Tag Archives: ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

การใช้ Preposition ในภาษาอังกฤษ

Preprosition

การใช้ Preposition

Preposition ในภาษาอังกฤษ คือ คำที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำกับคำ   ลักษณะการใช้คำบุพบทที่เห็นๆกันอยู่ก็จะแบ่งออกเป็น 3 แบบค่ะ

  1. การใช้ “บุพบท” ตามความหมายของ “บุพบท”
  2. การใช้ “บุพบท” แสดง วันที่ วัน เดือน และ ปี
  3. การใช้ “บุพบท” แบบ collocation

1. การใช้บุพบท ตามความหมายของ “บุพบท” บุพบทแต่ละตัวจะมีความหมายในตัวของมันเองอยู่แล้ว เช่น on แปลว่า บน, in แปลว่า ใน, over แปลว่า เหนือ, under แปลว่า ใต้ ฯลฯ การใช้ในลักษณะแบบนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ

1.1 Preposition ที่เชื่อมคำนาม กับ คำนามหรือคำสรรพนาม   เช่น

  • The camera on the table is mine.   กล้องบนโต๊ะเป็นของฉัน
    (แสดงความสัมพันธ์ระหว่างนาม camera กับ นาม the table)
  • He gave some flowers to me.   เขาให้ดอกไม้กับฉัน
    (แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง นาม flowers กับ สรรพนาม me)

1.2 Preposition ที่เชื่อมคำกริยา กับ คำนามหรือสรรพนาม เช่น

  • I will go by bus. ฉันจะไปด้วยรถเมล์
    (แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกริยา go กับ นาม bus)
  • I went with him. ฉันไปกับเขา
    (แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง กริยา went กับ สรรพนาม him)

2. การใช้ “บุพบท” แสดง วันที่ วัน เดือน และ ปี เป็นปัญหามากเลยใช่มั๊ยคะสำหรับบางคนที่อาจจะสับสนว่าจะใช้บุพบทบอกเวลาอย่างไรดี เพราะมันมีคำเฉพาะของแต่ละอย่าง มาดูกันค่ะ

2.1   วันในสัปดาห์ และ วันสำคัญ จะใช้ on ค่ะ   เช่น On Monday, On Tuesday, On Friday, On New Year’s Day, On Christmas day etc.

2.2 เดือน ปี และ ฤดูกาล จะใช้ in ค่ะ เช่น in March, in June in 2014, in summer, in winter etc.

2.3 เวลาที่มีจุดเวลาแน่นอน ใช้ at ค่ะ เช่น at noon, at six o’clock etc.

2.4 ถ้าเป็นวันที่ มี เดือน หรือ ปี ให้ใช้ on เช่น on 1 February, on 1 October 2014

3. การใช้ “บุพบท” แบบ collocation คำว่า collocation แปลง่ายๆเลยก็คือ หมายถึง การใช้ร่วมกันหรือคู่กัน คำไหนที่มักจะอยู่ด้วยกันบ่อยๆ นั่นแหละค่ะ เราเรียกว่า collocation preposition บางตัวก็ถูกกำหนดให้ใช้คู่กับนามตัวนี้ กริยาตัวนี้ หรือ คำคุณศัพท์นั้น เช่น เรามักจะเห็นเขาใช้   interested in ในความหมายว่า สนใจในเรื่องใด ไม่เคยเห็นใช้   interested of หรือ interested on เลยใช่มั๊ยคะ นี่แหละค่ะที่เรียกว่า collocation คือมักจะใช้คู่กับคำนั้นๆ ตัวอย่างอื่นๆเช่น

believe in…   เชื่อเรื่อง…                                            afraid of       กลัว

rely on           ขึ้นอยู่กับ                                             respect for   เคารพ

trust in           เชื่อใจ ไว้ใจ                                         wait for          รอ

และมีอีกเยอะแยะมากมายเลยค่ะ ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าคำนี้จะใช้กับบุพบทตัวไหน คำตอบง่ายๆเลยคือ เปิดดิกชันนารีค่ะ เพราะเราไม่สามารถจะจดจำได้ทุกตัว นอกจากเราจะใช้มันบ่อยๆ เปิดไปเถอะค่ะ ดิกชันนารี นอกจากจะใช้ได้ถูกต้องแล้ว ยังได้เห็นตัวอย่างการใช้ประโยคด้วยนะคะ

