Category Archives: ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

ตอนที่ 22 : โครงสร้าง verb of perception

โครงสร้าง verb of perception

โครงสร้าง verb of perception

งงกันใช่มั้ย?? เจอคำนี้  แต่จริงๆแล้ว verb of perception มันก็คือ  กริยาที่บอกการรับรู้ หรือก็คือประสาทสัมผัสทั้ง 5 นั่นเองค่ะ  มีอะไรบ้าง?? เช่น  see, hear, listen, watch, smell, notice, observe, feel  กริยาในกลุ่มนี้คือประสาทสัมผัส  บางครั้งเราอาจจะเจอรูปประโยคที่ว่า  เห็นใครทำอะไร  ได้ยินใครพูดอะไร  ได้กลิ่นอะไร  หรือสังเกตเห็นอะไร  โครงสร้างประโยคที่ใช้จะแบ่งออกเป็น  2  แบบด้วยกันคือ

1. Verb of perception + someone + doing something

เช่น

  • I heard someone talking about your rumor.
    ฉันได้ยินใครบางคนกำลังพูดถึงข่าวลือของเธออยู่น่ะ
  • She saw her mom sleeping when she was sneaking out.
    เธอเห็นแม่กำลังหลับอยู่ตอนที่เธอหนีออกมา

** ตรงหน้า Ving ไม่ต้องใส่ Verb to be ลงไปนะคะ  เพราะบางคนอาจจะคิดว่าเป็นเหมือนกับ present continuous tense ที่ต้องใส่  Verb to be + Ving  ฉะนั้นถ้าเราเขียนว่า Continue reading

ตอนที่ 21 : ว่าด้วยเรื่องของ “go”

go ในภาษาอังกฤษ

ว่าด้วยเรื่องของ “go”

ปกติแล้วการใช้ go ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรgo ก็แปลว่า “ไป”  ง่ายนิดเดียวเองแต่แน่ใจหรือป่าวคะว่าคุณรู้จักการใช้ go ที่จะพูดถึงต่อไปนี้ทั้งหมดแล้ว   ลองมาดูกันค่ะว่ามีแบบไหนบ้าง

—- go + Ving —-

เราใช้ go แบบนี้ในกรณีที่พูดถึงการไปทำกิจกรรมบางอย่าง  เช่น ไปช้อปปิ้ง  ไปว่ายน้ำ  ไปปีนเขา  ไปล่องแก่ง  ไปดูนกตกปลา หรือไปลั้นลาอะไรก็ตามเราจะใช้ go + Ving ค่ะ

เช่น  go shopping, go fishing, go rafting, go ice skating, etc. ซึ่งส่วนใหญ่คนจะใช้ผิดกันบ่อย  เพราะบางคนจะชอบพูดว่า    go to shopping  หรือ go to swimming ซึ่งมันผิดนะคะ  ต้องไม่ใส่ to ค่ะ

การใช้ go home (กลับบ้าน)และ go downtown (เข้าไปในเมือง) ก็อาจจะรวมอยู่ในกลุ่มนี้ได้เช่นกันนะคะ  เราจะไม่ใส่ to เพราะคำว่า home กับ downtown ในที่นี้จะเป็น  adverb ค่ะ จึงสามารถวางไว้หลังคำกริยาได้เลย

—- go to +…. —–

go to ในที่นี้อาจจะเป็นประเทศ  เมือง หรือ ทวีป ก็ได้ค่ะ  เช่น  go to Korea,

go to Europe, go to Dallas, etc.  หรือจะเป็นคำพวกนี้เช่น  go to school, go to work,   go to college, go to university, go to bed, go to prison, go to jail, etc. ก็ได้เช่นกัน

—- go to the +…..—-
Continue reading

ตอนที่ 20 : คำผสม (compound) ของ some, any, every, no

คำผสม (compound) ของ some, any, every, no

คำผสม (compound) ของ  some, any, every, no

คำผสมหรือ compound of some, any, every, หรือ no คืออะไร??  พอพูดแบบนี้ขึ้นมานี่  ไม่คุ้นหูเอาซะเลย  แต่ถ้าบอกว่า  ก็คำประเภท  someone, something, anyone, everything, nothing, etc.  อะไรแบบนี้คงจะร้อง อ๋อ!! กันทันที  เพราะมันคือ คำสรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงนั่นเอง (Indefinite Pronouns) ดูเหมือนการนำไปใช้ก็ไม่ได้มีอะไรยากแต่ทำไมใช้ผิดกันบ่อยเหมือนกัน

หลักการใช้  compound of some, any (someone, somebody, something, somewhere// anyone, anybody, anything, anywhere) ก็เหมือนกับหลักการใช้ some กับ  any แบบเดี่ยวๆค่ะ  คือ

          some – ใช้กับประโยคบอกเล่า 

          any – ใช้กับประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม

เช่น

  • There is something in that box.
    มีอะไรบางอย่างอยู่ในกล่อง
  • I can’t find anybody here.
    ฉันหาใครที่นี่ไม่เจอเลย
  • Is there anyone home?
    มีใครอยู่บ้านบ้างมั้ย

แต่ในประโยคคำถามในเชิงขอร้อง  การเสนอให้  เราก็ใช้คำในกลุ่ม  some ได้ค่ะ เช่น

  • Would you like something to eat?
    คุณอยากจะกินอะไรมั้ย

ประเด็นต่อมา… คำในกลุ่มนี้บางคนคิดว่าเป็นคำนามพหูพจน์  เพราะคำแปลมันแปลว่า  บางคน  บางสิ่ง ทุกคน ทุกสิ่ง ซึ่งถ้าฟังดูจะให้ความหมายเหมือนมีหลายคน  แต่เมื่อเรานำไปใช้จะต้องใช้กับกริยาที่เป็นเอกพจน์นะคะ ซึ่งเป็นจุดที่ผิดกันบ่อยมาก เช่น Continue reading

ตอนที่ 19 : เจาะลึกการใช้ Indirect Question

Indirect Question

เจาะลึกการใช้  Indirect Question

ประโยคคำถามโดยทั่วไป  เช่น  What are you doing?  Do you speak English? เป็นประโยคคำถามที่เราเรียกว่า Direct Question หรือคำถามที่ถามออกมาตรงๆ ไม่อ้อมไม่ค้อมใดๆทั้งสิ้น ฟังปุ๊บรู้ปั๊บเลยว่าเป็นประโยคคำถาม  แต่ในวันนี้ที่จะนำเสนอคือ  Indirect questionค่ะ คือประโยคที่จะมีคำพูดอื่นมาเป็นส่วนนำก่อนแล้วจึงตามด้วยคำถาม ซึ่งตรงประโยคนำเนี่ยจะเป็นประโยคแบบไหนก็ได้  ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็น  I would like to know……..

Please tell me…….  I wonder……      Could you tell me………?       Do you know…….?

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ประโยคคำถามในภาษาอังกฤษมี 2 ลักษณะคือ

  • Yes/No question คือ คำถามที่ต้องตอบ yes หรือ no  ว่าใช่หรือไม่ใช่
  • Wh-question คือ คำถามที่ต้องการรายละเอียด หรือข้อมูล

ในการทำเป็น indirect question ก็ย่อมไม่เหมือนกัน   มาดูแบบ Yes/No questionกันก่อนเลย  เราจะใช้ตัวเชื่อมคือ  whether (or not)โดย or not จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ค่ะ ถ้าใส่จะใส่ติดกับ whether หรือใส่ท้ายประโยคเลยก็ได้  และอีกคำคือ  ifในที่นี้  if ไม่ได้แปลว่า ถ้า   แต่ให้ความหมายเหมือนคำว่า whether ที่แปลว่า  “หรือไม่” ค่ะ เช่น

Can you drive?        ——>          I would like to know if you can drive.
Did she come yesterday?   ——-->  Do you know whether she come yesterday or not?
Are you a programmer?  ——-->   I want to know if you are a programmer.

เมื่อทำเป็นประโยค indirect question แล้ว ไม่ว่ามันจะลงท้ายเป็นบอกเล่าหรือปฏิเสธส่วนใหญ่ก็ต้องการคำตอบ  ในประโยคแรกเราอาจจะตอบว่า  Yes, I can drive. / No, I can’tdrive. ก็ได้

ในกรณีที่เป็นคำถามแบบให้เลือก (alternative question) ก็ให้ใช้ตัวเชื่อม whetherเช่นกันค่ะ  แล้วใส่ or ระหว่างสองสิ่ง เช่น

Do you like tea or coffee?  —-->   I want to know whether you like tea or coffee.

