Category Archives: ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

การเปลี่ยน Verb ให้เป็น Adjective โดยเติม -ed/-ing

การเปลี่ยน Verb ให้เป็น Adjective โดยเติม -ed, -ing

Adjective ที่เติม –ed และ –ing

Adjective หรือ คำคุณศัพท์ ทำหน้าที่ขยายคำนาม
มีคำกริยาแสดงความรู้สึกอยู่กลุ่มหนึ่งที่แปลว่า “ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง” เมื่อนำมาเติม –ed และ –ing แล้วจะกลายเป็นคำคุณศัพท์   เช่น

interest (v.) ==>   interesting   interested
terrify (v.) ==>   terrifying   terrified
amaze (v.) ==> amazing amazed
frustrate (v.) ==> frustrating   frustrated
excite (v.)   -==> exciting     excited
bore (v.) –==> boring   bored
satisfy (v.) –==> satisfying   satisfied
surprise (v.)   –==> surprising   surprised
please (v.) —==>   pleasing   pleased

ตัวอย่างประโยค Continue reading

คำคุณศัพท์ในภาษาอังกฤษ (Adjective)

Adjective

Adjective (คำคุณศัพท์)

คำคุณศัพท์หรือ Adjective (Adj.) มีหน้าที่อย่างเดียวเลยคือขยายคำนามและสรรพนาม เช่น

  • He is a strong man.     เขาเป็นคนแข็งแรง   (strong เป็น Adj. ขยายคำนาม man)
  • This street is always crowded. ถนนเส้นนี้แออัดตลอดเลย ( crowded เป็น Adj. ขยายนาม street)

เมื่อรู้หน้าที่ของ Adjective แล้ว ปัญหาคือเวลาเขียนจะวางมันไว้ในตำแหน่งไหนของประโยค…เราวาง Adjective ไว้ได้ในตำแหน่งต่อไปนี้ค่ะ

1. หน้าคำนามที่มันขยาย   เช่น

  • I like drinking warm water.
  • The thin man can run very fast.

** แต่มีข้อยกเว้นสำหรับ Adjective บางตัวที่ไม่สามารถนำมาวางไว้หน้าคำนามได้ เช่น sorry, afraid, alive, ill, alone, awake, alike, aware, etc. เช่น

ถูก =   Those animals are alive.

ผิด = Those are alive animals.

2. ตามหลัง Verb to be เช่น

  • My son isn’t naughty.
  • I’m hungry.

3. ตามหลัง Linking verb กลุ่มของ Linking verb คือ look, seem, become, turn, get, appear, keep, smell, sound, remain, etc. เช่น

  • This soup smells good.
  • It’s getting dark.
  • It sounds great.

4. วางไว้หลังคำนามหรือคำสรรพนามที่เป็นกรรมของประโยค เพื่อให้ประโยคสมบูรณ์ หรือพูดง่ายๆว่า ในส่วนนี้คือ “ส่วนเติมเต็มของประโยค (complement)” เช่น

  • He makes me happy.
  • We painted the room blue.

*** ถ้าเราต้องการขยายคำนามคำหนึ่งโดยใช้ Adjective หลายๆตัว ก็จะมีวิธีการเรียงลำดับประเภทของ Adjective ดังนี้ Continue reading

กริยาวิเศษณ์ในภาษาอังกฤษ (Adverb)

กริยาวิเศษณ์ในภาษาอังกฤษ (Adverb)

Adverb หรือที่เรารู้จักกันคือ “กริยาวิเศษณ์” มีคำว่ากริยาอยู่ แสดงว่า  adverb จะต้องเกี่ยวข้องกับคำกริยาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ใช่ค่ะ! เพราะ adverb ทำหน้าที่ขยายกริยา นอกจากขยายกริยาแล้วก็ยังขยายคำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเองอีกด้วย ปัญหาของกริยาวิเศษณ์ก็คือ เราจะพบมันอยู่ในตำแหน่งต่างๆได้หลายตำแหน่งในประโยค แต่หลักในการวาง adverb ในประโยคก็ขึ้นอยู่กับประเภทของ adverb นั้นๆ ซึ่ง adverb แบ่งออกเป็นประเภทได้ดังนี้ค่ะ

1.  Adverb of manner กริยาวิเศษณ์ที่บอกลักษณะอาการ adverb กลุ่มนี้จะบอกเราว่าประธานทำกริยานั้นๆด้วยลักษณะอาการอย่างไร เช่น

  • The 18-year-old girl drove carelessly along the road.
    เด็กหญิงอายุ 18 ขับรถอย่างประมาทไปตามถนน
  • The river flows slowly to the sea.
    แม่น้ำไหลอย่างช้าๆลงสู่ทะเล
  • The thief reluctantly admitted his guilt.
    ขโมยยอมรับความผิดของเขาอย่างลังเล

adverb ประเภทนี้วางไว้ได้หลายตำแหน่งคือ หลังกริยาตัวที่มันไปขยาย หรือถ้าประโยคนั้นมีกรรมก็วางไว้หลังกรรมก็ได้   หรือบางครั้งอาจจะวางไว้กริยาก็ได้ แต่ถ้าต้องการเน้นข้อความก็สามารถวางไว้หน้าประโยคได้   เช่น

  • Hopefully, the president will change his mind.

2. Adverb of place กริยาวิเศษณ์บอกสถานที่การกระทำกริยา เช่น there, here, somewhere, upstairs, in the + (place), etc.

  • His sister is waiting for him in the the library.
    น้องสาวของเขากำลังรอเขาในห้องสมุด
  • She has sat there for an hour.
    เธอนั่งตรงนั้นมาชั่วโมงนึงแล้ว

ตำแหน่งในการวาง adverb ประเภทนี้มักวางหลังกริยา หรือหลังกรรมของกริยานั้นๆ

3. Adverb of time กริยาวิเศษณ์บอกเวลาในการกระทำกริยา เช่น now, tomorrow, recently, afterwards, at once, since then, etc. เช่น

  • My brother is leaving now . 
    น้องชายฉันกำลังจะไปแล้วตอนนี้
  • His sister will fly to England tonight .
    พี่สาวของเขาจะบินไปอังกฤษคืนนี้
  • They play tennis in the afternoon .
    พวกเขาเล่นเทนนิสตอนกลางวัน

ตำแหน่งในการวาง adverb ประเภทนี้มักวางไว้ท้ายประโยค

4. Adverb of frequency กริยาวิเศษณ์บอกความถี่ เช่น always, usually, often, sometimes, etc.   เช่น

  • She is always late.
    เธอมักสายประจำ
  • He usually hangs out with his friends on Friday.
    เขามักออกไปเที่ยวกับเพื่อนในวันศุกร์

การวาง adverb ประเภทนี้มักวางหน้าคำกริยา แต่ถ้าประโยคนั้นมี verb to be ให้วางไว้หลัง verb to be

5. Adverb of degree คำกริยาวิเศษณ์บอกปริมาณ เช่น absolutely, almost, barely, completely, enough, entirely, fairly, far, hardly, just, much, nearly, quite, really, rather, so, too, very, etc.

  • The child is not old enough to go to school.                                        
  • The man drove too fast .
  • Jane is much taller than her sister.
  • It’s very hot here.

เรามักจะวางกริยาวิเศษณ์ประเภทนี้หน้าคำคุณศัพท์หรือคำกริยาวิเศษณ์ที่มันไป ขยาย ยกเว้น enough ที่วางไว้หลังคำคุณศัพท์หรือคำกริยาวิเศษณ์

คนไทยส่วนใหญ่เวลาพูดหรือเขียนมักขาดส่วนขยายพวกนี้ไป เลยทำให้ประโยคดูห้วนๆ ไม่ได้อรรถรส ลองฝึกใช้ adverb กันดูนะคะ

Relative clause ในภาษาอังกฤษ

relative clause

Relative clause

Relative clause คือ อนุประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนกับ Adjective นั่นคือขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้า   Relative clause จะช่วยให้เรารู้ว่านามที่เรากำลังพูดถึงคืออันไหน คนไหน หรือสิ่งไหนกันแน่   relative clause จะมี relative pronoun (who, whom, which, that, whose) วางอยู่ด้านหน้า

Relative clause แบ่งออกเป็น 2 ชนิดค่ะ คือ

  1. Defining Relative clause
  2. Non-defining Relative clause

1. Defining Relative clause เป็นอนุประโยคที่ไปขยายคำนามข้างหน้าซึ่งเป็นนามทั่วไป เพื่อให้ได้ใจความที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเป็นของสิ่งไหน อันไหน คนไหน   ถ้าหากไม่มี Relative clause มาขยายจะทำให้เกิดความไม่ชัดเจนได้ เช่น   อาจจะมีผู้ชายยืนกันอยู่หลายคน แล้วเราต้องการบอกว่า หนึ่งในคนเหล่านั้นเป็นพี่ชายฉัน เราก็ต้องใส่ Relative clause ไปขยายไว้ด้านหลังเพื่อให้คนฟังเข้าใจได้ทันที ตัวอย่างประโยคคือ The man who is wearing blue shirt is my brother.

หน้าที่ของ defining relative clause มี 3 ประการคือ

1. ทำหน้าที่เป็นประธาน มี 2 แบบ คือ

1.1  ถ้าเป็นคนใช้ who เช่น

  • The man who is singing is my dad.
    ผู้ชายที่กำลังร้องเพลงเป็นพ่อฉัน

1.2 ถ้าเป็นสัตว์หรือสิ่งของใช้ which หรือ that เช่น

  • The room which is on the right is mine.
    ห้องที่อยู่ด้านขวาคือห้องฉัน

2 ทำหน้าที่เป็นกรรม มี 2 แบบ คือ

2.1 ถ้าเป็นคนใช้ whom เช่น

  • The man whom I talked to yesterday is our new boss.
    ผู้ชายที่ฉันคุยด้วยเมื่อวานคือเจ้านายใหม่ของเรา

2.2 ถ้าเป็นสัตว์หรือสิ่งของ ใช้ which หรือ that เช่น

  •  I like the cat which Paul bought last week.
    ฉันชอบแมวที่พอลซื้อมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

3. ทำหน้าที่เป็นเจ้าของ มี 2 แบบ คือ

3.1 เป็นคน ใช้ whose เช่น

  • The man whose hair is brown is Tom.
    ผู้ชายที่ผมของเขาสีน้ำตาลคือ ทอม

3.2 ถ้าเป็นสัตว์หรือสิ่งของให้ใช้ of which เช่น

  • The door of which knob is broken has already been repaired.
    ประตูที่ลูกบิดเสียมีคนมาซ่อมแล้ว

2. Relative clause อีกประเภทหนึ่งคือ Non-defining relative clause ซึ่ง relative clause ประเภทนี้เป็นแค่การขยายความนามเฉพาะที่อยู่ด้านหน้า จะมีหรือไม่มีก็ได้ ก็ทำให้คนฟังเข้าใจได้ทันทีว่านามนี้คือใคร หรือคืออันไหน วิธีการเขียน Non-defining relative clause ต้องเขียน คอมม่า คั่นหน้าและหลัง ส่วนหน้าที่ของ Non-defining relative clause ก็จะคล้ายๆกับ Defining relative clause เช่น

  • David, who is my neighbor, has passed away.
    เดวิดคนที่อยู่ข้างๆบ้าน เสียชีวิตแล้ว
  • I like reading Harry Potter, which is a famous novel among children.
    ฉันชอบอ่านแฮรี่ พอตเตอร์ซึ่งเป็นนิยายที่โด่งดังในหมู่เด็กๆ
  • Tim, whose leg is broken, is Angela’s boyfriend.
    ทิมที่ขาของเขาหักเป็นแฟนของแองเจล่า

Noun Clause คืออะไร?

Noun Clause

Noun Clause

Noun clause คืออะไร? Noun clause ก็คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เสมือนคำนาม คำนามทำหน้าที่อะไร Noun clause ก็ทำหน้าที่ได้แบบนั้นเลยค่ะ บางทีประโยคที่เราพูดๆกันมันก็อาจจะมี Noun clause อยู่แต่เราอาจจะไม่รู้ว่ามันคือ Noun clause ก็ได้ รูปร่างหน้าตาของ Noun clause ก็มีวิธีการสังเกตไม่ยากค่ะ มักจะมี Question words หรือคำแสดงคำถามนำหน้า เช่น who, where, what, how, why, who, whose, which หรือ นำหน้าด้วย that แต่การจะบอกว่าประโยคนี้เป็น noun clause หรือไม่นั้น ดูแค่หน้าตามันไม่ได้นะคะ ยังมีองค์ประกอบอีกอย่างหนึ่งคือ หน้าที่ของมัน ถ้า clause นี้ทำหน้าที่เหมือนคำนาม ก็ชัดเลยค่ะว่ามันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แน่ๆ ต้องเป็น noun clause เท่านั้น

มาดูหน้าที่ของ Noun clause กันค่ะ

1. Noun clause ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น

  • What she said made me angry.
    สิ่งที่หล่อนพูดทำให้ฉันโกรธ
  • Who she loves isn’t my business.
    หล่อนจะไปรักใครมันก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน

2 Noun clause ทำหน้าที่เป็น กรรม โดยแบ่งออกเป็นกรรมของกริยา และ กรรมของบุพบท เช่น

2.1 กรรมของกริยา

  • I want to know why you did like that.
    ฉันอยากจะรู้ว่าทำไมคุณถึงทำอย่างนั้น
  • Her husband always believe what she says.
    สามีหล่อนมักจะเชื่อสิ่งที่เจ้าหล่อนพูด
  • I feel that you overestimated the damages.
    ผมรู้สึกว่าคุณประมาณการความเสียหายเกินจริง

2.2 กรรมของบุพบท

  • She is waiting for what she wants.
    เธอกำลังรอในสิ่งที่เธอต้องการ
  • They laughed at what he did.
    พวกเขาหัวเราะเยาะสิ่งที่เขาทำ

3. Noun clause ทำหน้าที่เป็น ส่วนเติมเต็ม (Complement) ส่วนเติมเต็มมักตามหลัง Verb to be หรือ Linking verb เช่น

  • This isn’t what you want.
    นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ
  • It seems that it is impossible.
    ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้

** ในบางครั้งเราสามารถละ that ได้ เช่น

  • I know (that) he will come.
    ฉันรู้ว่าเขาจะมา

แต่บางกรณีไม่สามารถละ that ได้ คือ เมื่อ that-clause ขึ้นต้นประโยค หรือเป็นประธานของประโยค เช่น

  • That she decided to study abroad surprised me.

อีกกรณีหนึ่งคือ that-clause ที่ตามหลังโครงสร้าง It is หรือ It was ไม่สามารถละ that ได้   เช่น

  • It’s true that earth moves round the sun.
    เป็นความจริงที่ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์

อ่านเพิ่มเติม ตอนที่ 25 : If-clause แบบ Mixed Type คืออะไร?

หลักการใช้ Conjunction ในภาษาอังกฤษ ตอนที่2

Conjunction ในภาษาอังกฤษ

หลักการใช้ Conjunction ในภาษาอังกฤษ ตอนที่2

2. Subordinating Conjunction  

ตอนที่แล้วได้พูดถึงคำเชื่อมประเภท Coordinating Conjunction ไปแล้ว   ในตอนนี้จะอธิบายถึงการใช้ Subordinating Conjunction   สองประเภทนี้ต่างกันยังไงน่ะเหรอ?….ก็ต่างกันตรงที่ Coordinating Conjunction เอาไว้เชื่อมประโยคที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน แต่! Subordinating Conjunction จะเอาไว้เชื่อมประโยคที่มีลำดับความสำคัญไม่เท่ากัน (แบบนี้จะเรียกว่า สองมาตรฐานได้หรือป่าว) ที่มันไม่เท่ากันเพราะมันจะมีประโยคหนึ่งเป็นประโยคหลัก (main clause) อีกประโยคหนึ่งเป็นประโยคย่อย (subordinate clause) เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน จะขอแยกประเภทของ Subordinating Conjunction เป็นดังนี้ค่ะ

2.1 คำเชื่อมแสดงเวลา – คำเชื่อมในกลุ่มนี้ก็ตัวอย่างเช่น before, after, since, until, when, while, once, etc.   เช่น

  • While I was walking home, I saw the accident happen.
    ตอนที่ฉันกำลังเดินกลับบ้าน ฉันก็เห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้น

2.2 คำเชื่อมแสดงเหตุผล – ตัวอย่างเช่น because, since, as ตัวอย่างประโยค เช่น

  • Since I am very tired of working here, I decide to resign.
    เพราะฉันเบื่อหน่ายสุดๆที่จะต้องทำงานที่นี่ ฉันจึงตัดสินใจลาออก

** คำว่า since แปลว่า เพราะว่า หรือ ตั้งแต่ ก็ได้ค่ะ

2.3 คำเชื่อมบอกเงื่อนไข – คำเชื่อมในกลุ่มนี้คือ if, if…not, unless เช่น

  • If you are late, we will leave you here.
    ถ้าคุณมาสาย เราจะทิ้งคุณไว้ที่นี่

2.4 คำเชื่อมแสดงการยอมรับหรือยินยอม (concession) เช่นคำว่า though, although, even though เช่น

  • Although this watch is quite expensive, I bought it anyhow.
    แม้ว่านาฬิกาเรือนนี้ค่อนข้างแพง แต่ฉันก็ซื้อมันมาอยู่ดี

2.5 คำเชื่อมแสดงการเปรียบเทียบ – เช่นว่าคำว่า than

  • She is prettier than me.
    หล่อนสวยกว่าฉัน

2.6 คำเชื่อมเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่ตาม – คือคำว่า that และต้องมีคำว่า so นำหน้าเสมอเป็น so…that แปลว่า จนกระทั่ง เช่น