นี่เป็นเพียงแค่ภาพรวมของการใช้บุพบทเท่านั้นนะคะ แต่สำหรับรายละเอียดในการใช้ บุพบทแต่ละตัวนั้นก็ยังมีอีกมาก ไว้ติดตามในตอนต่อๆไปนะคะ ^^

Past Simple Tense VS. Present Perfect Tense ใช้ต่างกันอย่างไร

Past Simple Tense VS. Present Perfect Tense

Past Simple Tense VS. Present Perfect Tense ใช้ต่างกันอย่างไร

I've been in hospital for three weeks.  I was in hospital for six weeks

 

เรื่อง Tense เนี่ย…จะหลบจะหลีกจะเลี่ยงยังไงมันก็ต้องเลี้ยวมาเจอกับมันอยู่ดีค่ะ! แต่มีสอง Tense ที่พาคนไทยหัวใจอังกฤษทั้งหลายสับสนมานักต่อนักแล้ว นั่นก็คือ เจ้า Past simple Tense กับ Present Perfect Tense

เรารู้มาว่า Past Simple ใช้กับเหตุการณ์ในอดีต ส่วน Present Perfect ใช้กับเหตุการณ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ปัญหาคือ!!…มันมีความเป็นอดีตเหมือนกัน แล้วจะแยกใช้ยังไง??   เอาง่ายๆเลย ลองดูสองภาพด้านบนค่ะ

ภาพบนเป็น Present perfect มีความหมายว่า “ฉันอยู่โรงพยาบาลมา 3 อาทิตย์แล้ว”

ส่วนภาพล่างเป็น Past simple เจ้าหนุ่มบอกเพื่อนว่า “ตูเนี่ยไปอยู่ในโรงพยาบาลมา 6 อาทิตย์”

มองจากภาพแล้วพอเห็นความแตกต่างมั๊ยคะ??….ใช่แล้วค่ะ….ภาพซ้ายที่ใช้ Present perfect เขาอยู่มาตั้งแต่ 3 อาทิตย์ที่แล้ว และปัจจุบันก็ยังอยู่ ยังใส่ชุดคนไข้ ให้น้ำเกลืออยู่    แต่ภาพขวาที่ใช้ Past Simple ตอนที่เขาพูด ตัวเขาไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว…ออกมาเที่ยวได้สบายอุราแล้วค่ะ   สรุปคือ…Present perfect พูดถึงเหตุการณ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันก็ยังทำอยู่   แต่ Past simple พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดแล้ว จบแล้ว …

ลองดูกันอีกสักตัวอย่างนึง…

  • I have lost my key.   “ฉันทำกุญแจหาย”
  • I lost my key, but I found it just now.   “ฉันทำกุญแจหาย แต่เจอแล้วเมื่อกี๊”

นัยยะที่แฝงไว้ ที่ผู้ฟังสามารถอนุมานได้ก็คือ

ประโยคแรก…ทำกุญแจหาย จนถึงปัจจุบันตอนที่พูดก็ยังหาไม่เจอ     แต่ประโยคหลัง…ทำหาย แต่ตอนที่พูดหาเจอแล้ว

แต่ความแตกต่างมันยังไม่หมดเพียงเท่านี้ค่ะ!!   ถ้าเหตุการณ์ในอดีตที่พูดเนี่ย ไม่ได้บอกเวลาแน่นอนจะใช้ Present perfect ค่ะ แต่ถ้ามีเวลาในอดีตบอกแน่นอนจะใช้ Past simple  เปรียบเทียบจาก 2 ประโยคนี้ค่ะ

  • I have told him.     “ฉันบอกเขาแล้ว”
  • I told him yesterday. “ฉันบอกเขาแล้วเมื่อวาน”

สองประโยคนี้…..เกิดขึ้นแล้ว…..แต่ ประโยคแรก (Present perfect) บอกไปแล้ว แต่ตอนไหนไม่รู้ เน้นที่ผลของการกระทำมากกว่าว่า บอกแล้ว เขาก็จะต้องรู้แล้ว

ส่วนประโยคหลัง (Past simple) บอกเขาไปแล้ว เน้นเวลาแน่นอนด้วยว่า บอกไปเมื่อวานนี้    สรุปคือ…Present perfect เล่าเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่ไม่เวลาบอกแน่นอน แต่ Past simple เล่าเหตุการณ์ในอดีต แต่มีเวลาบอกแน่นอน…