แล้วถ้าเป็นคำถามแบบ Wh-question ล่ะ จะทำยังไง?  ง่ายมาก  ไม่ต้องเติมคำเชื่อมใดๆทั้งสิ้นเพราะเรามี Wh-question อยู่แล้ว  แต่ที่สำคัญคือ!! จะต้องเรียงประโยคหลัง Wh-question ให้เป็นแบบบอกเล่า  เช่น Continue reading

ตอนที่ 17 : Double Tense

Double Tense

Double Tense  (Tense ที่ใช้คู่กัน  มีอะไรบ้าง)

Double Tense หรือการใช้ Tense คู่กันเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นสองเหตุการณ์ในเวลาเดียวกันหรือไล่เลี่ยกัน  ส่วนใหญ่ก็มักจะใช้ในการเล่าเรื่องมีดังนี้ค่ะ

1. Past continuous  // Past continuous

Past continuous ปกติก็ใช้บอกเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต  เมื่อเราใช้คู่กันก็จะเป็นการบอกเล่าเหตุการณ์2 เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันในอดีต หรือที่เราเรียกว่า “เหตุการณ์คู่ขนาน” มักใช้กับตัวเชื่อม While หรือ As   เช่น

  • While I was talking on the phone, my brother was making some noise in the kitchen.
    ขณะที่ฉันกำลังคุยโทรศัพท์อยู่  น้องชายของฉันก็กำลังทำเสียงดังอยู่ในครัว

2. Past continuous // Past simple

เมื่อใช้ 2 tense นี้คู่กัน  เรามักพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นซึ่งใช้ Past continuous แต่มีอีกเหตุการณ์หนึ่งมาขัดจังหวะ ซึ่งจะใช้ past simple  โดยทั้งสองเหตุการณ์ต้องเป็นเหตุการณ์ในอดีต  เช่น Continue reading

ตอนที่16 – การใช้ will

การใช้ will

การใช้ will

พอพูดถึง will เรามักจะคิดถึงเหตุการณ์ที่เป็นอนาคต  และก็ความหมายมันก็แปลว่า “จะ”  ชั้นจะทำโน่น ทำนี่  จะไปที่นั่นที่นี่  แต่รู้หรือไม่?? เราต้องแยกประเด็นว่า ภายใต้คำว่า “จะ”นั้น มันเป็นเหตุการณ์ที่เราได้วางแผนเอาไว้แล้ว  หรือ  มันเป็นเหตุการณ์ที่เราคิดแบบปัจจุบันทันด่วน ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า  เพราะเราจะใช้ will ในกรณีที่เราคิดตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลย  ไม่มีการวางแผนอะไรทั้งนั้น  ซึ่งถ้าเป็นเหตุการณ์ที่ตั้งใจ หรือมีการวางแผนเอาไว้แล้วเรามักจะใช้  to be going to ค่ะ  เอ้า!! มาดูความต่างกันค่ะ

  • I’m going to Spain tomorrow. My flight is at 7 pm.
    ฉันจะไปสเปนพรุ่งนี้  เที่ยวบินตอนทุ่มนึง

(**เห็นมั้ยคะว่า มีการวางแผนไว้แล้ว จองตั๋วไว้ด้วย ไปแน่ๆชัวร์ๆไม่มั่วนิ่มนะ)

  • The flights to London are all reserved, so I will go by the train.
    เที่ยวบินไปลอนดอนถูกจองเต็มแล้ว ชั้นก็เลยจะไปด้วยรถไฟแทน

(**ไม่ได้คิดมาล่วงหน้า เพราะเป็นการตัดสินใจโดยทันที)

และนั่นหรือประเด็นแรกในการใช้ will  ประเด็นต่อมา  will ยังใช้ในการให้คำสัญญาได้ด้วย ว่าชั้นจะไม่ทำอย่างนั้นนะ  อย่างนี้นะ  เช่น

  • I’ll be back soon.
    เดี๋ยวฉันจะกลับมาเร็วๆนี้

ใช้ในรูปปฏิเสธบ้างก็ได้ เช่น

  • I won’t keep you waiting long.
    ผมจะไม่ปล่อยให้คุณต้องรอนานๆอีก

นอกจากให้สัญญาแล้ว เราอาจจะใช้ในการคาดการณ์ หรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคตก็ได้ ซึ่ง!! ต้องขอย้ำว่าเป็นการคาดการณ์จากความรู้สึกไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนอะไร  ในกรณีนี้เราจะใช้ will โลดดดดค่ะ   แต่ถ้าหากเป็นการคาดการณ์แบบมีหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าจะเกิดแน่ๆเราก็จะกลับไปใช้บริการ  to be going to อีกเช่นเคยค่ะ เช่น Continue reading

Being ใช้ยังไง??

