Category Archives: ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

preposition + relative pronoun (from which, to which, on which…) ใช้ยังไง

preposition + relative pronoun (from which, to which, on which…) ใช้ยังไง

preposition + relative pronoun (from which, to which, on which…) ใช้ยังไง

ก่อนอื่นคงต้องสาธยายเริ่มต้นกันตั้งแต่ relative clause กันก่อน เผื่อใครอาจจะยังสับสน ตามไม่ทัน

Relative clause คือ อนุประโยคย่อยที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม

โครงสร้าง relative clause ก็คือ

                    relative pronoun (who, whom, which, that) + ประโยค

who / whom           ใช้ขยายคำนามที่เป็นคน
which                      ใช้ขยายคำนามที่เป็น สิ่งของหรือสัตว์ (หรือขยายสถานที่ก็ได้)
that                        ใช้ขยายคำนามได้ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ได้หมดเลย

ทีนี้ปัญหาคือ เราอาจจะเจอ preposition + relative pronounเวลาอ่านถึงกับงง ว่ามันมายังไง มาแล้วความหมายเปลี่ยนมั้ย คืออะไร?? เช่น

  • The officeat which I work is really far from my place.
    ออฟฟิตที่ฉันทำงานมันไกลจากบ้านฉันมาก

หลายคนก็สงสัยว่า at ทำไมถึงไปอยู่หน้า which ได้ จริงๆแล้วมันย้ายมาจากตรงนี้ค่ะ

  • The office which I work at is really far from my place.

เหตุผลที่เราเขียนแบบนี้ได้ก็คือ คำนามที่ relative clause ไปขยายนั้น เป็นกรรมของบุพบท เราสามารถย้ายบุพบทไว้หน้า relative pronounได้ค่ะ

** สำหรับ relative pronoun ที่เป็นthat เราไม่สามารถย้าย preposition มาไว้หน้า that ได้ค่ะ ดังนั้นมันก็เลยต้องอย่าหลัง คำกริยาเช่นเดิม เช่น

  • The officethat I work at is really far from my place.

ตัวอย่างอื่นๆ นะคะ

  • That womanto whom I talked is our new manager.
    ผู้หญิงคนนั้นที่ฉันคุยด้วยเป็นผู้จัดการคนใหม่ของพวกเรา

มาจากประโยค

  • That woman whom I talked to is our new manager.
  • The streetin which he lives is very busy all the time.
    ถนนที่เธออาศัยอยู่มันวุ่นวาย (มีรถวิ่ง คนเดิน) ตลอดเวลา
  • The dayon which I had a wedding party was my happiest day.
    วันที่จัดงานแต่งงานเป็นวันที่ฉันมีความสุขมากที่สุด
  • The organizationfor which he works is trying to raise money for charity.
    องค์กรที่เขาทำงานอยู่กำลังระดมทุนเพื่อการกุศล

** ในประโยคคำถามที่เป็น wh-question บางครั้งเราก็ใช้ preposition วางไว้หน้า wh-question ได้เลย เช่น

  • In which street does he live?
    บ้านเขาอยู่ถนนเส้นไหน

มาจาก    Which street does he live in?

การบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ

การบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ

การบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ

การบอกเวลาในภาษาอังกฤษมีทั้งแบบง่ายและแบบยากค่ะ ก่อนอื่นก่อนจะไปดูว่าเราจะบอกเวลาอย่างไร เรามาดูคำถามที่ใช้ถามว่า ตอนนี้เวลาเท่าไหร่กันก่อนค่ะ

คำถามเบสิค เลย คือถามว่า What time is it?                กี่โมงแล้ว

แต่บางครั้งคุณก็อาจจะได้ยินเขาถามว่า What’s the time?หรือ   Do you have the time? หรือ Have you got the time?งงใช่มั้ยล่ะ!! สามประโยคนี้ไม่น่าจะแปลว่า “ตอนนี้เป็นเวลากี่โมง” ได้ใช่มั้ยคะ แต่มันเป็นไปแล้วค่ะ

และในการบอกเวลาก็จะมีช่วงเวลาอยู่ 2 ช่วงด้วยกันเพื่อไม่ให้เกิดสับสนว่า เป็นตอนเช้าหรือตอนเย็น คือ

am ช่วง เที่ยงคืน ถึง เที่ยงวัน
pmคือช่วง เทียงวัน ถึง เที่ยงคืน

คราวนี้มาดูวิธีการตอบบ้าง เริ่มจากแบบง่ายๆก่อน

การบอกเวลาแบบง่าย
วิธีการก็คือให้บอกชั่วโมงก่อน แล้วตามด้วย นาที เช่น

3.30 pm        three thirty pm        (ทรี – เธอร์ตี้ – พีเอ็ม)                    บ่ายสามโมงครึ่ง
10.05 am     ten oh five              (เท็น – โอ – ไฟว์)               สิบโมงเช้าห้านาที

** ถ้ามีนาทีเป็นเลขตัวเดียวให้อ่านเลขศูนย์ข้างหน้าเป็น Oh

ง่ายมั้ยคะแบบนี้ บอกเวลาตรงตัวไปเลย

การบอกเวลาแบบยาก
อันที่จริงมันก็ไม่ได้ยากอะไร เพียงแต่มันจะต้องมีการคำนวนนาทีเล็กน้อย ทำยังไงมาดูกันค่ะ

การบอกเวลาแบบนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ

ตั้งแต่นาทีที่ 1 – 30 ฝรั่งจะพูดว่า จะพูดว่า มันคือ………..นาที ผ่าน………….นาฬิกา
(It’s …….past……..)เป็นการบอกว่า ผ่านเวลานั้นมากี่นาทีแล้ว

ตั้งแต่นาทีที่ 31 -59 จะต้องนับถอยหลังว่า มันคือ…………นาที จะถึง………..นาฬิกา
(It’s ……..to………)ถ้าเลย30 นาทีจะเป็นการนับถอยหลังว่าอีกกี่นาทีจะถึงเวลากี่โมง

แต่ถ้าเป็น 15 นาที หรือ 45 นาที ก็จะใช้คำว่า quarter ค่ะ เช่น

11.25 am      It’s twenty past eleven.     (ผ่านเวลา 11 โมงมา 25 นาที)
5.40 pm        It’s twenty to six.              (อีก 20 นาทีจะถึง 6 โมง)
3.45 am        It’s quarter to four.            (อีก 15 นาทีจะถึง 4 โมง)
2.15 pm        It’s quarter past two.         (ผ่านเวลา 2 โมงมา 15 นาที)

บอกแล้วว่าต้องมีการคำนวณนาทีเล็กน้อย แบบนี้อาจจะดูยุ่งยากซักหน่อย ไม่เหมือนแบบที่พี่ไทยพูดกัน แต่ถ้าพูดบ่อยๆก็จะชินค่ะ

แต่ทั้งสองแบบนี้ถ้าเป็นเวลาที่ไม่มีเศษนาทีให้พูดว่า o’clock ได้เลยค่ะ เช่น

4.00                        It’s four o’clock.

จะเลือกใช้แบบไหนก็ลองฝึกกันเลยค่ะ

make ใช้ยังไงให้เก๋

make ในภาษาอังกฤษ

make ใช้ยังไงให้เก๋

Make เป็นคำศัพท์ง่ายๆ แปลว่า “ทำ” แต่แทนที่เราจะพูดว่า

  • She made a cake last night.
    เธอทำเค้กเมื่อคืนนี้
  • My mom’s making dinner.
    แม่กำลังทำอาหารเย็นอยู่

ซึ่งมันเป็นประโยคธรรมด๊าธรรมดา มันก็มีโครงสร้างที่ใช้ make ในประโยคได้หลากหลายรูปแบบกว่านี้ค่ะ

1. Make + object/someone + verb (infinitive)แปลว่า ทำให้อะไรบางอย่าง / ใครบางคน…..ให้ทำอะไรซักอย่าง

เช่น

  • He always makes me cry.
    เขามักจะทำให้ฉันร้องไห้
  • I can’t make the printer work.
    ฉันทำให้เครื่องปริ้นท์ทำงานไม่ได้
  • She’s making her child laugh
    เธอกำลังทำให้ลูกๆของเธอหัวเราะ

** make เราก็ผันได้ตาม tense เลยค่ะ แต่กริยาหลังmake ต้องเป็นรูป infinitive คือกริยารูปเดิมไม่ผันไม่เติมอะไรใดๆทั้งสิ้นค่ะ

2. Make + someone / object + adjective/ nounแปลว่า ทำให้ใครหรืออะไรบางอย่าง…..เป็นอย่างไรหรือเป็นอะไร

เช่น

ตามด้วย adjective

  • You’ve just made my watch broken.
    เธอเพิ่งจะทำนาฬิกาฉันพัง
  • She made the story more interesting.
    หล่อนทำให้เรื่องดูน่าสนใจมากขึ้น
  • He can make the speech so meaningful.
    เขาทำให้สุนทรพจน์นั้นมีความหมาย

ตามด้วย noun

  • He makes his wife the luckiest woman in the world.
    เขาทำให้ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก
  • You make me a better man.
    คุณทำให้ฉันเป็นคนที่ดีขึ้น

3. Make someone do somethingmake ในความหมายนี้เป็นเชิงบังคับให้ใครทำอะไร กริยาที่ตามหลังจะต้องเป็น Verb infinitive เช่น

  • They made us work 12 hour a day.
    พวกเขาบังคับให้พวกเราทำงาน 12 ชั่วโมงต่อวัน

Make ในความหมายว่า บังคับ อาจจะใช้ในอีกโครงสร้างหนึ่งคือ

  • Be made to do something (passive voice)

เช่น

  • When I was young, I was made to remember 20 new words a week.
    ตอนเด็กๆฉันโดนบังคับให้จำคำศัพท์ใหม่ 20 คำต่อสัปดาห์

** เห็นมั้ยคะว่า make มันทำให้เป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนมากกว่าเดิมได้เยอะเลย

การใช้ let กับ let’s

การใช้ let กับ let’s

การใช้ let กับ let’s
Let กับ Let’s สองคำนี้ไม่ใช่คำเดียวกันค่ะ และความหมายที่นำไปใช้ก็แตกต่างกันด้วยค่ะถ้าคุณเจอสองประโยคนี้

  • Let go!
  • Let’s go!

สองประโยคนี้เราจะได้ยินในสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ประโยคแรกที่ไม่มี apostrophe s ( ‘s ) แปลว่า ปล่อยมันไปเหอะ ช่างมันเหอะ เช่น เพื่อนคุณเพิ่งจะรู้ว่าไม่ผ่านการสัมภาษณ์งาน เธอก็เลยพูดว่า let go. ช่างมันเหอะ

แต่ประโยคที่สอง แปลว่า ไปกันเถอะ เป็นการเชิญชวน เช่น คุณกับเพื่อนคุณกำลังจะไปออกทริปด้วยกัน เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม ทุกคนพร้อมแล้ว เพื่อนคุณก็พูดขึ้นมาว่า let’s go. ไปกันเหอะ

Let จะเป็นการอนุญาต หรือแปลว่า ปล่อย ก็ได้ ปกติการใช้ let จะอยู่ในรูปโครงสร้าง

 

          Let + object + Verb (infinitive)

เช่น

  • Let me help you.
    ให้ฉันช่วยคุณเถอะนะ
  • I usually let the children stay up late on Saturday night.
    ฉันมักจะอนุญาตให้เด็กๆอยู่ดึกได้ในคืนวันเสาร์
  • Let it be!
    ปล่อยมันไปเหอะ

** ไหนๆก็พูดเรื่องการอนุญาตแล้ว ก็ขอเพิ่มเติมคำศัพท์อีกตัวนึงนะคะ คือคำว่า allow แปลว่า อนุญาต เหมือนกัน แต่ใช้ต่างจาก let ตรงที่ มี allow ต้องมี to แต่ let ไม่ต้องมี เช่น

  • My dad let me go out on Friday night.
  • My dad allows me to go out on Friday night.
    พ่อฉันอนุญาตให้ฉันออกไปเที่ยวคืนวันศุกร์ได้

Let ยังใช้ในสำนวน let go of…something..แปลว่า ปล่อย เช่น

  • She let go of her son’ s hand, so he fell down.
    เธอปล่อยมือลูกชาย เขาก็เลยหกล้ม

 

Let’s จะเป็นการเชิญชวน แปลประมาณว่า …..กันเถอะ   จริงๆแล้วย่อมาจากคำเต็มคือ
Let us และตามประสาของคนที่ชอบย่อ ชอบตัดให้มันสั้นๆ (ง่ายๆคือ ขี้เกียจนั่นเอง) เลยเหลือแค่ Let’s ปกติก็ไม่ค่อยมีใครพูดว่า Let us จะใช้ Let’s มากกว่า

โครงสร้างคือ

 

          Let’s + Verb (infinitive)

เช่น

  • Let’s find something to drink.
    ไปหาอะไรดื่มกันเถอะ
  • Let’s call the police.
    โทรหาตำรวจกันเถอะ
  • It’s getting dark. Let’s go home.
    มันเริ่มจะมืดละ กลับบ้านกันเหอะ

 

 

หน่วยการนับคำนามนับไม่ได้

หน่วยการนับคำนามนับไม่ได้

หน่วยการนับคำนามนับไม่ได้

ในภาษาอังกฤษมีคำนามอยู่ 2 ประเภท คือ คำนามนับได้ และ คำนามนับไม่ได้ แน่นอนว่าคำนามนับได้ เราก็นับเป็นจำนวน หนึ่ง สอง สาม ได้อยู่แล้ว แต่คำนามนับไม่ได้นี่สิ เราจะนับยังไง วิธีการนับคำนามที่นับไม่ได้คือ นับตามจำนวนภาชนะที่ใส่มัน หรือ นับตามจำนวนหน่วยของการชั่ง ตวง วัด เช่น

  • I want two kilos of beef.
    ฉันอยากได้เนื้อวัว 2 โล
  • We need two spoons of sugar.
    เราต้องใช้น้ำตาล 2 ช้อน

หน่วยการนับของคำนามนับไม่ได้ ขอแบ่งคร่าวๆออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ

1. การนับโดยใช้ลักษณะนามของคำนั้นๆ เช่น

  • sheet
    a sheet of paper     กระดาษ 1 แผ่น
  • drop
    a drop of water  น้ำ 1 หยด
  • bar
    a bar of soap   สบู่ 1 ก้อน
    a bar of chocolate  ช้อคโกแลต 1แท่ง
  • piece
    a piece of meat เนื้อ 1 ชิ้น
  • loaf
    a loaf of bread ขนมปัง 1 แถว
  • bunch
    a bunch of flowers   ดอกไม้ 1 ช่อ
    a bunch of keys   กุญแจ 1 พวง
  • bouquet
    a bouquet of flowers   ดอกไม้ 1 ช่อ
  • pinch
    a pinch of salt  เกลือ 1 หยิบมือ
  • lump
    a lump of sugar  น้ำตาล 1 ก้อน
  • roll
    a roll of tissue paper     กระดาษทิชชู่ 1 ม้วน
  • tube
    a tube of toothpaste  ยาสีฟัน 1 หลอด

2. การนับโดยใช้ลักษณะของภาชนะที่บรรจุนามนั้นๆ เช่น

cup                         a cup of coffee                            กาแฟ 1 ถ้วย
glass                       a glass of milk                             นม 1 แก้ว
bottle                     a bottle of wine                           ไวน์ 1 ขวด
plate                       a plate of rice                              ข้าว 1 จาน
can                         a can of beer                               เบียร์ 1 กระป๋อง
bowl                       a bowl of soup                            ซุป 1 ถ้วย
pack                       a pack of potato chips                 มันฝรั่งทอด 1 ห่อ
sack                        a sack of rice                               ข้าว 1 กระสอบ
case                       a case of beer                             เบียร์ 1 ลัง

3. การนับโดยใช้หน่วย ชั่ง ตวง วัด เช่น

kilo               a kilo of flour                               แป้ง 1 กิโล
liter              a liter of oil                                 น้ำมัน 1 ลิตร
gram            a gram of sugar                           น้ำตาล 1 กรัม
meter           a meter of ribbon                        ริบบิ้น 1 เมตร
yard              a yard of cloth                             ผ้า 1 หลา
gallon           a gallon of petrol                         น้ำมัน 1 แกลลอน
dozen            a dozen of eggs                           ไข่ 1 โหล
pound           a pound of sugar                         น้ำตาล 1 ปอนด์

ถ้าเราต้องการให้มันเป็นรูปพหูพจน์เราก็เติม s/es ไปที่ลักษณะนาม ภาชนะบรรจุ หรือหน่วยวัด ของคำนามที่นับไม่ได้ แต่ตัวคำนามนับไม่ได้ที่อยู่หลัง of ยังคงรูปไว้เช่นเดิม นอกจากถ้าเป็นนามที่นับได้ แล้วเราต้องการบอกเป็นหน่วยวัด หรือเป็นภาชนะบรรจุ นามหลัง of ต้องเติม s/es ด้วยค่ะ

two glasses of water                   น้ำ 2 แก้ว
five plated of rice                        ข้าว 5 จาน

** ปัญหาทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ ขนาดนามนับไม่ได้ เรายังทำให้มันนับได้เลย แค่ต้องปรับเปลี่ยน เพิ่มเติมอะไรนิดๆหน่อยๆ ลองเอาไปใช้ดูนะคะ ^^

ความแตกต่างระหว่าง British and American English

ความแตกต่างระหว่าง British and American English

ความแตกต่างระหว่าง British and American English

ภาษาอังกฤษที่ใช้กันทั่วโลกแตกย่อยสาขาออกเป็น 2 แขนงด้วยกันคือ British English ภาษาอังกฤษแบบอังกิ๊ดอังกิด และ American English ภาษาอังกฤษแบบอเมริกั๊นอเมริกัน แน่นอนว่ามันย่อมต้องมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว คราวนี้ปัญหาก็มาตกอยู่กับคนไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษอย่างเราๆนั่นแหละค่ะ จะใช้คำไหนดี หรือสับสนคำศัพท์ ความหมายเดียวกันแต่พอไปเจอคนอเมริกันพูดอีกอย่าง เจอคนอังกฤษพูดอีกอย่าง เราก็มึนไปสิคราวนี้