  • He is so ill that he cannot come.
    เขาป่วยมากจนมาไม่ได้

** คำเชื่อมแบบ subordinating conjunction ก็จะแบ่งได้คร่าวๆแบบนี้ค่ะ   ถ้าดูจากตัวอย่างด้านบนจะเห็นว่า ประโยคจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่มี subordinating conjunction นำหน้า และส่วนที่ไม่มีประโยคที่มี subordinating conjunction นำหน้าเรียกว่า subordinate clause ซึ่งไม่สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ ต้องไปรวมกับประโยค main clause ซึ่งไม่มี subordinating conjunction อยู่ข้างหน้า และสามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ หากเป็นประโยคที่อยู่เดี่ยวๆ ไม่ได้รวมกับใคร

** มี subordinating conjunction บางคำที่สามารถเป็นคำบุพบทได้ เช่น since, after, before, until, etc.   แล้วจะมีวิธีการสังเกตอย่างไรล่ะ?…..ดูตัวอย่างต่อไปนี้ค่ะ

  • I haven’t seen Mike since the end of the war.   (since = preposition)
  • I haven’t seen Mike since the war ended.       (since = subordinating conjunction)

ถ้าหากว่า ส่วนที่ตามหลัง since เป็นคำนาม หรือนามวลี since จะเป็น preposition
แต่ถ้าส่วนที่ตามหลังมาเป็นประโยค since จะเป็น subordinating conjunction ค่ะ พอจะแยกออกแล้วใช่มั๊ยคะ

หลักการใช้ Conjunction ในภาษาอังกฤษ ตอนที่1

Conjunction ในภาษาอังกฤษ

หลักการใช้ Conjunction ในภาษาอังกฤษ ตอนที่1

หลักการใช้ Conjunction ในภาษาอังกฤษ
หลักการใช้ Conjunction ในภาษาอังกฤษ

Conjunction มีชื่อเท่ๆเป็นภาษาไทยว่า คำสันธานหรือ คำเชื่อมนั่นเองค่ะ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ Coordinating Conjunction   และ   Subordinating Conjunction

1. Coordinating Conjunction คือคำเชื่อมที่ใช้เชื่อม คำกับคำ กลุ่มคำกับกลุ่มคำ หรือประโยคกับประโยค โดยที่ประโยคจะต้องเป็นประโยคที่มีลำดับความสำคัญที่เท่าเทียมกัน   เท่าเทียมกันในที่นี้หมายความว่าถ้าหากว่าประโยคใดประโยคหนึ่งต้องอยู่เดี่ยวๆ มันก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยประโยคอื่นมาประกอบเพื่อให้ใจความสมบูรณ์   คำเชื่อมหลักๆในกลุ่มนี้คือ for, and, nor, but, or, yet, so หรือมีตัวย่อเก๋ๆว่า FANBOYS ซึ่งมาจากอักษรตัวแรกของแต่ละคำ เพื่อให้จำได้ง่ายขึ้นค่ะ   มาดูวิธีการใช้กันค่ะ

For : คำนี้อาจจะคุ้นกันในความหมายว่า เพื่อ หรือ สำหรับ แต่!! ถ้าหากว่าเป็นคำเชื่อมปุ๊บจะแปลว่า “เพราะว่า” ค่ะ เช่น

  • The little girl hid behind her mother, for she was afraid of the dog.
    เด็กสาวหลบหลังแม่ของเธอเพราะว่ากลัวสุนัข

And : คำเชื่อมตัวนี้น่าจะเป็นคำเชื่อมตัวแรกๆที่เรามักจะรู้จัก แปลว่า “และ”   สามารถเชื่อมคำ กลุ่มคำ หรือประโยคก็ได้ เช่น

  • My husband and I are going to Rayong this weekend.
    ฉันและสามีของฉันจะไประยองสุดสัปดาห์นี้ (เชื่อมคำกับคำ)
  • My favorite hobbies are playing sports and listening to music.
    งานอดิเรกที่ฉันโปรดปรานคือการเล่นกีฬาและการฟังเพลง (เชื่อมกลุ่มคำกับกลุ่มคำ)
  • January is the first month of the year, and December is the last.
    เดือนมกราคมเป็นเดือนแรกของปี และเดือนธันวาคมเป็นเดือนสุดท้าย (เชื่อมประโยคกับประโยค)

