพ้ ชนะ ภาษาอังกฤษ

# win & lose

ช่วงนี้กระแสกีฬากำลังฟีเวอร์ในไทย เริ่มมาจากแบดมินตันที่น้องรัชนกซิวแชมป์มาฝากคนไทยได้สำเร็จ หรือที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆก็เห็นจะเป็นกีฬาวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชียที่เรียกรอยยิ้มให้กับคนไทยได้มีความสุขกันถ้วนหน้า รวมถึงกระแสฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษที่กำลังดุเด็ดเผ็ดมันอยู่ในขณะนี้

พูดถึงกีฬาก็ต้องมีแพ้มีชนะ ในภาษาอังกฤษคำว่า ชนะ ก็มีหลายคำด้วยกัน คำที่คุ้นๆกันอยู่แล้วก็คือ win
win แปลว่า ชนะ ถ้าจะบอกว่า ชนะกีฬาอะไร หรือรายการกีฬาอะไรก็ใช้ win แล้วตามด้วยชื่อรายการที่แข่งขันได้เลย เช่น

  • Ratchanok Inthanon of Thailand won the women’s single title at the World Badminton Championship.
    รัชนก อินทนนท์ ของไทยชนะรายการหญิงเดี่ยวในการแข่งขันแบดมินตันชิงแชมป์โลก

จะบอกว่าชนะรางวัลที่หนึ่งหรือเหรียญทองก็ได้ เช่น

  • Ratchanok won the gold medal at the World Badminton Championship.
    รัชนกชนะเหรียญทองในการแข่งแบดมินตันชิงแชมป์โลก

แต่ถ้าจะบอกว่า ชนะทีมไหนหรือชนะใครให้เราใส่ preposition (บุพบท) คำว่า against หรือ over ลงไปด้วย เช่น

  • Arsenal wins against Stoke City at the Emirates Stadium.
    อาร์เซนอลเอาชนะสโต๊คซิตี้ ที่สนามกีฬาเอมิเรตส์

** นอกจากคำว่า win ก็สามารถใช้คำว่า defeat หรือ beat ก็ได้ แปลว่า “เอาชนะ, ทำให้พ่ายแพ้” คำนี้สามารถตามหลังด้วยชื่อทีมหรือคนได้เลย เช่น Continue reading

“So do I” ฉันก็ด้วยเหมือนกัน

# ถ้าอยากบอกว่า “ฉันก็ด้วยเหมือนกัน” ภาษาอังกฤษพูดว่ายังไง
การเขียนคล้อยตามความคิดเห็นหรือประโยคที่พูดมาก่อนนั้นขอแบ่งออกเป็น 2 กรณีนะคะ

  1. คล้อยตามประโยคที่เป็นบอกเล่า
  2. คล้อยตามประโยคที่เป็นปฏิเสธ

1. มาดูคล้อยตามประโยคบอกเล่ากันก่อนค่ะ
โครงสร้างที่สามารถใช้ได้คือ So + กริยาช่วย + ประธาน เช่น

  • A: I love cooking.
  • B: So do I. (มีความหมายเหมือนกับ I love cooking, too)
  • A: I have already finished my homework.
  • B: So have I. (เหมือนกับ I have finished, too.)
  • I can drive. —- So can I.
  • I must go now. —– So must I.
  • I am happy today —— So am I.

* สังเกตว่า กริยาช่วยจะไม่ใช่แค่ do อย่างเดียว จะเป็น is, am, are, was, were, have, has, had, can, could, should, will, would, must, etc. ก็ได้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับ tense ในประโยคก่อนหน้านะคะ Continue reading