ความแตกต่างระหว่าง British English กับ American English มีหลายด้านดังนี้ค่ะ

1. ความแตกต่างทางด้านคำศัพท์ (Vocabulary) อันนี้เห็นได้ชัดเจนเลย เช่น

British English (BrE)                Amrican English (AmE) ความหมาย

flat                                             apartment                         ห้องพัก
petrol                                         gas                                   น้ำมัน(รถ)
taxi                                             cab                                   รถแท๊กซี่
biscuit                                         cookie                               ขนมปังกรอบ
sweet                                         dessert                             ขนมหวาน
lift                                              elevator                            ลิฟท์
rubber                                        eraser                               ยางลบ
torch                                           flashlight                           ไฟฉาย
film                                             movie                               หนัง
trousers                                      pants                                กางเกงขายาว
railway                                       railroad                             ทางรถไฟ
condom                                      rubber                              ถุงยางอนามัย
underpants                                 shorts                               กางเกงขาสั้น
lorry                                           truck                                 รถบรรทุก
garden                                        yard                                  สวน

2. ความแตกต่างด้านการสะกดคำ (spelling)

คำศัพท์ที่เป็น British หรือ American English บางคำ ออกเสียงเหมือนกัน มีความหมายเหมือนกัน แต่สะกดต่างกัน   ตัวสะกดที่มักเจอบ่อยๆคือ

British EnglishAmerican English word
คำที่ลงท้ายด้วยtreคำที่ลงท้ายด้วย tercentre / center
theatre / theater
ลงท้ายด้วย ogueลงท้ายด้วย oganalogue / analog
catalogue / catalog
ลงท้ายด้วย ourลงท้ายด้วย orcolour / color
labour / labor
ลงท้ายด้วย iseลงท้ายด้วย izeanalyse / analyze
realise / realize

คำอื่นๆที่สะกดไม่เหมือนกัน เช่น

          British English                American English

programme                                 program
cheque                                       check
doughnut                                    donut
grey                                            gray
jewellery                                     jewelry

3. ความแตกต่างทางด้านไวยากรณ์ (grammar)

Collective noun หรือนามที่เป็นกลุ่ม ถ้าเป็น American English จะเป็นเอกพจน์เสมอ แต่ถ้าเป็น British English จะเป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ ขึ้นอยู่กับความหมายที่ต้องการหมายถึง

3.1 การเขียนวันที่ แบบ American English จะเขียน เดือน / วัน / ปี แต่ถ้าเป็น British English จะเขียนเรียงแบบ The + วันที่ + of + เดือน + ปี

3.2 เหตุการณ์ที่เพิ่งจบไป American English จะใช้ past simple แต่ British English จะนิยมใช้ present perfect มากกว่า

3.3 กริยา 3 ช่อง บางคำใช้ต่างกัน เช่น

British English                          American English

get / got / got                                  get / got / gotten
smell / smelt / smelt                        smell / smelled / smelled
lean / leant / leant                           lean / leaned / leaned

3.4  เวลาเขียนตัวเลขแบบ British Englishจะมี and อยู่หน้าตัวเลขสุดท้ายที่มากกว่า 100 แต่ American Englishไม่มี and

  • two thousand and seven. (British English)
  • two thousand seven. (American English)

4. ความแตกต่างทางด้านการออกเสียง (pronunciation)

4.1 คำศัพท์หลายคำที่มีตัวอักษร a

ถ้า British English ออกเสียง อา
แต่ถ้าเป็นAmerican English ออกเสียง แอ
เช่น

British English                                  American English

ask     อาสค์                                          ask     แอสค์
fast     ฟาสท์                                          fast     แฟสท์
can’t   ค้านท์                                          can’t   แค้นท์

4.2 คำศัพท์ที่มี ue, ew

ถ้าเป็น British English จะออกเสียง อิวเช่น due   ดิว
ถ้าเป็น American English จะออกเสียง อู   due ดู

4.3 อักษร t ถ้าอยู่ระหว่างสระหรืออักษร l หรือ r

ถ้าเป็น British English จะออกเสียง ท         better เบ้ทเท่อะ
ถ้าเป็น American English จะออกเสียง ด    better เบ้ทเด่อะ

4.4 สียง r ที่อยู่ระหว่างตัวอักษรหรือท้ายคำ

ถ้าเป็น British English จะไม่ออกเสียง rpart   พาท
ถ้าเป็น American English จะออกเสียง rpart พารฺท

สาเหตุที่เราต้องรู้จักทั้งแบบ American English และ British English เพราะภาษาอังกฤษมีความหลากหลาย เราอาจจะได้ยินได้ฟังในหลายแบบเพื่อจะได้เข้าใจถึงความแตกต่างที่คนอื่นเขาพูดกัน

อักษรย่อในภาษาอังกฤษที่ควรรู้จัก (English abbreviation)

อักษรย่อในภาษาอังกฤษที่ควรรู้จัก (English abbreviation)

อักษรย่อในภาษาอังกฤษที่ควรรู้จัก

เวลาอ่านภาษาอังกฤษ บางคนอ่านๆไปก็ไปสะดุดกับอักษรย่อแล้วก็ไม่รู้ว่ามีความหมายว่าอย่างไร หรือควรจะอ่านออกเสียงอักษรย่อเหล่านั้นว่าอย่างไร ที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นอักษรย่อที่เราควรจะรู้จักเพื่อให้อ่านภาษาอังกฤษไม่ติดขัดอีกต่อไป

1. e.g. มาจากภาษาลาตินว่า exampli gratia มีความหมายแปลเป็นไทยว่า “ตัวอย่างเช่น” ค่ะ เหมือนกันกับ for example หรือ for instance   เวลาอ่านออกเสียงจะอ่านว่า อี-จี หรือ for example ก็ได้ เช่น

  •  I like fantasy movie e.g. Harry Potter, Percy Jackson, The Lord of The Ring.
  • She takes many difficult courses e.g. mathematics for economics, microeconomics, accountant.

 

2. i.e. มาจากภาษาละตินเช่นเดียวกัน มาจากคำว่า id estแปลว่า that is แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “นั่นก็คือ” หรือ in other words“อีกนัยหนึ่งคือ” “เรียกอีกอย่างว่า” ใช้ในการอธิบายขยายความ จะอ่านว่า “ไอ-อี” หรือ that is , that is to say ก็ได้ค่ะ มาดูตัวอย่างประโยคที่ใช้กันค่ะ

 

  • a group of people has arrived in Edo i.e. Tokyo.
    คนกลุ่มหนึ่งได้มาถึงเมืองเอโดะแล้วหรือซึ่งก็คือเมื่องโตเกียว(ในปัจจุบัน)
  • Service charge is included in all prices i.e. you don’t have to leave a tip.
    ค่าบริการรวมอยู่ในราคาสินค้าแล้ว นั่นก็คือคุณไม่ต้องจ่ายทิปแล้ว

 

3. etc. มาจากภาษาละตินว่า et cetera ซึ่งมีความหมายว่า and other things แปลเป็นภาษาไทยคือ และอื่นๆ มักจะอยู่ท้ายประโยคที่มีการยกตัวอย่าง ก็คล้ายๆกับ ฯลฯ ในภาษาไทย เช่น

  • I love travelling in European country such as Italy, Spain, France, etc.
    ฉันชอบไปเที่ยวในประเทศทางยุโรปเช่น อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส เป็นต้น

** เวลาใช้ etc. ไม่ต้องใส่ and ข้างหน้า etc.

 

4.  et al มาจากภาษาละตินว่า et alibi แปลว่า and others หมายถึง และอื่นๆ มักจะเจอตัวย่อ et al ในเอกสารวิชาการ หรืองานวิจัยที่มีการอ้างอิงทฤษฎีคนนั้นคนนี้ ซึ่งบางทฤษฎีหรือบางการทดลองก็ไม่ได้ทำคนเดียวแต่มีผู้ร่วมทำการศึกษาด้วย เช่น

  • Aristotle et al

 

5. am และ pm เป็นคำย่อบอกเวลา am ย่อมาจาก ante meridiem (before noon) ใช้บอกเวลาตั้งแต่ เที่ยงคืน ถึง เที่ยงวัน และ pm ย่อมาจาก post meridiem (after noon)   ใช้บอกเวลาตั้งแต่เที่ยงวัน จนถึง เที่ยงคืน

 

6. เวลาอ่านจดหมายมักจะเจอ enc. อยู่ท้ายจดหมาย หมายถึง enclosed หมายถึงสิ่งที่แนบมากับจดหมายด้วย

ตัวย่อพวกนี้จะเจอบ่อยเวลาอ่านภาษาอังกฤษ คราวนี้ก็อ่านภาษาอังกฤษได้ไม่ติดขัดแล้วล่ะค่ะ

 

 

ประธานเอกพจน์ และ ประธานพหูพจน์

ประธานเอกพจน์ และ ประธานพหูพจน์

ประธานเอกพจน์ และ ประธานพหูพจน์

สาเหตุที่เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด แยกแยะให้เป็นว่าอันไหนเป็นประธานเอกพจน์ และอันไหนเป็นประธานพหูพจน์ ก็เพราะว่า มีผลกับการที่เราจะเลือกเอากริยามาใช้ เพราะกริยาบางตัวใช้กับประธานเอกพจน์ ส่วนกริยาบางตัวใช้กับประธานพหูพจน์ และมีบาง tense ที่เมื่อกริยาเป็นเอกพจน์ก็จะต้องเติม s/es  เรื่องนี้เป็นพื้นฐานหลักที่สำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ เพราะมันจะไปต่อยอดในการเขียน ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องกลับมานั่งเช็คอยู่บ่อยๆว่า ใช้ verb ถูกต้องสอดคล้องกับประธานมั้ย

เอาล่ะค่ะ เมื่อเข้าใจถึงความสำคัญแล้ว เรามาเริ่มกันที่ประธานเอกพจน์กันก่อนเลยค่ะ

** ประธานเอกพจน์ คือคำนามที่มีจำนวนแค่อันเดียว ชิ้นเดียว สิ่งเดียว ตัวเดียว สถานที่แห่งเดียว หรือ คนเดียว เช่น  a man, a chicken, a table, a pillow เป็นต้น

  • A man is sleeping under the tree.
  • That girl doesn’t understand English.

นอกจากนี้คำนามที่นับไม่ได้ทั้งหมด ยังถือเป็นประธานเอกพจน์ด้วยนะคะ เช่น water, sand, milk, sugar, coffee เวลาใช้จึงต้องใช้กับกริยาเอกพจน์เท่านั้น เช่น

  • Water is important to human.
  • There is a little milk left, I have to buy some more.

ประธานเอกพจน์ยังรวมไปถึงสรรพนามที่มีแค่สิ่งเดียวหรือ คนเดียว คือ he, she, it, this, that…

  • This is my new car.
  • She hasn’t finished her work.

คำนามที่เป็น abstract noun หรือ นามที่เป็นนามธรรม เช่น love, honesty, courage, etc. นามเหล่านี้ก็ถือเป็นประธานเอกพจน์เช่นกัน

  • Honesty is the best policy.
  • Love is what I need.

Gerund (กริยาที่เติม ing)เมื่อเอามาเป็นประธานก็ถือเป็นประธานเอกพจน์เช่นเดียวกัน

  • Sleeping late is not good for our body.
  • Being a rich person doesn’t mean you’re a happy person.

To infinitiveเมื่อเอามาเป็นประธานก็ต้องใช้กริยาเอกพจน์เช่นเดียวกัน เช่น

  • To love is to risk.
  • To swim in cold water is dangerous.

** ประธานพหูพจน์ คือประธานที่มีจำนวนมากกว่า 1 สิ่ง มักจะเป็นคำนามทิ่เติม s/es หรือบางคำไม่เติม s/es แต่มีความหมายเป็นพหูพจน์อยู่แล้ว เช่น

  • Cats like fish.
  • There are many people at the concert.

สรรพนามที่เป็นพหูพจน์ เช่น we, they, you, these, those ก็ต้องใช้กริยาที่เป็นพหูพจน์ เช่น

  • You are my sunshine.
  • These are their belongings.
  • They have got long hair and blue eyes.

นอกจากนี้คำนามเอกพจน์ที่เชื่อมด้วย and และมีความหมายเป็นสิ่งของที่แยกกัน ก็ถือเป็นประธานพหูพจน์ด้วย เช่น

  • I and Jason have gotten married for 5 years.
  • Mango and orange are my favorite fruit.

** ถ้าเข้าใจเรื่องประธานเอกพจน์และประธานพหูพจน์แล้ว รับรองว่าเรื่องโครงสร้าง tense นี่จะเขียนไม่ผิดแน่นอนค่ะ ^^

คำบอกปริมาณ “มาก” ในภาษาอังกฤษ (ตอนที่ 2)

คำบอกปริมาณ “มาก” ในภาษาอังกฤษ

คำบอกปริมาณ “มาก” ในภาษาอังกฤษ (ตอนที่ 2)

ต่อจากตอนที่แล้วที่เราได้นำเสนอคำว่า much / many และ lots of / a lot of ไปแล้วนะคะ สำหรับการบอกปริมาณ “มาก” ของคำนาม ในตอนนี้เราจะเสนอคำที่บอกปริมาณ “มาก” คำอื่นๆ อีกดังนี้ค่ะ

** a great deal of
A great deal of + นามนับไม่ได้   เช่น

  • We have a great deal of trouble now.
    เรามีปัญหาเดือดร้อนกันเยอะมากเลยตอนนี้

** a large amount of
A large amount of + นามนับไม่ได้ เช่น

  • There was a large amount of water on the floor when I came here.
    มีน้ำอยู่บนพื้นเยอะมากๆเลย ตอนที่ฉันมาที่นี่

** a great number of
a great number of + นามนับได้พหูพจน์ เช่น

  • A great number of people were angry at the mob.
    กลุ่มคนจำนวนมากที่ม๊อบนั้นโกรธมาก