** หลักใหญ่ใจความของความแตกต่างระหว่าง 2 Tense มันก็เป็นด้วยประการฉะนี้ล่ะค่ะ ^^

ว่าด้วยเรื่องของ V-ing ในประโยคภาษาอังกฤษ

V-ing

ว่าด้วยเรื่องของ V-ing

ว่าด้วยเรื่องของ V-ing ในประโยคภาษาอังกฤษ
ว่าด้วยเรื่องของ V-ing ในประโยคภาษาอังกฤษ

เวลาอ่านภาษาอังกฤษ เราเจอ V-ing อยู่เต็มไปหมด แต่คุณรู้หรือไม่ว่า V-ing เหล่านั้นมันไม่ได้ทำหน้าที่เหมือนกันหมดทุกตัว   บางตัวบ่งบอกว่า “กำลังทำ” บางตัวทำหน้าที่เหมือนคำนาม และบางตัวก็ไปขยายนามตัวอื่น แต่คำถามคือ แล้วเราจะแยกแยะอย่างไรว่า V-ing ตัวนี้คืออะไรและควรจะแปลอย่างไร วิธีการคือ เราต้องรู้ว่า V-ing ตัวนั้นทำหน้าที่อะไร หรืออยู่ตำแหน่งไหนในประโยค

1. V-ing บอกว่า “กำลังทำ” หรือเป็น Continuous Tense

วิธีการสังเกตก็คือ V-ing ในกลุ่มนี้จะตามหลัง V. to be ค่ะ โดยที่ Verb to be นั้นจะไม่มีความหมายใดๆ เพราะเป็นแค่กริยาช่วยที่บอก tense เท่านั้น ไม่ว่า Verb to be นั้นจะอยู่ในรูปของอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม เพราะ Continuous Tense เป็นได้ทั้ง Present และ Past เช่น

  • Listen to me! I’m talking to you.     (ฟังฉันนี่! ฉันกำลังพูดกับเธออยู่นะ)
  • She called me when I was watching TV. (เธอโทรหาฉันตอนที่ฉันกำลังดูทีวีอยู่)

2. V-ing ที่ทำหน้าที่เหมือนคำนาม

V-ing ที่ทำหน้าที่เหมือนคำนาม มีชื่อเรียกตัวมันเองอีกชื่อหนึ่งเท่ๆ ว่า “Gerund” ค่ะ   ในเมื่อมันทำหน้าที่เหมือนคำนาม ดังนั้นไม่ว่าคำนามทำหน้าที่อะไร Gerund ก็ทำได้หมดค่ะ มาดูหน้าที่คำนามกัน Continue reading

ความแตกต่างระหว่าง hard – hardly

hard – hardly

คำศัพท์ชวนสับสน hard – hardly

คำศัพท์ชวนสับสน hard – hardly
คำศัพท์ชวนสับสน hard – hardly

ทุกคนคงเคยเห็นคำว่า hard และ hardly แต่อีกหลายคนอาจไม่รู้ว่าสองคำนี้ ความหมายมันไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย คำว่า hard แปลว่า หนัก หรือ ยาก พอเติม ly เข้าไปปุ๊บมันคงจะเป็น adverb ที่แปลว่า อย่างหนัก แน่ๆเลย ถ้าคุณคิดอย่างนั้น คุณคิด…ผิดค่ะ!!!  เพราะ hardly แปลว่า “แทบจะไม่, เกือบจะไม่, เกือบจะไม่มี”   ส่วนรูป adverb ของ hard ก็คือ hard นั่นเองค่ะ เขียนเหมือนกัน อ่านเหมือนกัน เช่น

  • Hard work leads to success.
    งานหนักนำไปสู่ความสำเร็จ ( hard นำหน้าคำนามเป็น adjective)
  • You should work hard.
    คุณควรจะขยันทำงาน (hard ในประโยคนี้เป็น adverb ขยายกริยา work)
  • We hardly ever go out nowadays.
    เดี๋ยวนี้พวกเราแทบจะไม่ได้ออกไปไหนกันเลย
  • I hardly exercise.
    ฉันแทบจะไม่ออกกำลังกาย

คำศัพท์ที่มีลักษณะคล้ายๆกัน คือคำว่า late – lately

late แปลว่า ดึก, สาย แต่ lately ไม่ใช่ adverb ของ late ที่แปลว่า อย่างสาย, อย่างดึกนะคะ แต่ lately เป็น adverb แปลว่า เร็วๆนี้, หมู่นี้   เช่น

  • He is often late. เขามาสายบ่อยๆ
  • I haven’t seen you lately. หมู่นี้ผมไม่ได้เจอคุณเลย

อีกคำหนึ่งคือคำว่า near – nearly
near เป็น adjective แปลว่า ใกล้   แต่ nearly เป็น adverb แปลว่า เกือบจะ   เช่น

  • I sit near the window. ฉันนั่งใกล้ๆหน้าต่าง
  • I was kept waiting nearly an hour.     เธอทำให้ฉันรอมาเกือบๆจะชั่วโมงละนะ
  • He is nearly forty. เขาอายุเกือบจะ 40 แล้ว

** เวลาเลือกใช้ก็ระวังด้วยนะคะ ก็เหมือนใครบางคนบอกไว้ สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิด   ^^

หลักการใช้ be ในภาษาอังกฤษ

หลักการใช้ be ในภาษาอังกฤษ

หลักการใช้ be

หลักการใช้ be
หลักการใช้ be

หลายคนคงจะเคยเห็นคำว่า be อยู่ในประโยคภาษาอังกฤษมาบ้าง ซึ่งบางทีก็ชวนสับสนเหมือนกันว่า be มันคืออะไร แล้วใช้ยังไง และคำถามที่น่าจะโดนใจใครหลายๆคนคือ “จะรู้ได้อย่างไรว่าตรงนี้ต้องใช้ be”

ก่อนอื่นคงต้องมาทำความรู้จักกับ be ก่อนว่า be คืออะไร?   be ก็คือ รูปธรรมดาหรือ base form ของ verb to be (is, am, are) ที่เรารู้จักนั่นแหละค่ะ หลักการใช้ be มีดังนี้ค่ะ

**   เรามักจะเห็น be อยู่ตามหลัง กริยาช่วยหรือ modal verb (will, would, can, could, may, might, must, should, etc.) เช่น

  • We should be hardworking.
    พวกเราควรจะขยัน
  • He should be a teacher because he can get along well with children.
    เขาควรจะเป็นครูเพราะเขาเข้ากับเด็กๆได้ดี

** ทำไมหลังกริยาช่วยเหล่านี้ต้องเติม be น่ะเหรอ? เหตุผลก็คือ
ปกติกริยาช่วยเหล่านี้ต้องบวกด้วยกริยารูปธรรมดา ——–Modal verb + V (base form)——-  เช่น I should go.

แต่ประโยคแรก hardworking เป็น adjective ไม่ใช่ verb    แล้วทำยังไงล่ะทีนี้?? ถ้าเราจำกฎของ adjective ได้คือ adjective สามารถตามหลัง verb to be ได้ แล้วบังเอิญว่ามันตามหลัง modal verb เราก็ต้องเลือกใช้ verb to be รูป base form ซึ่งก็คือ be นั่นเอง!! เริ่มจะเก็ทมานิดๆแล้วใช่มั๊ยคะ

ส่วนประโยคที่สอง a teacher เป็นคำนาม ในประโยคนี้ต้องมี verb to be ในความหมายว่า   “เป็น” พอตามหลัง should ซึ่งเป็น modal verb จึงต้องเป็นรูป base form Continue reading

การใช้ So do I และ Nor do I

So do I และ Nor do I

การใช้ So do I และ Nor do I

การใช้ So do I และ Nor do I
การใช้ So do I และ Nor do I

เวลามีใครพูดอะไรมา แล้วเราอยากจะบอกประมาณว่า “ฉันก็เหมือนกัน” ส่วนใหญ่นึกถึงคำว่าอะไรกันคะ Me, too กันใช่มั๊ย จำง่ายและพูดง่าย แต่ในการแสดงความเห็นด้วยเราสามารถพูดได้หลายรูปแบบเลยค่ะ แต่ก่อนที่จะดูกันเราต้องแยกระหว่างประโยคบอกเล่ากับประโยคปฏิเสธให้ได้ก่อนค่ะ เพราะการแสดงความเห็นด้วยของประโยคบอกเล่าและปฏิเสธไม่เหมือนกัน เช่น ถ้าเพื่อนบอกว่า   I’m so hungry.   เราหิวเหมือนกันก็บอกว่า Me, too. ได้  แต่ถ้าเพื่อนบอกว่า   I don’t know him. แล้วเราก็ไม่เหมือนรู้จักเหมือนกัน ก็ต้องบอกว่า Me, neither. แปลว่า ฉันก็ไม่รู้จักเขาเหมือนกัน จะใช้ Me, too ไม่ได้ค่ะ