Nor : แปลว่า และ…ไม่ แต่จะเป็นประโยคที่มีความหมายเชิงปฏิเสธ เช่น

  • She can’t speak English, nor can she speak French.
    เจ้าหล่อนพูดอังกฤษไม่ได้และยังพูดฝรั่งเศสก็ไม่ได้ด้วย

**   nor มีความพิเศษตรงที่ ประโยคหลัง nor จะต้องเรียงโครงสร้างเหมือนกับคำถามคือ กริยาช่วย แล้วตามด้วยประธาน แล้วค่อยตามด้วยกริยาหลัก แต่ความหมายก็เป็นปฏิเสธนะคะ

  • They don’t like eating fast food, nor do we.
    พวกเขาไม่ชอบกินอาหารจานด่วนและพวกเราก็ไม่ชอบเหมือนกัน

But : แปลว่า “แต่” ใช้เชื่อประโยคที่ขัดแย้งกัน เช่น

  • Mr. Smith came to the party but Mr. William didn’t.
    คุณสมิธมางานปาร์ตี้แต่คุณวิลเลี่ยมไม่ได้มา

Or : แปลว่า “หรือ” เป็นการให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น

  •  You can email or fax us the details of the program.
    คุณสามารถส่งอีเมล์หรือแฟกซ์รายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรมมาให้เราก็ได้
  • My friends and I usually go to a party on Saturday night, or we go to the movies.
    ฉันและเพื่อนๆมักจะไปปาร์ตี้ในคืนวันเสาร์หรือไม่ก็ไปดูหนัง

Yet : ถ้าเป็นคำเชื่อมจะแปลว่า “แต่”   เช่น

  • I have a cold, yet I’m eating ice cream now.
    ฉันเป็นหวัดแต่ฉันก็กำลังกินไอศกรีมอยู่

So : ถ้าเป็นคำเชื่อมจะแปลว่า “ดังนั้น”   เช่น

  • I came to class late, so I was made to stay late after school.
    ฉันมาเรียนสาย ก็เลยถูกบังคับให้ต้องอยู่เย็นหลังเลิกเรียน

** คำเชื่อมอีกประเภทหนึ่งคือ Subordinating Conjunction ติดตามต่อในตอนที่ 2 นะคะ ^^

การใช้ Preposition ในภาษาอังกฤษ

Preprosition

การใช้ Preposition

Preposition ในภาษาอังกฤษ คือ คำที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำกับคำ   ลักษณะการใช้คำบุพบทที่เห็นๆกันอยู่ก็จะแบ่งออกเป็น 3 แบบค่ะ

  1. การใช้ “บุพบท” ตามความหมายของ “บุพบท”
  2. การใช้ “บุพบท” แสดง วันที่ วัน เดือน และ ปี
  3. การใช้ “บุพบท” แบบ collocation

1. การใช้บุพบท ตามความหมายของ “บุพบท” บุพบทแต่ละตัวจะมีความหมายในตัวของมันเองอยู่แล้ว เช่น on แปลว่า บน, in แปลว่า ใน, over แปลว่า เหนือ, under แปลว่า ใต้ ฯลฯ การใช้ในลักษณะแบบนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ

1.1 Preposition ที่เชื่อมคำนาม กับ คำนามหรือคำสรรพนาม   เช่น

  • The camera on the table is mine.   กล้องบนโต๊ะเป็นของฉัน
    (แสดงความสัมพันธ์ระหว่างนาม camera กับ นาม the table)
  • He gave some flowers to me.   เขาให้ดอกไม้กับฉัน
    (แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง นาม flowers กับ สรรพนาม me)

1.2 Preposition ที่เชื่อมคำกริยา กับ คำนามหรือสรรพนาม เช่น

  • I will go by bus. ฉันจะไปด้วยรถเมล์
    (แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกริยา go กับ นาม bus)
  • I went with him. ฉันไปกับเขา
    (แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง กริยา went กับ สรรพนาม him)

2. การใช้ “บุพบท” แสดง วันที่ วัน เดือน และ ปี เป็นปัญหามากเลยใช่มั๊ยคะสำหรับบางคนที่อาจจะสับสนว่าจะใช้บุพบทบอกเวลาอย่างไรดี เพราะมันมีคำเฉพาะของแต่ละอย่าง มาดูกันค่ะ

2.1   วันในสัปดาห์ และ วันสำคัญ จะใช้ on ค่ะ   เช่น On Monday, On Tuesday, On Friday, On New Year’s Day, On Christmas day etc.

2.2 เดือน ปี และ ฤดูกาล จะใช้ in ค่ะ เช่น in March, in June in 2014, in summer, in winter etc.

2.3 เวลาที่มีจุดเวลาแน่นอน ใช้ at ค่ะ เช่น at noon, at six o’clock etc.

2.4 ถ้าเป็นวันที่ มี เดือน หรือ ปี ให้ใช้ on เช่น on 1 February, on 1 October 2014

3. การใช้ “บุพบท” แบบ collocation คำว่า collocation แปลง่ายๆเลยก็คือ หมายถึง การใช้ร่วมกันหรือคู่กัน คำไหนที่มักจะอยู่ด้วยกันบ่อยๆ นั่นแหละค่ะ เราเรียกว่า collocation preposition บางตัวก็ถูกกำหนดให้ใช้คู่กับนามตัวนี้ กริยาตัวนี้ หรือ คำคุณศัพท์นั้น เช่น เรามักจะเห็นเขาใช้   interested in ในความหมายว่า สนใจในเรื่องใด ไม่เคยเห็นใช้   interested of หรือ interested on เลยใช่มั๊ยคะ นี่แหละค่ะที่เรียกว่า collocation คือมักจะใช้คู่กับคำนั้นๆ ตัวอย่างอื่นๆเช่น

believe in…   เชื่อเรื่อง…                                            afraid of       กลัว

rely on           ขึ้นอยู่กับ                                             respect for   เคารพ

trust in           เชื่อใจ ไว้ใจ                                         wait for          รอ

และมีอีกเยอะแยะมากมายเลยค่ะ ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าคำนี้จะใช้กับบุพบทตัวไหน คำตอบง่ายๆเลยคือ เปิดดิกชันนารีค่ะ เพราะเราไม่สามารถจะจดจำได้ทุกตัว นอกจากเราจะใช้มันบ่อยๆ เปิดไปเถอะค่ะ ดิกชันนารี นอกจากจะใช้ได้ถูกต้องแล้ว ยังได้เห็นตัวอย่างการใช้ประโยคด้วยนะคะ

นี่เป็นเพียงแค่ภาพรวมของการใช้บุพบทเท่านั้นนะคะ แต่สำหรับรายละเอียดในการใช้ บุพบทแต่ละตัวนั้นก็ยังมีอีกมาก ไว้ติดตามในตอนต่อๆไปนะคะ ^^

Past Simple Tense VS. Present Perfect Tense ใช้ต่างกันอย่างไร

Past Simple Tense VS. Present Perfect Tense

Past Simple Tense VS. Present Perfect Tense ใช้ต่างกันอย่างไร

I've been in hospital for three weeks.  I was in hospital for six weeks

 

เรื่อง Tense เนี่ย…จะหลบจะหลีกจะเลี่ยงยังไงมันก็ต้องเลี้ยวมาเจอกับมันอยู่ดีค่ะ! แต่มีสอง Tense ที่พาคนไทยหัวใจอังกฤษทั้งหลายสับสนมานักต่อนักแล้ว นั่นก็คือ เจ้า Past simple Tense กับ Present Perfect Tense

เรารู้มาว่า Past Simple ใช้กับเหตุการณ์ในอดีต ส่วน Present Perfect ใช้กับเหตุการณ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ปัญหาคือ!!…มันมีความเป็นอดีตเหมือนกัน แล้วจะแยกใช้ยังไง??   เอาง่ายๆเลย ลองดูสองภาพด้านบนค่ะ

ภาพบนเป็น Present perfect มีความหมายว่า “ฉันอยู่โรงพยาบาลมา 3 อาทิตย์แล้ว”

ส่วนภาพล่างเป็น Past simple เจ้าหนุ่มบอกเพื่อนว่า “ตูเนี่ยไปอยู่ในโรงพยาบาลมา 6 อาทิตย์”

มองจากภาพแล้วพอเห็นความแตกต่างมั๊ยคะ??….ใช่แล้วค่ะ….ภาพซ้ายที่ใช้ Present perfect เขาอยู่มาตั้งแต่ 3 อาทิตย์ที่แล้ว และปัจจุบันก็ยังอยู่ ยังใส่ชุดคนไข้ ให้น้ำเกลืออยู่    แต่ภาพขวาที่ใช้ Past Simple ตอนที่เขาพูด ตัวเขาไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว…ออกมาเที่ยวได้สบายอุราแล้วค่ะ   สรุปคือ…Present perfect พูดถึงเหตุการณ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันก็ยังทำอยู่   แต่ Past simple พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดแล้ว จบแล้ว …

ลองดูกันอีกสักตัวอย่างนึง…

  • I have lost my key.   “ฉันทำกุญแจหาย”
  • I lost my key, but I found it just now.   “ฉันทำกุญแจหาย แต่เจอแล้วเมื่อกี๊”

นัยยะที่แฝงไว้ ที่ผู้ฟังสามารถอนุมานได้ก็คือ

ประโยคแรก…ทำกุญแจหาย จนถึงปัจจุบันตอนที่พูดก็ยังหาไม่เจอ     แต่ประโยคหลัง…ทำหาย แต่ตอนที่พูดหาเจอแล้ว

แต่ความแตกต่างมันยังไม่หมดเพียงเท่านี้ค่ะ!!   ถ้าเหตุการณ์ในอดีตที่พูดเนี่ย ไม่ได้บอกเวลาแน่นอนจะใช้ Present perfect ค่ะ แต่ถ้ามีเวลาในอดีตบอกแน่นอนจะใช้ Past simple  เปรียบเทียบจาก 2 ประโยคนี้ค่ะ

  • I have told him.     “ฉันบอกเขาแล้ว”
  • I told him yesterday. “ฉันบอกเขาแล้วเมื่อวาน”

สองประโยคนี้…..เกิดขึ้นแล้ว…..แต่ ประโยคแรก (Present perfect) บอกไปแล้ว แต่ตอนไหนไม่รู้ เน้นที่ผลของการกระทำมากกว่าว่า บอกแล้ว เขาก็จะต้องรู้แล้ว

ส่วนประโยคหลัง (Past simple) บอกเขาไปแล้ว เน้นเวลาแน่นอนด้วยว่า บอกไปเมื่อวานนี้    สรุปคือ…Present perfect เล่าเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่ไม่เวลาบอกแน่นอน แต่ Past simple เล่าเหตุการณ์ในอดีต แต่มีเวลาบอกแน่นอน…

** หลักใหญ่ใจความของความแตกต่างระหว่าง 2 Tense มันก็เป็นด้วยประการฉะนี้ล่ะค่ะ ^^

ว่าด้วยเรื่องของ V-ing ในประโยคภาษาอังกฤษ

V-ing

ว่าด้วยเรื่องของ V-ing

ว่าด้วยเรื่องของ V-ing ในประโยคภาษาอังกฤษ
ว่าด้วยเรื่องของ V-ing ในประโยคภาษาอังกฤษ

เวลาอ่านภาษาอังกฤษ เราเจอ V-ing อยู่เต็มไปหมด แต่คุณรู้หรือไม่ว่า V-ing เหล่านั้นมันไม่ได้ทำหน้าที่เหมือนกันหมดทุกตัว   บางตัวบ่งบอกว่า “กำลังทำ” บางตัวทำหน้าที่เหมือนคำนาม และบางตัวก็ไปขยายนามตัวอื่น แต่คำถามคือ แล้วเราจะแยกแยะอย่างไรว่า V-ing ตัวนี้คืออะไรและควรจะแปลอย่างไร วิธีการคือ เราต้องรู้ว่า V-ing ตัวนั้นทำหน้าที่อะไร หรืออยู่ตำแหน่งไหนในประโยค

1. V-ing บอกว่า “กำลังทำ” หรือเป็น Continuous Tense

วิธีการสังเกตก็คือ V-ing ในกลุ่มนี้จะตามหลัง V. to be ค่ะ โดยที่ Verb to be นั้นจะไม่มีความหมายใดๆ เพราะเป็นแค่กริยาช่วยที่บอก tense เท่านั้น ไม่ว่า Verb to be นั้นจะอยู่ในรูปของอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม เพราะ Continuous Tense เป็นได้ทั้ง Present และ Past เช่น

  • Listen to me! I’m talking to you.     (ฟังฉันนี่! ฉันกำลังพูดกับเธออยู่นะ)
  • She called me when I was watching TV. (เธอโทรหาฉันตอนที่ฉันกำลังดูทีวีอยู่)

2. V-ing ที่ทำหน้าที่เหมือนคำนาม

V-ing ที่ทำหน้าที่เหมือนคำนาม มีชื่อเรียกตัวมันเองอีกชื่อหนึ่งเท่ๆ ว่า “Gerund” ค่ะ   ในเมื่อมันทำหน้าที่เหมือนคำนาม ดังนั้นไม่ว่าคำนามทำหน้าที่อะไร Gerund ก็ทำได้หมดค่ะ มาดูหน้าที่คำนามกัน Continue reading