** a large number of
a large number of + นามนับได้พหูพจน์ เช่น

  • I saw a large number of birds moving to the south.
    ฉันเห็นนกจำนวนมากย้ายถิ่นฐานไปทางใต้

** a number of
a number of + นามนับได้พหูพจน์ เช่น

  • There are a number of apples in the basket.
    มีแอปเปิ้ลจำนวนมากในตะกร้า

( a number of นี้ต้องระวังให้ดี อย่าสับสนกับ the number of นะคะ เพราะ a number of แปลว่า มาก แต่ the number of แปลว่า จำนวนของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตัวอย่างประโยค เช่น

  • A number of students are at the cafeteria.
    นักเรียนจำนวนมากอยู่ในโรงอาหาร
  • The number of student in this school is 1,500.
    จำนวนนักเรียนของโรงเรียนนี้คือ 1,500 คน

The number of student แปลว่า จำนวนนักเรียน เป็นประธานเอกพจน์ จึงใช้กริยา is )

** plenty of
plenty of + นามนับได้พหูพจน์ / นามนับไม่ได้   เช่น

  • I’ve got plenty of time.
    ฉันมีเวลามาก

** several
several + นามนับได้พหูพจน์   แปลว่า “หลายๆ” เช่น

  • Several people think English is difficult.
    หลายๆคนคิดว่าภาษาอังกฤษนั้นมันยาก

เวลาใช้คำพวกนี้ก็ระมัดระวังนิดนึงนะคะ เพราะแต่ละคำจะใช้กับคำนามไม่เหมือนกัน บางคำใช้กับนามที่นับได้ แต่บางคำใช้กับนามที่นับไม่ได้ บางคำก็ใช้ได้ทั้งสองคำเลยก็มี

คำบอกปริมาณ “มาก” ในภาษาอังกฤษ (ตอนที่ 1)

คำบอกปริมาณ “มาก” ในภาษาอังกฤษ

คำบอกปริมาณ “มาก” ในภาษาอังกฤษ (ตอนที่ 1)

คำบอกปริมาณในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Quantifier ปริมาณก็มีทั้งมากทั้งน้อย แต่ในที่นี้เราจะนำเสนอเฉพาะ คำบอกปริมาณ “มาก” ในภาษาอังกฤษค่ะ

คำว่า มาก ในภาษาอังกฤษ บอกได้หลายคำเลย ที่เราใช้กันบ่อยๆ ประจำๆ ก็คือคำว่า

much กับ manyสองคำนี้คนที่เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีใครไม่รู้จักแน่นอน หลักการทั่วไปในการใช้สองคำนี้คือ

          much + นามนับไม่ได้
many + นามนับได้พหูพจน์ (ต้องเป็นพหูพจน์ เพราะมันมีจำนวนมาก)

เช่น

  • I don’t have much time.
    ฉันมีเวลาไม่มาก
  • There are many people around here.
    ที่นี่มีคนเยอะแยะไปหมด

** ถ้าให้เจาะลึกการใช้ much กับ many ลงไปอีกสักหน่อยก็มีหลักการใช้ดังนี้ค่ะ

ปกติแล้ว much กับ many มักจะใช้ในประโยคคำถามหรือปฏิเสธค่ะ แต่ในประโยคบอกเล่าก็มีใช้ได้เหมือนกัน แต่จะเป็นแบบทางการหรือเป็นภาษาเขียนซะมากกว่า ถ้า much หรือ many อยู่ในประโยคบอกเล่า ก็มักจะใช้คู่กับคำเหล่านี้ค่ะ

so much –     I love you so much.
so many –     There are so many things in this shop.

much/many + of

  • I spend much of my life in Bangkok.
  • Many of them were worried about their exam.

too much/ too many

  • she has too much work to do this week.
  • There are too many cars here.

How much / How many

  • How much time do you spend in the bathroom?
  • How many people are there at the concert?

คำบอกปริมาณที่แปลว่า มาก ที่เราใช้กันบ่อยๆยังมีอีก หลายคนใช้คำว่า

lots of หรือ a lot of

สองคำนี้ใช้ได้กับทั้งคำนามนับได้พหูพจน์ และ คำนามนับไม่ได้ เลย

A lot of + นามนับได้พหูพจน์ / นามนับไม่ได้
Lots of + นามนับได้พหูพจน์ / นามนับไม่ได้

เช่น

  • A lot of students are absent today.
  • There is lots of knowledge to learn in this world.
  • There was a lot of rain yesterday.

** ติดตามคำบอกปริมาณที่แปลว่า “มาก” ต่อได้ในตอนหน้านะคะ ^^