บอกเล่า >……………< ปฏิเสธ

Me, too. >……………<   Me, neither.
I do, too. >…………….< I don’t either.
So do I.   >……………..< Nor do I

มาดู So do I กับ Nor do I กันค่ะ เป็นอีกสำนวนหนึ่งที่น่าจำไว้ใช้ในการแสดงความเห็นด้วย สำหรับ Nor do I เราสามารถใช้ Neither do I แทนได้ กริยาช่วยไม่จำเป็นต้องเป็น do เสมอไปนะคะ โครงสร้างประโยคเป็นอย่างนี้ค่ะ

  • โครงสร้าง “…เหมือนกัน” ในประโยคบอกเล่า ==> So + กริยาช่วย + ประธาน
  • โครงสร้าง “…เหมือนกัน” ประโยคปฎิเสธ ==> Nor / Neither + กริยาช่วย + ประธาน

มาดูตัวอย่างกันเลยค่ะ

  • A: I can’t drive. ฉันขับรถไม่เป็น
  • B: Nor can I.    ฉันก็ไม่เป็นเหมือนกัน
  • A:   I’m so happy today.   วันนี้ฉันมีความสุขมาก
  • B: So am I.     ฉันก็เหมือนกัน

ประธานไม่จำเป็นต้องเป็น I เสมอไปนะคะ จะเป็นคนอื่นก็ได้เช่น

  • A: Sara understands Spanish.   ซาร่าพูดสเปนได้
  • B: So does her husband.   สามีเจ้าหล่อนก็เหมือนกัน

** ถ้าเบื่อ Me, too แล้วก็ลองเอา So do I หรือ Nor do I ไปใช้ดูนะคะ ฝรั่งเขาจะได้มองว่าภาษาอังกฤษของคุณเนี่ยไม่ธรรมดานะเนี่ย ^^

verb to be ใช้ตอนไหน??

verb to be

# verb to be ใช้ตอนไหน??

verb to be

ข้อผิดพลาดของคนไทยในการใช้ภาษาอังกฤษที่เห็นบ่อยมากก็คือ การใช้ verb to be ไม่ถูกต้อง คือ ในประโยคที่ไม่ต้องการ verb to be เรากลับใส่เข้าไปในประโยค

ก่อนอื่นเรามาดูก่อนค่ะว่า ประโยคแบบไหนที่ไม่ต้องการ verb to be

** ประโยคที่อยู่ในโครงสร้าง
S + V1
S + V2
จะไม่เติม verb to be นะคะ เช่น

  • I agree with you.

เราจะไม่เขียนว่า I’m agree with you. เพราะ agree เป็น V1 ประโยคนี้เป็น present simple tense ค่ะ
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง

  • She took the bus to school.

ประโยคนี้เป็น past simple tense นะคะ เป็นอดีต กริยา took เป็นช่องสอง เราจะไม่เติม is am are หรือ was were ใดๆ ลงไปหน้า took ค่ะ

ทีนี้เรามาดูกันบ้างว่า ประโยคแบบไหนใส่ verb to be ได้บ้าง

* verb to be + Adjective
เช่น

  • We are ready.

* verb to be + Noun
เช่น

  • He is the president.

* verb to be + preposition
เช่น

  • Now, I am on top of the moutain.

Continue reading

วิธีการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นปฏิเสธ ด้วย helping verb (verb to do, verb to have, verb to be)

helping verb (verb to do, verb to have, verb to be)

การเปลี่ยนประโยคให้เป็นประโยคปฏิเสธมีหลักยังไงคะ?

helping-verb
helping verb
  • โดยปกติประโยคปฏิเสธจะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไปตาม tense นะคะ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแต่ละ tense จะมีกริยาช่วย (helping verb) ไม่เหมือนกัน
  • เหตุผลที่ต้องพูดถึง helping verb ก็เพราะว่า เจ้ากริยาช่วยนี่แหละค่ะที่จะช่วยเราในการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธ
  • วิธีการก็ง่ายแสนง่ายค่ะ แค่เอา not ไปใส่ไว้หลังกริยาช่วยในประโยคก็สามารถทำให้เป็นประโยคปฏิเสธได้แล้วล่ะค่ะ

กริยาช่วยมีอะไรบ้าง?

กริยาช่วยก็คือ

  • verb to do (do, does, did)
  • verb to have ( have, has, had)
  • verb to be ( is, am, are, was, were)

ลองมาดูตัวอย่างของแต่ละ tense กันเลยค่ะ

  • I go to work by bus every day. ( present simple tense)

ลองสังเกตประโยคนี้นะคะ ประโยค present simple tense บางประโยคจะไม่มี verb ช่วย ให้เราเอา verb to do เข้ามาช่วยทำให้เป็นปฏิเสธนะคะ ก็จะเป็น

  • I do not go to work by bus every day.

present simple tense บางประโยคเช่น

  • They are my friends.

ให้เติม not หลัง are ได้เลยค่ะ เป็น

  • They are not my friends.

ลองดู tense อื่นกันค่ะ Continue reading

Passive Voice ในภาษาอังกฤษ

Passive Voice ในภาษาอังกฤษ

# “เราจะยิงลูกธนูได้ ก็ต่อเมื่อเราดึงมันไปข้างหลัง เช่นเดียวกัน เมื่อชีวิตฉุดรั้งคุณให้ถอยกลับหลังด้วยกับอุปสรรคต่างๆนาๆ ก็แค่ให้เราคิดว่ามันกำลังจะปล่อยคุณให้พุ่งไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่”

** ขอพูดถึงไวยากรณ์ก่อนนิดนึงนะคะ ^^   สังเกตประโยคนี้นะคะ

  • An arrow can only be shot…

ประโยคนี้เป็นประโยค passive voice ซึ่งก็คือโครงสร้างประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ ในภาษาอังกฤษมีการใช้ passive voice บ่อยมากๆเหมือนกัน ในประโยคนี้เราต้องการเน้นให้ลูกธนูเป็นประธาน และลูกธนูจะต้องถูกยิง เพราะมันยิงตัวมันเองไม่ได้ ฉะนั้นเราจะต้องให้มันอยู่ในรูปของ passive voice ค่ะ

ปกติแล้วโครงสร้างของ passive voice โดยทั่วไปก็คือ  Verb to be + V ช่องที่ 3

แต่ในประโยคนี้ใช้ กริยาช่วย (Modal verb) can  โครงสร้าง passive voice ของประโยคที่มี modal verb คือ  Modal verb + be + V ช่อง 3
ประโยคนี้เลยออกมาเป็น

  • An arrow can only be shot…

** อ้อ !! จำไว้นิดนึงค่ะ รูปร่างหน้าตาของประโยค passive voice ในแต่ละ tense นั้น มีความแตกต่างกันไปตามโครงสร้างเดิมของ tense นั้นๆนะคะ
——————–
*** ชีวิตคนเราอาจไม่ได้เดินไปข้างหน้าตลอดเวลา อาจมีบางคราวที่จำเป็นต้องหยุดนิ่งหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถอยกลับมา แต่บททดสอบเหล่านั้นอาจกำลังบอกคุณว่าอีกไม่นานสิ่งดีๆกำลังจะเข้ามาในชีวิต คุณก็ได้ ขอเพียงเราอดทน ไม่ย่อท้อ หมดกำลังใจไปเสียก่อน ดังคำกล่าวที่ว่า
“ฟ้าหลังฝน ย่อมสวยงามเสมอ”  หรือมีคำกล่าวในภาษาอังกฤษบอกไว้ว่า

  • Every cloud has a silver lining.
    อาจมีลำแสงสีเงินคอยส่องประกายอยู่ในเงาเมฆที่มืดดำก็ได้

เป็นกำลังใจให้ทุกชีวิตผ่านพ้นบททดสอบนะคะ ^^

การบอกเล่าเรื่องที่ผ่านไปแล้ว จบไปแล้ว [Past simple]

เล่าเรื่องที่ผ่านไปแล้ว จบไปแล้ว [Past simple]

ศัพท์ที่ควรรู้

  • consonant n. [คั๊นเสินเนิ่นทฺ] เสียงพยัญชนะ
  • vowel n. [ฝาวโอ็ลฺ] เสียงสระ (a letter representing a vowel sound, such as a, e, i, o, u.)
  • precede v. [พริซีดฺ] นำหน้า, อยู่ข้างหน้า
  • infinitive verb  คือคำกริยารูปปกติ (กริยาที่ไม่ได้เติม s, es, ed, หรือ ing ที่ท้าย)

การบอกเล่าเรื่องที่ผ่านไปแล้ว จบไปแล้วในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต(Past simple) ตัวแปรสำคัญที่เราต้องใช้เมื่อต้องการสื่อถึงเรื่องในอดีตก็คือ กริยาช่องที่2 นั่นเอง โดยจะมีหรือไม่มีคำบอกเวลาอยู่ในประโยคก็ได้ เช่นคำว่า yesterday,this morning, ago, last night, last week, last month, last year เป็นต้น

1. ประโยคบอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีตในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นอดีตไปแล้ว

  • เขาอยู่ที่บ้าน ==> He was at home.
  • เธอล้างรถของเธอ ==> She washed her car.
  • เขาไม่ได้ล้างรถของเขา ==> He didn’t wash his car.
  • เขาเล่นกีตาร์ ==> He played the guitar.
  • เขาไม่ชอบผักมาก่อน ==> He didn’t like vegetables before.
  • ฉันดูหนังเมื่อวานนี้ ==> I saw a movie yesterday.
  • เขาทำงานที่โรงภาพยนตร์หลังเลิกเรียน (แต่ก่อน) ==> He worked at the movie theater after school.
  • ผมเรียนภาษาไทยมาตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ==> I studied Thai when I was a child.
  • เมื่อเดือนก่อนฉันเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ==> Last month, I traveled to Japan.
  • เมื่อวานนี้ฉันไม่ได้เดินทางไปเชียงใหม่ ==> yesterday, I didn’t travel to Chiang Mai.
  • ผมอาศัยอยู่ในจีนเป็นเวลาสองปี ==> I lived in China for two years. (Where do you live?)
  • เขาเรียนภาษาจีนเป็นเวลาสิบปี ==> He studied Chinese for ten years.
  • พวกเขานั่งอยู่ที่สนามหญ้าตลอดทั้งวัน ==> They sat at the lawn all day.
  • เราคุยกันทางโทรศัพท์เป็นเวลาห้านาที ==> We talked on the phone for five minutes.
  • คุณรอพวกเขานานเท่าไหร่ ==> How long did you wait for them?
  • พวกเรารอเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ==> We waited for half and hour.

2. การถามถึงเรื่องในอดีต ที่ผ่านไปแล้ว

  • เมื่อวานคุณกินทุเรียนใช่ไหม ==> Did you eat durian yesterday?
  • เมื่อคืนคุณมีดินเนอร์ใช่ไหม ==> Did you have dinner last night?
  • สมัยที่คุณเป็นเด็ก คุณอยากเป็นอะไรเมื่อคุณโตขึ้น ==> When you were a kid, what did you want to be when you grew up?
  • คุณได้เล่นเครื่องดนตรีไหมตอนที่คุณเป็นเด็ก ==> Did you play a musical instrument when you were a kid?

3. เมื่อเล่าถึงเรื่องในอดีตและจบลงในอดีต ที่มีสองประโยคขึ้นไป โดยใช้คำเหล่านี้เชื่อมเข้าหากัน

  • แต่(ขัดแย้งกัน) ==> but
  • และ(สอดคล้องกัน) ==> and
  • ดังนั้น(เป็นเหตุเป็นผลกัน) ==> so
  • เพราะว่า(เป็นเหตุเป็นผลกัน) ==> because

ตัวอย่างเช่น

  • เขาเดินทางมาจากสนามบินเวลา 12:00 เช็คอินเข้าโรงแรมเวลา 18:00 น. และได้พบกับบุคคลอื่นเวลา 19:00 น.
    He arrived from the airport at 12:00, checked into the hotel at 18:00, and met the others at 19:00.
  • เมื่อคืนฉันรู้สึกไม่สบาย ดังนั้นจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ
    I fell sick so I went to bed early last night.