Category Archives: เรียนภาษาอังกฤษกับ English 360 องศา

stay tuned อย่าเพิ่งเปลี่ยนช่องหรือเปลี่ยนคลื่นไปไหน

stay tuned อย่าเพิ่งเปลี่ยนช่องหรือเปลี่ยนคลื่นไปไหน

stay tuned

ถ้าใครเคยดูรายการโทรทัศน์หรือฟังรายการวิทยุของต่างประเทศ ก็น่าจะเคยได้ยินวลีนี้แน่ๆค่ะ
stay tuned. We will be right back. ซึ่งพิธีกรก็จะพูดตอนก่อนพักโฆษณาหรือที่ฝรั่งเค้าใช้คำว่า commercial break นั่นแหละค่ะ

พอจะเดากันออกมั๊ยคะว่ามันแปลว่าอะไร

  • Stay tuned แปลว่า อย่าเพิ่งเปลี่ยนช่องหรือเปลี่ยนคลื่นไปไหน ไงล่ะคะ ประมาณว่าให้รอติดตามรายการของเค้าต่อไปนั่นแหละค่ะ

** เอามาแบ่งปัน เผื่อใครเคยได้ดูหรือได้ฟังจะได้รู้ว่าเค้าพูดว่าอะไร ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

have something done ใช้เมื่อใครทำอะไรให้เรา โดยที่เรานั้นไม่ได้ทำด้วยตัวเอง

have something done ใช้เมื่อใครทำอะไรให้เรา โดยที่เรานั้นไม่ได้ทำด้วยตัวเอง

have something done

วันนี้เอาโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษเก๋ๆ น่าสนใจ มาฝากกันค่ะ ซึ่งก็คือโครงสร้างแบบ have something done หรือ have something + v3

โครงสร้างแบบนี้ใช้เวลาที่เราต้องการบอกว่า ใครทำอะไรให้เรา โดยที่เรานั้นไม่ได้ทำด้วยตัวเอง เช่น ถ้าเราบอกว่า เราไปตัดผมมา โดยให้ช่างตัดให้ เราจะต้องพูดว่า

  • I have my hair cut. นะคะ

เราจะไม่พูดว่า I cut my hair เพราะคนฟังเขาจะเข้าใจว่า คุณตัดผมของคุณด้วยตัวเองค่ะ

ยังค่ะ!! ความพิเศษของมันยังไม่หมดเท่านี้ เพราะโครงสร้างประโยคแบบนี้สามารถผันได้ตาม Tense นะคะ มาดูตัวอย่างกันค่ะ

  • I had my car washed yesterday. (past simple)
  • She will have her nail painted. ( future simple)
  • They have had their house repaired. ( present perfect)
  • I’ m having the room painted. (present continuous)

** เราสามารถใช้ get แทน have ก็ได้ค่ะ เช่น

  • He got his car fixed.

*** มีโครงสร้างอีกแบบที่ใช้ในลักษณะคล้ายๆกันนี้ค่ะ คือ

  • have someone do something

โครงสร้างนี้ สังเกตมั๊ยคะ เราจะเพิ่ม someone เข้ามาเพื่อบอกว่าใครทำอะไรให้เรา และ verb ก็เป็น v1ไม่ใช่ v3 ค่ะ เช่น

  • I had my brother bite my finger!
  • I have my boyfriend drive my car.

** ลองเอาไปใช้ดูนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

We need to talk!! “เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

We need to talk!! “เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

We need to talk!!

ขึ้นต้นมาแบบนี้ก็อย่าเพิ่งตกใจค่ะ นี่เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างของประโยคที่เราเอาไว้พูดเวลาที่ต้องการขอคุย กับใครสักคนหนึ่ง ซึ่งเหมือนเป็นการเกริ่นๆให้เขารู้ตัว หรือถ้าหากเขากำลังเฮฮากับเพื่อนฝูงหรืออยู่ในวงสนทนาสาธารณะ เขาก็จะได้ปลีกตัวมาคุยกับเรา เพราะเรื่องที่เราอยากคุยอาจเป็นเรื่องส่วนตัวก็ได้ค่ะ

ประโยคแรกเลย ที่ค่อนข้างสุภาพหน่อย คือ

  • Do you have a minute?
    คุณมีเวลาว่างสักครู่มั๊ย?

ประโยคนี้ ถึงแม้ไม่บอกตรงๆว่ามีเรื่องจะคุยด้วย แต่ถ้ามีใครมาพูดอย่างนี้กับเรา เราก็จะเข้าใจได้เองว่า อีกฝ่ายคงต้องมีเรื่องจะคุยด้วยแน่ๆ หรือง่ายๆเลย งานกำลังจะเข้าเราแล้วนั่นเอง (555)

ต่อมาอาจจะตามด้วยประโยคนี้ก็ได้ค่ะ

  • Can I have a word with you?
    ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม?

นี่ไงคะ งานกำลังจะเข้าเราจริงๆ ^^ ยิ่งคนพูดทำหน้าเครียดก็เตรียมตัวเลยค่ะ
หรือใช้ประโยคนี้ก็ได้ค่ะ

  • I need to talk to you for a minute.
    ฉันจำเป็นต้องคุยกับคุณสักแป๊บนึง

หรือประโยคนี้

  • We need to talk.
    เรามีเรื่องต้องคุยกัน

** ดีกรีความสำคัญหรือความจริงจังของเรื่องที่จะพูดก็เรียงตามลำดับตามนี้เลย ล่ะค่ะ ยิ่งประโยคสุดท้ายเนี่ย ฟังแล้วเสียวสันหลัง พาให้คิดไปต่างๆนานาเลยล่ะว่า งานอะไรจะเข้าเราอีกเนี่ย ฮึฮึฮึ ยิ่งถ้าคำถามที่ตามมาคือ

  • Can I ask you something?
    ขอถามอะไรเธอหน่อยได้มั๊ย

หรือ

  • Do you mind If I ask you something?
    จะรังเกียจมั๊ยถ้าฉันจะถามอะไรเธอหน่อย

ก็อาจต้องทบทวนตัวเองให้ไวเลยว่าเราไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า
แต่บางทีเรื่องที่จะพูดก็อาจเป็นเรื่องธรรมดาทั่วๆไปก็ได้ค่ะ ^^ เพียงแต่ส่วนใหญ่ถ้าเกริ่นมาแบบนี้มันจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ค่ะ

แต่ที่สำคัญเลย ประโยคเหล่านี้จำเป็นมากค่ะ เอาไว้ส่งสัญญาณให้คู่สนทนาได้เตรียมตัวเตรียมใจ ไม่หัวใจวายตายไปเสียก่อนจะได้ฟังเรื่องที่เราจะพูดค่ะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ความแตกต่างระหว่าง few, a few, little, a little

ความแตกต่างระหว่าง few, a few, little, a little

few, a few, little, a little

ทั้งสี่คำข้างบนนั้น แปลได้ว่า “น้อย” เหมือนกันหมดเลยค่ะ แต่การเลือกนำมาใช้ต่างกันเล็กน้อยนะคะ ลองมาดูสองคำแรกกันก่อนเลยค่ะ

** few, a few  คำว่า few และ a few ต้องใช้กับคำนามนับได้ค่ะ เช่น book, friend, tree, etc.

แต่การจะเลือกใช้ few หรือ a few นั้น ก็ต้องดูความหมายที่เราต้องการสื่ออีกทีนึงค่ะ เพราะถ้าเราเลือกใช้ few ความหมายจะเป็น negative นะคะ คือ “น้อยแบบแทบจะไม่มีอยู่เลย”
แต่ a few จะให้ความหมายเป็น positive ค่ะ คือ “น้อยแต่ก็ยังพอมีหรือพอใช้ได้อยู่”  เช่น

  • He has few friends here.
    เขาแทบจะไม่มีเพื่อนที่นี่เลย
  • We have a few sheets of ham left, so we can make sandwiches for lunch.
    เรายังพอมีแผ่นแฮมเหลืออยู่ ยังพอเอามาทำแซนวิชสำหรับมื้อเที่ยงได้

** little, a little แปลว่า น้อย เหมือนกัน แต่เราจะใช้ little หรือ a little กับคำนามที่นับไม่ได้ค่ะ เช่น rice, sugar, water, etc.
ความแตกต่างของสองตัวนี้ก็เหมือนด้านบนค่ะ คือ little ให้ความหมายเป็น negative ส่วน a little จะให้ความหมายเป็น positive ค่ะ ลองดูตัวอย่างกันค่ะ

  • I have a little sugar in the kitchen.
    ฉันพอจะมีน้ำตาลอยู่ในครัวอีกนิดหน่อย
  • Do we survive? We have little water left.
    เราจะรอดมั๊ย พวกเราแทบไม่เหลือน้ำดื่มเลย

# สรุปง่ายๆก็คือ ถ้ามี a นำหน้า few หรือ little ความหมายจะเป็น positive ค่ะ
แต่ถ้าไม่มีก็จะเป็น negative ค่ะ เลือกใช้ให้ถูกด้วยนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

Complement ส่วนเติมเต็มของประโยคในภาษาอังกฤษ

Complement ส่วนเติมเต็มของประโยคในภาษาอังกฤษ

complement ส่วนเติมเต็มของประโยค

ประโยคภาษาอังกฤษบางประโยคไม่มีกรรม แต่ส่วนที่อยู่ต่อจากคำกริยา เขาจะเรียกว่าส่วนเติมเต็มของประโยคค่ะ ซึ่งก็คือส่วนขยายที่ทำให้ประโยคสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นนะคะ หรือบางประโยคที่มีกรรมอยู่แล้วก็สามารถมี complement ได้เช่นกันค่ะ

complement อาจจะเป็นคำ Noun, Adjective, Adverb, verb ฯลฯ ก็ได้ค่ะ

complement มี 2 ประเภทด้วยกันค่ะ

** Subjective Complement คือ “ส่วนขยายประธาน” ซึ่งส่วนขยายนั้นจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับตัวประธานค่ะ โครงสร้างคร่าวๆ ของประโยคที่มีื subjective complement ก็คือ

S + V + Subjective complement

กริยาส่วนใหญ่ที่มันตามหลังก็จะอยู่ในกลุ่ม linking verb ค่ะ  เช่น

  • He is a coward.
    เขาเป็นคนขี้ขลาด
  • They looks very tired.
    พวกเขาดูเหนื่อยล้ามาก

คำว่า a coward และ very tired เป็น subjective complement ที่มาขยายประธาน He กับ They ค่ะ

** Objective Complement คือ “ส่วนขยายกรรม” ซึ่งส่วนขยายนี้จะเกี่ยวข้องกับกรรมโดยตรงค่ะ โครงสร้างก็คือ

S + V + O + Objective complement

เช่น

  • He makes me angry.
    เขาทำให้ฉันโกรธ
  • We chose him the President.
    พวกเราเลือกเขาเป็นประธานาธิบดี
  • You should keep the room clean.
    คุณควรจะทำให้ห้องสะอาดอยู่เสมอนะ
  • I saw him enter the house.
    ฉันเห็นเขาเดินเข้าไปในบ้าน

คำอธิบาย :
angry เป็น Objective complement ที่ขยายกรรม me
the President ขยายกรรม him
clean ขยายกรรม the room
enter the house ขยายกรรม him

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน bigwig

สำนวน bigwig

# สำนวน bigwig

คำว่า big กับ wig พอนำมารวมกันจะกลายเป็นสำนวน แปลว่า “บุคคลสำคัญ, ผู้มีอิทธิพล” ค่ะ ส่วนมากเราก็มักจะหมายถึง คนสำคัญในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือผู้ที่มีอำนาจที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ ตัวอย่างเช่น

  • Don’t make him angry. He is really a bigwig in the company.
    อย่าทำให้เขาโกรธเชียวล่ะ เขาเป็นคนสำคัญในบริษัทเลยนะ

อีกสำนวนหนึ่งที่คล้ายๆกันก็คือ คำว่า big shot ค่ะ
สำนวนนี้ก็แปลว่า คนสำคัญ, ผู้มีอิทธิพล ได้เหมือนกันค่ะ
เช่น

  • He is a big shot in media business in Thailand.
    เขาเป็นเจ้าพ่อธุรกิจสื่อในประเทศไทย

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ความแตกต่างระหว่าง refuse VS deny

ความแตกต่างระหว่าง refuse VS deny

refuse VS deny

สองคำนี้ความหมายคล้ายๆกัน คือแปลว่า “ปฏิเสธ”
ใช่มั๊ยคะ และดูเหมือนจะใช้แทนกันได้ เพราะถ้าเปิดหาในพจนานุกรมแล้วล่ะก็ จะพบว่า สองคำนี้เป็น synonym ซึ่งกันและกัน แต่จริงๆแล้ว refuse กับ deny มีข้อแตกต่างกันค่ะ และใช้แทนกันไม่ได้เลย

** มาดูคำว่า refuse ก่อนค่ะ
Refuse หมายถึง ปฏิเสธ, ไม่ยอมรับ เช่น

  • She always refuses my help.
    เธอมักจะปฏิเสธ (ไม่ยอมรับ) ความช่วยเหลือของผมเสมอเลย
  • I asked him if he want more coffee but he refused.
    ฉันถามว่าเขาต้องการกาแฟอีกมั๊ย แต่เขาปฏิเสธ

ถ้าจะปฏิเสธในการทำอะไรให้เติม to ไปข้างหลังค่ะ เป็น refuse to  เช่น

  • She refuses to get the prize.
    เธอปฏิเสธที่จะรับรางวัล

** คำว่า deny ก็แปลว่าปฏิเสธเหมือนกันค่ะ แต่เพิ่มนิดนึงค่ะว่า ปฏิเสธ ข้อกล่าวหา อะไรสักอย่าง พูดง่ายๆก็คือ ต้องมีคนมากล่าวหาว่าเราทำอะไรผิดก่อน แต่เราไม่อยากยอมรับ หรือปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ เช่น

  • They deny stealing my money.
    พวกเขาปฏิเสธว่าไม่ได้ขโมยเงินฉัน

*** ข้อสังเกตอีกนิดนึงค่ะ หลัง deny ต้องตามด้วยกริยาเติม ing หรือที่เราเรียกว่า gerund ค่ะ เพราะเราต้องการปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เขากล่าวหา

*** การปฏิเสธไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือผิดอะไร แต่ต้องเลือกใช้ให้ถูกคำนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน your better half

เรื่องรักๆ ในภาษาอังกฤษ

# สำนวน your better half

ปกติคำว่า half เป็นได้ทั้ง noun, adjective และ adverb ค่ะ แปลว่า ครึ่งหนึ่ง, กึ่งหนึ่ง
แต่สำนวน your better half อันนี้ หมายถึง แฟนของคุณหรือคู่ชีวิตของคุณค่ะ
half ก็คือ ครึ่งหนึ่งของชีวิต ไงล่ะคะ

อีกคำที่ใช้แทนกันได้คือ your other half แต่ your better half จะให้ความหมายที่ดีกว่าค่ะ พูดง่ายๆก็คือ ฟังดูหวานกว่านั่นเองค่ะ ^^

** เพิ่มเติมนิดนึงนะคะ เราจะเปลี่ยน your เป็น my ก็ได้ค่ะ  ดูตัวอย่างการใช้กันนะคะ

  • You are my truely better half.
  • I’m finding my better half.
  • I want someone to be my better half.

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ความแตกต่างระหว่าง come และ go

ความแตกต่างระหว่าง come และ go

# come กับ go สองคำง่ายๆนี้อาจทำคุณสับสนได้...

กริยา come กับ go ใครๆก็รู้จัก แม้แต่เด็กประถมที่เพิ่งเรียนภาษาอังกฤษก็ต้องรู้จักอย่างแน่นอนค่ะ เพราะถือเป็นคำกริยาที่ควรรู้จักในลำดับต้นๆ แต่วิธีการใช้ถ้าจะให้เหมือนที่เจ้าของภาษาใช้แล้วล่ะก็มันมีรายละเอียดมากกว่านั้นค่ะ ^^ มันยังไงกันแน่ไปดูกันค่ะ…

ลองดูตัวอย่างสองประโยคนี้นะคะ

  • I’m going to the market. ฉันกำลังจะไปตลาด
  • Would you like to come with us? เธอจะไปกับพวกเรามั๊ย
  • I’m coming. ฉันกำลัง (เดินทาง) ไป

จากตัวอย่าง ไม่ว่าจะใช้ come หรือ go ก็แปลว่า “ไป” ทั้งหมดเลย แล้วตกลงเราจะแยกแยะการใช้ยังไงล่ะเนี่ย?? กฎในการแยกแยะนั้น ขอให้เราดูทิศทางของการเดินทางมาเป็นตัวตัดสินนะคะ
มาดูหลักการใช้ go กันก่อนค่ะ

** go แปลว่า ไป ซึ่งหมายถึง การที่ “ตัวเรา” หรือ “คนอื่น” เดินทางจากจุดที่เราอยู่ไปยังสถานที่ต่างๆค่ะ ก็เหมือนกับที่เราใช้ go กันทั่วๆไปนี่แหละค่ะ อันนี้ไม่ยากอะไร เช่น

  • I’m going to work.
  • She goes home by train every day.

มาดูการใช้ come กันบ้างค่ะ ซึ่งแยกได้เป็นหลายกรณีนะคะ

** come ที่แปลว่า “มา” ซึ่งก็คือ ความหมายโดยทั่วไปของคำว่า come ที่เรารู้จักกันดี เช่น

  • He will come to my home tomorrow.
  • They came to see me yesterday.

** come ที่ใช้ในความหมายว่า “ไปด้วยกัน” ซึ่งมักจะมี preposition “with” ต่อท้าย ว่าไปกับใคร เช่น

  • Will you come to the party with me tonight?
  • Don’t worry. I’m sure that she will come with us.

Would you like to go to the Mall?  กับ  Would you like to come to the Mall (with me)?
สองประโยคนี้ต่างกันตรงที่ ประโยคแรก หมายถึง คนที่เราพูดด้วยเขาไปคนเดียว แต่ประโยคที่สอง เขาจะไปด้วยกันกับเราค่ะ

** come ที่หมายถึง การที่เราเดินทางจาก “ที่ๆเราอยู่” ไปหา “คนที่เรากำลังคุยด้วย” ค่ะ อันนี้เรามักจะใช้ผิดกันบ่อยค่ะ ลองดูตัวอย่างง่ายๆ เช่นเวลาที่เรานัดใครไว้ แล้วเขาโทรมาถามว่า ตอนนี้คุณอยู่ไหนแล้ว เขามารอนานแล้ว ให้เราตอบเขาไปว่า

  • I’m coming นะคะ แปลว่า เรากำลังเดินทางไปหาเขา

เราจะไม่ใช้ I’m going ค่ะ

*** อาจฟังดูงงๆ หน่อยนะคะ แต่ลองสังเกตเวลาที่เจ้าของภาษาเขาใช้ เขาจะใช้แบบนี้แหละค่ัะ ลองค่อยๆทำความเข้าใจดูนะคะ แล้วก็หาโอกาสฝึกใช้บ่อยๆด้วยก็จะดีค่ะ จะได้ชินและพูดได้เนียนๆเหมือนเจ้าของภาษาไงคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

เรื่อง help help ในภาษาอังกฤษ

help ในภาษาอังกฤษ

# เรื่อง help help

บางครั้งเราก็ต้องไปขอความช่วยเหลือคนอื่นเขาบ้าง เช่นเวลาต้องไปผจญภัยต่างแดน หรืออาจมีชาวต่างชาติมาขอความช่วยเหลือจากเรา มาดูสำนวนการพูดขอความช่วยเหลือเป็นภาษาอังกฤษกันดีกว่าค่ะ เผื่อต้องงัดออกมาใช้ยามฉุกเฉิน ^^

  •   Can you help me for a second?

สำนวนนี้เบสิคเลยค่ะ เราน่าจะรู้จักกันดี ใช้ได้ง่ายๆ ครอบคลุมทุกสถานการณ์ค่ะ ^^ ลองสังเกตนะคะ มีคำว่า “for a second” ต่อท้าย เพื่อบอกเป็นนัยว่าเรื่องที่เราต้องการให้เขาช่วยเนี่ยเล็กน้อย เรื่องขี้ผงเอง รบกวนเขาไม่นานหรอก อะไรประมาณนี้ค่ะ

  •   Can you give me a hand? (มาขอมือชั้นทำม๊ายยยย?)

ผิดแล้วค่ะ ถ้าคุณเข้าใจแบบในวงเล็บนั่น เพราะจริงๆแล้วมันเป็นสำนวนที่แปลว่า “ช่วยชั้นหน่อยได้มั๊ย?” เอาไว้พูดกับเพื่อนหรือคนที่สนิทๆค่ะ

  •   Can I ask you for a favor? หรือ Can you do me a favor?

สำนวนนี้ก็ใช้ขอความช่วยเหลือเหมือนกันค่ะ ใช้เป็นประโยคเปิดเพื่อบอกสิ่งที่เราต้องการให้เขาช่วยค่ะ

  •   Would you mind helping me with this?

ประโยคนี้สุภาพมากๆค่ะ ส่วนมากเอาไว้พูดกับคนที่เราไม่รู้จักหรือไม่ได้สนิทอะไรมากมาย

** ลองจำเอาไปใช้สักสำนวนสองสำนวนนะคะ เผื่อต้องเอ่ยปากขอความช่วยเหลือขึ้นมาจะได้ไม่ต้องกางตำราให้วุ่นวาย แล้วที่สำคัญ ใส่ “Excuse me” ไว้หน้าสำนวนเหล่านี้สักนิด คนฟังจะได้เต็มใจช่วยเราไงล่ะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา