พจน์ของคำนาม (The Number of Nouns)
ในภาษาไทยไม่ว่าจำนวนของคำนามจะเป็นหนึ่งอันหรือมากกว่าหนึ่งอัน รูปของคำนามนั้นก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เช่นถ้าบอกว่า คนหนึ่งคน กับ คนสามคน คำว่า “คน” ก็ยังมีรูปเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในภาษาอังกฤษเรื่องเยอะกว่านั้น!! เพราะคำนามจะมีการเปลี่ยนรูปหรือเติม s/es เข้าไปเมื่อมันมีจำนวนที่มากกว่าหนึ่ง พจน์ของคำนามแบ่งออกเป็น 2 พจน์ ดังนี้
1. เอกพจน์ (Singular) หมายถึง “หนึ่ง” ดังนั้นนามเอกพจน์จึงหมายถึงนามที่มีแค่หนึ่งอัน หนึ่งอย่าง หนึ่งคน
2. พหูพจน์ (Plural) หมายถึง “มากกว่าหนึ่ง” ดังนั้นนามพหูพจน์จึงหมายถึงนามที่มีมากกว่าหนึ่งอัน โดยนามนับได้เท่านั้นที่เป็นพหูพจน์ได้ ส่วนนามนับไม่ได้จะไม่มีรูปพหูพจน์
อย่างที่บอกไปแล้วว่า ถ้านามนั้นเป็นพหูพจน์จะต้องเติม s/es หรือมีการเปลี่ยนรูป ดังนั้นจึงมีกฎการเติม s/es ดังนี้ค่ะ
1. ถ้าคำนามนั้นลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, x, o, z ให้เติม es เช่น
class classes
box boxes
bush bushes
mango mangoes
** ข้อยกเว้นสำหรับคำที่ลงท้ายด้วย o ถ้าหน้า o เป็นสระให้เติม s ได้เลย เช่น
bamboo bamboos
radio radios
2. ถ้านามนั้นลงท้ายด้วย f หรือ fe ให้เปลี่ยน f หรือ fe เป็น v แล้วเติม es เช่น
wife wives
knife knives
wolf wolves
3. ถ้านามนั้นลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
baby babies
fly flies
lady ladies
** มีข้อยกเว้นอีกเช่นเคย!! ถ้าหน้า y เป็นสระ ให้เติม s ได้เลย เช่น
boy boys
key keys
4. คำนามบางคำ เมื่อเป็นรูปพหูพจน์จะมีการเปลี่ยนรูป เช่น
man men
woman women
mouse mice
foot feet
tooth teeth
** แต่คำบางคำ รูปเอกพจน์กับรูปพหูพจน์เหมือนกันเลย คือไม่เติมอะไรใดๆทั้งสิ้น เช่น fish, deer, sheep เป็นต้น
** นอกจากนี้คำที่มาจากภาษาอื่น เวลาเป็นพหูพจน์ก็มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนเดิมอีกเช่นกัน เช่น
nebula nebulae
analysis analyses
crisis crises
thesis theses
phenomenon phenomena
criterion criteria
แค่เรื่องพจน์อย่างเดียวก็เยอะขนาดนี้แล้ว แต่เชื่อเถอะค่ะว่าถ้าได้ใช้บ่อยๆ มันจะซึมเข้าสู่สมองเราเองโดยอัตโนมัติ ลองฝึกบ่อยๆค่ะ