Being ใช้ยังไง

Being ใช้ยังไง??

ไปอ่านเจอมาคำนึง คำว่า“The Art of Being Alone”  แปลว่า “ศิลปะของการอยู่คนเดียว”  เจอคำว่า being ในข้อความนี้ก็ให้บังเกิดความสงสัยกับคำว่า being ในประโยคว่าแปลว่าอะไร?  ใช้ยังไง?  เพราะพอไปพึ่งพจนานุกรมก็ช่วยไม่ได้มาก  จริงๆแล้วการจะเข้าใจการใช้คำว่า being ต้องเข้าใจหลักไวยากรณ์อังกฤษค่ะถึงจะรู้ที่มาที่ไปของคำว่า being แบบหมดเปลือก ทะลุปรุโปร่ง   ว่าแล้วก็ตามมาดูกันค่ะว่า  being มันใช้ยังไงกัน

being  มันแปลงร่างมาจาก  be+ingนี่แหละค่ะ  คำถามต่อมาคือ  แล้ว  be คืออะไร??

beก็คือกริยารูปไม่ผันหรือรูป base form ของ verb to be (is, am, are) นั่นแหละค่ะ  ร้องอ๋อยังค่ะ!!  แล้วมันจะกลายร่างเป็น  being ได้ตอนไหนล่ะ??  ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การนำเอากริยามาบวกด้วย ing เนี่ยเขาเรียกว่า gerund ค่ะ  เพื่อทำให้กริยานั้นเป็นคำนาม  เช่น

sleep  —-   sleeping          การนอน

walk  —–    walking          การเดิน

เมื่อเป็นคำนามก็สามารถเป็นประธานหรือกรรมในประโยคได้ใช่มั้ยคะ  ทีนี้บังเอิญว่าเราไปเจอคำว่า being+ adjectiveขึ้นต้นประโยคเป็นประธาน  ในทีนี้จะแปลว่า  “การ……/ความ…..”  อะไรสักอย่างตามความหมายของ adjective ตัวนั้น เช่น Continue reading

That ใช้อย่างไรได้บ้าง

That ใช้อย่างไรได้บ้าง

That ใช้อย่างไรได้บ้าง

วันก่อนอ่านหนังสือแล้วเจอคำว่า that บ่อยมาก  แต่ในแต่ละบริบทนั้น  that กลับให้ความหมายต่างกันซึ่งน่าสนใจมาก  ทุกคนแน่ใจแล้วหรือยังว่ารู้จักคำว่า “that” กันอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วเอาล่ะ!  มาดูสิว่า  that เนี่ยเอาไปใช้อย่างไรได้บ้างในประโยค

—-That แปลว่า นั้น,นั่น—-

ในความหมายนี้เราจะใช้แบบ มีคำนามต่อท้าย หรือไม่มีคำนามต่อท้ายก็ได้ซึ่งใช้กับคำนามหรือแทนคำนามที่เป็นเอกพจน์มีแค่สิ่งเดียว    เช่น

  • That man is very smart.
    ผู้ชายคนนั้นเท่มากๆเลย
  • That is a new policy of the company.
    นั่นเป็นนโยบายใหม่ของบริษัท
  • That was a good trip.
    นั่นเป็นทริปที่ดีมากๆ
  • It’s not like that.
    มันไม่ได้เป็นแบบนั้น

—-That แปลว่า “ขนาดนั้น”ก็ได้นะเออ—- Continue reading

had better ใช้อย่างไร

had better ใช้อย่างไร

had better ใช้อย่างไร

คำว่า  had better มีความหมายว่า  “ควรจะ…ดีกว่า”  มีลักษณะการใช้เหมือนกับ modal verb เลยค่ะ  ซึ่งถ้าพูดถึง modal verb   คำว่า had better ก็จะมีความหมายคล้ายๆกับคำว่า should หรือ ought to นั่นแหละค่ะ  ซึ่งหลักการใช้ก็เหมือนกันคือจะต้องตามด้วย  Verb รูปธรรมดาไม่ผัน

had better + V.infinitive (ไม่ผัน)   เช่น

  • It’s getting dark. We’d better go back home.
    เริ่มจะมืดแล้ว  พวกเราควรจะกลับบ้านกันดีกว่านะ

**ไม่ต้องสงสัยนะคะว่า  ’d better คืออะไร  เพราะเราใช้รูปย่อของ had เป็น ’d ค่ะ

ซึ่ง had better ก็มักจะใช้คู่กับคำว่า  มิฉะนั้น  ไม่เช่นนั้นหรือภาษาบ้านๆก็คือ ไม่งั้น ไม่อย่างงั้น  เช่น  เธอน่าจะทำแบบนั้นแบบนี้  ควรจะทำอย่างนั้นอย่างนี้  ไม่อย่างงั้นนะ……  พอจะนึกภาพออกมั้ยคะ  มาดูตัวอย่างกันค่ะ

  • You had better study for exam, or you’ll fail.
    เธอน่าจะไปอ่านหนังสือสอบดีกว่านะ  ไม่งั้นเธออาจจะสอบตกได้
  • We had better get back to work or else our boss will be angry with us.
    พวกเราควรจะกลับไปทำงานได้แล้ว ไม่อย่างงั้นเจ้านายโกรธแน่ๆ

แล้วถ้าเป็นประโยคปฏิเสธล่ะ  ทำอย่างไร??  เราก็ใส่ not ลงไป หลัง had better  ค่ะ

ฟังดีๆนะคะ!! ใส่หลัง had better นะคะ  ไม่ใช่ใส่หลัง had เพราะบางคนอาจจะคิดว่าน่าจะเหมือน  past perfect ที่ใส่หลัง had เป็น had not หรือ hadn’t  เช่น Continue reading

Suffix ที่ลงท้ายแล้วหมายถึงคน

Suffix ที่ลงท้ายแล้วหมายถึงคน

Suffix ที่ลงท้ายแล้วหมายถึงคน

ขออธิบายคำว่า suffix ก่อนนะคะว่าหมายถึงอะไร  suffix คือคำอุปสรรคที่เติมข้างหลังคำอื่นแล้วทำให้หน้าที่ของคำเปลี่ยนไปแต่ความหมายใกล้เคียงกัน

การเรียนรู้ suffix ดีอย่างไร?  ก็จะช่วยให้เราเดาศัพท์ได้  รู้ศัพท์มากขึ้นโดยไม่ต้องท่องจำ  เช่นจากคำๆเดียว เราสามารถรู้คำศัพท์เพิ่มได้อีก 3-4 คำเลย เพียงแค่เรารู้จัก suffix  เช่น  เรารู้จักคำว่า invest  เป็นกริยา แปลว่า  “ลงทุน”   พอไปเจอ

  • investment เป็นคำนาม  แปลว่า  การลงทุน
  • investor       เป็นคำนาม  แปลว่า  นักลงทุน

เห็นมั้ยคะว่า  มันมาจากรากศัพท์เดียวกัน  แค่ใส่ suffix ต่างๆกันแค่นั้นเองค่ะ

แต่ในบทความนี้ขอเสนอ  suffix ที่เมื่อใส่ไว้ข้างหลังคำอื่นแล้วจะหมายถึงคนที่ทำสิ่งนั้นๆ  เช่นถ้าเราเจอคำว่า  shoemaker ไม่ต้องไปเปิดพจนานุกรมให้เมื่อยเลยค่ะ  เพราะมันมาจากคำว่า

shoe + make + er             ช่างทำรองเท้า

พอจะเดาได้แล้วใช่มั้ยคะว่า  -erที่เติมเข้าไปข้างหลังทำให้คำนี้หมายถึง “คน”

แต่ suffix ที่หมายถึง “คน” ก็ไม่ได้มีแค่ –erอย่างเดียว  ยังมีอีกหลายคำ ดังนี้ค่ะ Continue reading