Category Archives: เรียนภาษาอังกฤษกับ English 360 องศา

สำนวน you’re pulling my leg.

idiom pull someone's leg

# you’re pulling my leg.

สำนวน you are pulling my leg. มันไม่ได้แปลตรงตัวว่า คุณกำลังดึงขาฉันหรอกนะคะ ถ้าแปลแบบนี้ก็คงไม่เรียกว่า “สำนวน” จริงมั๊ยคะ ^^ แล้วมันแปลว่าอะไรกันล่ะ?? ขัดแข้งขัดขา หรือเปล่า หรือจะแปลว่า สะดุด !! อย่ามัวแต่เดากันดีกว่า มาดูคำตอบกันเลยค่ะ

คำตอบคือ you’re pulling my leg. หมายถึง นายกำลังอำฉันอยู่แน่ๆ
สำนวน pull someone leg จึงหมายถึง พูดเล่น แกล้งแหย่เล่น หยอกกันเล่น ไม่ได้ตั้งใจทำหรือพูดอย่างนั้น อะไรประมาณนี้ค่ะ เช่น

  • A: You got the first prize!!  นายได้รางวัลที่หนึ่งน่ะ
    B: Are you pulling my leg?  นี่แกอำชั้นเล่นใช่มั๊ยเนี่ย
  • Stop pulling his leg. หยุดล้อเขาเล่นซะที

** ข้อสังเกตนะคะ สำนวนนี้มักจะอยู่ในรูปของ Continuous Tense ค่ะ คือ Verb to be + pulling your leg และเราสามารถเปลี่ยน คำแสดงความเป็นเจ้าของ your เป็น คำแสดงความเป็นเจ้าของอย่างอื่นได้นะคะ เช่น his, her, their, etc.

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ความแตกต่างระหว่าง Everyday VS Every day สองคำนี้มักจะใช้ผิดกัน

Everyday VS Every day

# everyday VS every day

Everyday VS Every day สองคำนี้มักจะใช้ผิดกัน
Everyday VS Every day สองคำนี้มักจะใช้ผิดกัน

หลายคนต้องรู้จักคำสองคำนี้กันอย่างแน่นอน แต่สังเกตมั๊ยคะว่ามันต่างกันตรงเว้นวรรค (every day) กับเขียนติดกัน (everyday) แล้วมันแตกต่างกันยังไงล่ะเนี่ย??

ถ้าเราต้องการจะเขียนประโยคว่า “ฉันไปทำงานทุกวัน” จะเลือกใช้คำไหนดี everyday หรือ every day
คำตอบคือ ใช้คำว่า every day ที่เขียนแยกกันแบบนี้นะคะ

  • I go to work every day.  (ประโยคนี้จะเป็นประโยคที่ถูกต้องค่ะ)

แต่ส่วนใหญ่เรามักจะเขียนกันผิดเป็น  I go to work everyday.  กันใช่มั๊ยล่ะคะ ประโยคนี้ผิดนะคะ

* สาเหตุที่เราไม่ใช้ everyday ในประโยคด้านบนเพราะ คำว่า everyday ที่เขียนติดกันนี้เป็น คำคุณศัพท์ (adjective) ค่ะ  แปลว่า ซึ่งเกิดขึ้นทุกวัน, ใช้ในชีวิตประจำวัน, หรือแปลว่า ธรรดา สามัญ ก็ยังได้  เพราะฉะนั้น เมื่อมันเป็น Adjective มันจะต้องมีคำนามตามหลังเสมอนะคะ เช่น

  • I want to learn everyday English conversation.
    ฉันต้องการเรียนบทสนทนาภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
  • He is an everyday man like all of us. Don’t worry too much.
    เขาก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปเหมือนกันกับเราเนี่ยแหละ อย่ากังวลให้มากนักเลย

ส่วนคำว่า every day แบบเขียนแยกกันนี้ เป็นคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ค่ะ แปลว่า ทุกวัน, ทุกวี่ทุกวัน  เพราะฉะนั้นมันไม่ต้องมีคำนามตามหลังก็ได้ สามารถนำไปวางไว้หน้าประโยค หรือท้ายประโยคก็ได้ เพื่อขยาย verb, adjective, หรือ adverb ก็ได้ค่ะ เช่น

  • It rains every day.
    ฝนตกทุกวันเลย
  • I want to see you every day.
    ฉันอยากเจอคุณทุกๆวัน

** อย่าลืมใช้กันให้ถูกนะคะ ^^

  • everyday ต้อง + คำนาม
  • every day ไม่ต้องตามด้วยนาม ค่ะ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน “When the going gets tough, the tough gets going.”

สำนวน When the going gets tough, the tough gets going.

# “When the going gets tough, the tough gets going.”

วันนี้มาดูสำนวนปลุกใจ สร้างแรงบันดาลใจกันดีกว่าค่ะ

สำนวน “When the going gets tough, the tough gets going.” นี้แปลประมาณว่า  “เมื่อการก้าวเดินต่อไปข้างหน้ามันยากลำบาก คนที่แข็งแกร่งก็มักจะก้าวเดินต่อไปได้”

ลองสังเกตคำว่า tough ในสำนวนนี้ดีๆนะคะ ถึงแม้ว่าจะเป็นคำว่า tough เหมือนกัน แต่ในประโยคแรกและประโยคที่สองก็ทำหน้าที่และให้ความหมายไม่เหมือนกันซะทีเดียวค่ะ

  • คำว่า tough ในประโยคแรกเป็นคำคุณศัพท์ (Adjectives) แปลว่า ยากลำบาก
  • ส่วนคำว่า tough ในประโยคหลังเป็นคำนาม แปลว่า คนที่แข็งแกร่ง ค่ะ

** เห็นมั๊ยคะว่า คำๆนึงอาจมีได้หลายหน้าที่ เป็นได้หลายชนิดคำ และแปลได้หลายความหมาย ถ้าเราสามารถบอกได้ว่าคำๆนี้เป็นคำชนิดไหน ทำหน้าที่อะไรในประโยคได้ การแปลภาษาอังกฤษของเราก็จะง่ายขึ้น และเข้าใจสำนวนต่างๆได้มากขึ้นนะคะ
เป็นกำลังใจให้คนที่ตอนนี้ชีวิตกำลัง get tough สุดๆ แข็งแกร่งเข้าไว้ค่ะ ไปต่อได้แน่นอน ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

win-win สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์

สถานการณ์ win win

# win-win

คำว่า win-win เขียนติดกันอย่างนี้เลยค่ะ มักใช้คู่กับคำว่า situation เป็น win-win situation หมายถึง “สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์” เช่น ในการเจรจาต่อรองทางธุรกิจ บริษัทคู่ค้าทั้งสองบริษัทต่างก็ได้ประโยชน์จากการซื้อและขายครั้งนี้ ก็เรียกว่าเป็น win-win situation ได้ค่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้กับคำว่า situation อย่างเดียวนะคะ ยังใช้กับคำอื่นๆได้อีก ไปดูตัวอย่างกันค่ะ

  • It doesn’t seem to be a win-win solution for both of us.
    มันดูเหมือนจะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่เราทั้งสองจะได้ประโยชน์
  • This isn’t always a win-win strategy.
    นี่มันไม่ใช่กลยุทธ์ที่จะทำให้เราได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายเสมอไปหรอกนะ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

คำนามในภาษาอังกฤษ (parts of speech)

คำนามในภาษาอังกฤษ (parts of speech)

คำนาม [Noun]

บทความนี้จะอธิบายถึงหน้าที่ของ คำนาม(parts of speech) ค่ะ คำนามก็คือ คำเรียกแทน คน สัตว์ สิ่งของ ทำไมถึงจำเป็นต้องรู้ หน้าที่ของมัน? ก็เพราะว่า เวลาที่เราเขียนเราจะได้รู้ว่า ตรงตำแหน่งไหนในประโยคที่ สามารถจะเป็นคำนามได้บ้าง มาดูหน้าที่ของ คำนาม กันค่ะ

** ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น

  • The dog is getting angry.
    สุนัขตัวนั้นเริ่มโมโหแล้วนะ (Dog เป็นคำนามและทำหน้าที่เป็น ประธานของประโยค)

แล้วถ้าเราอยากเอา คำกริยา มาเป็นประธานบ้างล่ะ จะต้องทำยังไง วิธีแก้ก็คือ เอาคำกริยาเหล่านั้น เติม ing ซะ หรือ เติม To หน้าคำกริยานั้น มันก็จะเป็นคำ เสมือนคำนาม แล้วล่ะค่ะ เช่น

  • Drinking alcohol is not good for health.

หรือ

  • To drink alcohol is not good for health.

** ทำหน้าที่เป็นกรรม  อันนี้ขอแบ่งย่อยเป็น 2 ข้อนะคะ Continue reading

สำนวนภาษาอังกฤษน่ารู้ : bad hair day

bad hair day

# สำนวนน่ารู้ : bad hair day

บังเอิญไปอ่านสเตตัสของเพื่อนคนหนึ่งเข้า ซึ่งเขียนไว้ประมาณว่าวันนี้อะไรๆ ก็ดูไม่เป็นใจเอาเสียเลย  ความซวยทั้งหลายต่างพร้อมใจกันเกิดขึ้น
พร้อมๆกันภายในวันเดียว

ที่เกริ่นมาซะยาวก็เพื่อจะเข้าสำนวนที่จะนำเสนอในวันนี้ คือ “bad hair day” แปลว่า ” วันที่ทำอะไรก็ดูผิดพลาดไปหมด ไม่ได้ดังใจเอาเสียเลย” ซึ่งตรงกับสเตตัสของเพื่อนสุดๆ

หลายคนอาจจะงงว่า วันแย่ๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ “ผม (hair)” ด้วยล่ะ ที่มาของสำนวนนี้ก็มาจาก การที่ทรงผมของสาวๆ มักจะชี้บ้าง แฟบบ้าง ฟูบ้าง ไม่ได้ดั่งใจ หงุดหงิดไม่มั่นใจเอาซะเลย ไงล่ะคะ เขาก็เลยเรียกวันที่ทำอะไรก็ดูผิดพลาดไปหมดว่า bad hair day ค่ะ ^^
ตัวอย่างประโยค เช่น

  • What’s wrong with you?
    เกิดอะไรขึ้นกับคุณล่ะ
  • Nothing. I just had a bad hair day.
    เปล่าหรอก แค่วันนี้อะไรๆก็ไม่เป็นใจเอาซะเลยน่ะ

** ถ้าวันนี้ของใครเป็น bad hair day แล้วล่ะก็ อย่าเพิ่งท้อค่ะ พรุ่งนี้อาจจะเป็นวันดีๆก็ได้นะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวนน่ารู้ : have something in common

สำนวน have something in common

# สำนวนน่ารู้ : have something in common

ปกติแล้วเราจะรู้จักคำว่า common ที่แปลว่า ธรรมดาหรือทั่วไป เช่น ในประโยคต่อไปนี้ค่ะ

  • It’s quite common to see him in weird clothes.
    มันเป็นเรื่องปกติ ที่จะเห็นเขาใส่เสื้อผ้าประหลาดๆ

แต่สำนวน have something in common นั้นจะแปลว่า “มีอะไรคล้ายกัน” เช่น

  • You and I really have nothing in common.
    เธอกับฉันไม่มีอะไรเหมือนกันเลยจริงๆ
  • She has a lot of things in common with me.
    เธอมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกับฉัน
  • This town hardly has something in common with my hometown.
    เมืองนี้ แทบจะไม่มีอะไรเหมือนบ้านเกิดผมเลย

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

คุณออกเสียงสองคำนี้ว่ายังไง?? value กับ volume

ออกเสียง value กับ volume

คุณออกเสียงสองคำนี้ว่ายังไง?? value กับ volume

ถ้าถามแบบนี้ คนไทย 7 ใน 10 คน อาจจะตอบกลับมาว่า
value ก็อ่านว่า แว-ลู่
volume ก็อ่านว่า วอว-ลุ่ม ไงล่ะ

นั่นเป็นการออกเสียงที่คุ้นหูกับคนไทยมาตลอด แต่รู้หรือไม่!!! ฝรั่งเค้างงและไม่เข้าใจกับการออกเสียงแบบนี้หรอกค่ะ เพราะสองคำนี้ จริงๆแล้วต้องออกเสียงว่า (ไฮไลท์ที่ตัวคำศัพท์ แล้วคลิ๊กลำโพงเพื่อฟังเสียงได้เลยค่ะ)

  • value ต้องออกเสียงว่า แวฝล-ยู่
  • volume ต้องออกเสียงว่า วฝอล-ยุ่ม

พยางค์หลังของสองคำนี้เป็นตัว U นะคะ ไม่ใช่ตัว L อย่างที่เราๆเข้าใจกัน และสงสัยกันมั๊ยคะ!! ว่าทำไมตัว V ต้องแทนด้วย “วฝ” เพราะจริงๆแล้ว ตัว V ในภาษาอังกฤษไม่ได้ออกเสียงเหมือน ว แหวน ในภาษาไทยหรอกนะคะ แต่มันจะออกเสียงคล้ายๆก้ำกึ่งกันระหว่างตัว ว กับ ตัว ฝ ค่ะ โดยเวลาออกเสียงให้เอาฟันบนอยู่ตรงริมฝีปากล่าง

** ขอเสริมอีกคำนึงนะคะ คือคำว่า valuable ก็เหมือนกันค่ะ ออกเสียงว่า แวฝ-ยู-เอบึล นะคะ

ลองฝึกออกเสียงดูนะคะ อาจจะฝืนๆลิ้น ไม่ค่อยชินกับที่เราเคยออกเสียง แต่ลองเปลี่ยนดูค่ะ เพราะการออกเสียงให้ถูกต้องก็เป็นหัวใจสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกันนะคะ ซึ่งนอกจากจะทำให้ฝรั่งเข้าใจในสิ่งที่เราพูดแล้ว เราก็ยังเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดด้วยค่ะ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราถึงฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจสักที ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวนน่ารู้ : How do you find…?

สำนวน How do you find?

How do you find…?

สมมติว่าคุณไปดูหนังกับเพื่อนฝรั่ง พอหนังจบแล้วเพื่อนคุณเกิดถามขึ้นมาว่า

  • How do you find the movie?

จะตอบยังไงดีล่ะเนี่ย??

ถ้าคุณตอบไปว่า I found this movie on the Internet.
ผิดแน่นอนค่ะ!! เพราะเค้าไม่ได้ถามคุณว่าไปหาหนังเรื่องนี้เจอได้ยังไง แต่เค้ากำลังถามคุณว่า คุณคิดยังไงกับหนังเรื่องนี้ต่างหากเพราะฉะนั้น…
ถ้าเค้าถามว่า How do you find the movie? ก็ตอบไปเลยค่ะว่า

  • It’s awesome./ I find it awesome.
    หนังเรื่องนี้สุดยอดมากๆ
  • It’s so funny.
    หนังเรื่องนี้ตลกมากๆ
  • I find it boring./ It’s so boring.
    ถ้ามันน่าเบื่อสุดๆ

แต่อย่าไปตอบว่าไปเจอในเน็ต หรือเพื่อนแนะนำให้มาดูเชียวนะคะ เพื่อนคุณคงออกอาการเหวอกับคำตอบของคุณไปเล็กน้อยล่ะคะ ^^

ใช่แล้วค่ะ คำถาม How do you find (something)? เป็นการถามเชิงขอความคิดเห็นของคุณ หรือถามความรู้สึกของคุณว่า คุณรู้สึกยังไงกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ค่ะ มาดูตัวอย่างอื่นๆกันค่ะ Continue reading

สำนวนน่ารู้ : to make up one’s mind

make up one's mind

# สำนวนน่ารู้ : make up one’s mind

สำนวน to make up one’s mind หมายถึง ตัดสินใจ (to decide or to make a decision)
เราสามารถใช้คำแสดงความเป็นเจ้าของอื่นๆ เช่น my, your, his, her, etc. แทนตรงคำว่า one’s ได้นะคะ

  • I can’t make up my mind.
    ฉันยังตัดสินใจไม่ได้เลย
  • I can’t make up my mind whether I will go or not.
    ฉันยังตัดสินใจไม่ได้เลยว่าจะไปหรือไม่ไป
  • He has already made up his mind.
    เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว

อ่านเพิ่มเติม ตีแผ่การใช้ mind อย่างมืออาชีพ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา