Category Archives: การออกเสียงภาษาอังกฤษ

ฝึกฟังภาษาอังกฤษฟรีกับ VOA Learning English

Special English

เทคนิคที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยในการพัฒนาการพูดภาษาอังกฤษ นั่นก็คือการฟังที่มากเพียงพอ ดังนั้นเราควรจะฝึกฟังภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานพอจนกระทั่งหูของเราเริ่มจูนคลื่นให้เป็นคลื่นเดียวกับช่องเสียงภาษาอังกฤษ และฝึกพูดตามให้มากๆ เพื่อให้ปากเราคุ้นเคยกับการพูดภาษาอังกฤษ เพือที่จะออกเสียงได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากยิ่งขึ้น เมื่อนั้นการพูดภาษาอังกฤษจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา หรือภาษาอีกภาษาหนึ่งของเราไปอย่างอัตโนมัติ

การออกเสียง will, would, has, have เมื่ออยู่ในรูปย่อ

การออกเสียงในภาษาอังกฤษ

การออกเสียง will, would, has, have เมื่ออยู่ในรูปย่อ (English Contractions)

will ในรูปย่อ

  • I will ==> I’ll
  • He will ==> He’ll
  • She will ==> She’ll
  • It will ==> It’ll
  • You will ==> You’ll
  • We will ==> We’ll
  • They will ==> They’ll

should ในรูปย่อ

    • I should ==> I’d
    • I should not ==> I’ve not / I shouldn’t
    • He should ==> he’d
    • He should not ==> He’d not / He shouldn’t
    • She should ==> She’d
    • She should ==> She’d not / She shouldn’t
    • It should ==> It’d
    • It should ==> It’d not / It shouldn’t

Continue reading

อักษรในภาษาอังกฤษที่ไม่ต้องออกเสียง [Silent letter]

คำที่ไม่ออกเสียง

คำในภาษาอังกฤษที่ไม่ต้องออกเสียง [Silent letter]

  • อักษร “b” เช่น aplomb , bomb , climb , comb , crumb , debt , doubt , dumb , lamb , limb , numb , plumb , subtle , succumb , thumb
  • อักษร “c” เช่น acquire , indict , muscle
  • อักษร “d” เช่น handkerchief , san(d)wich , Wednesday
  • อักษร “e” เช่น different , evening , vegetable
  • อักษร “g” เช่น align , assign , foreign , gnat , gnaw , sign, (g)iddiness
  • อักษร “gh” เช่น bought , bright , caught , eight , flight , fought , height , high , light , night , ought , nought , right , sigh , sight , slight , straight , taught , though , thought , through , tight , weigh , weight
  • อักษร “h” เช่น Anthony , apartheid , heir , honour , hour , Neanderthal , rhubarb , rhyme , rhythm , spaghetti , Thai , Thames , Thomas , thyme , whale , what , when , which , whim , whistle , white
  • อักษร “i” เช่น business
  • อักษร “k” เช่น knee , knife , knit , knock , know , knowledge
  • อักษร “l” เช่น almond , calm , could , half , should , stalk , talk , walk , would
  • อักษร “m” เช่น mnemonic
  • อักษร “n” เช่น autumn , column , condemn , damn , hymn , solemn
  • อักษร “o” เช่น chocolate , people
  • อักษร “p” เช่น pneumatic , pneumonia , psychology , psychiatry , receipt
  • อักษร “r” เช่น iron
  • อักษร “s” เช่น aisle/isle , island
  • อักษร “t” เช่น castle , listen , of(t)en , whistle
  • อักษร “u” เช่น antique , cheque
  • อักษร “w” เช่น acknowledge , answer , sword , who , whole , whore , wreck , wrinkle , wrist , write
  • นอกจากนี้ยังมีคำพ้องเสียงบางคำ(homophones)ที่มีคำที่ไม่ต้องออกเสียง เช่น aisle/isle , hour/our , muscles/mussels , sight/site , thyme/time , stalk/stork , would/wood , write/right.

อ้างอิง : https://teflpedia.com/Silent_letter

อ่านเพิ่มเติม การเปลี่ยนเสียงในภาษาอังกฤษ (ตอนที 1)

คำพ้องเสียงในภาษาอังกฤษ [Homophones]

คำพ้องเสียงในภาษาอังกฤษ [Homophones]

ตัวอย่างคำพ้องเสียงในภาษาอังกฤษ

คำพ้องเสียงคือคำที่ออกเสียงเหมือนกันแต่มีความหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปจากสิ่งที่ต้องการจะสื่อได้
Homonym is a word that sounds the same as another but is different in meaning.

airheir
loanlone
ailale
mademaid
allowedaloud
mailmale
arcark
mainmane
ateeight
meatmeet
badbade
medalmeddle
bailbale
missedmist
baldbawled
musclemussel
ballbawl
nonenun
barebear
oarore
beachbeech
onewon
beanbeen
pailpale
bearbare
painpane
beatbeet
pairpear
beebe
patiencepatients
beetbeat
peacepiece
bellbelle
pealpeel
berrybury
plainplane
birthberth
planeplain
blueblew
porepour
boarbore
practicepractise
boardbored
praiseprays
boughbow
prayprey
bowbough
principalprinciple
boybuoy
profitprophet
brakebreak
rainreign
buyby/bye
rapwrap
ceilingsealing
read<
cellsell
readred
centsent
rightwrite
cheapcheep
ringwring
checkcheque
roadrode
coarsecourse
roleroll
cordchord
rootroute
deardeer
roserows
diedye
salesail
dundone
sceneseen
Dyedie
seasee
eweyou
seamseem
eyeI
sewsow
fairfare
sightsite
featfeet
soarsore
findfined
solesoul
fleaflee
sonsun
flewflu
sootsuit
flourflower
stairstare
flowerflour
stakesteak
foolfull
stealsteel
forefour
stilestyle
forthfourth
suitesweet
foulfowl
tailtale
furfir
teartier
gaitgate
theirthere
grategreat
threwthrough
groangrown
thronethrown
hairhare
tidetied
hallhaul
totwo
healheel
toldtolled
hearhere
tooto, two
heardherd
towedtoad
herehear
urnearn
higherhire
vainvein
himhymn
valeveil
holewhole
veinvane, vain
hourour
waistwaste
idleidol
waitweight
keyquay
wayweigh
knewnew
weakweek
knightnight
wearwhere
knotnot
wholehole
knowno
witchwhich
lainlane
woodwould
leadled
writeright
leakleek
yokeyolk
lessenlesson
yoreyour

เครดิต : https://englishtrain-inter.blogspot.com/2012/03/11-homonyms.html

เพิ่มความมั่นใจในการออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องด้วย google translate

google translate

google_translate

*** ในเว็บภาษาอังกฤษดอทคอมนี้ คุณสามารถไฮไลท์ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ต้องการออกเสียงได้เลยค่ะ

นับว่าเป็นความโชคดีของเราที่เกิดในยุคนี้ที่มีผู้ช่วยในการออกเสียงภาษาอังกฤษอย่าง google translate ให้ใช้กันอย่างฟรีๆ เสมือนเราได้ติดปีกกันเลยทีเดียว แม้ว่าการแปลประโยคภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยจะไม่ถูกต้องนัก แต่เราก็สามารถนำจุดแข็งของ google translate มาใช้ นั่นก็คือ การออกเสียงภาษาอังกฤษที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่ เพียงเราใช้คำสั่ง Copy คำหรือประโยคภาษาอังกฤษที่ต้องการแล้วก็นำไป Paste ไว้ในช่องใส่ข้อความของ google translate หรือจะพิมพ์เอาเองก็ยังได้ แล้วเลือกภาษาต้นทางเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาที่จะแปลเป็นภาษาไทยหรือจะเป็นภาษาอื่นๆที่ต้องการ จากรูปด้านบนเราจะเห็นว่ามีรูปลำโพงอยู่ใต้ช่องใส่ข้อความด้านมุมขวา เพียงเราคลิ๊กที่รูปลำโพง โปรแกรม google translate ก็จะอ่านออกเสียงให้เราฟังทันทีเห็นไหมล่ะคะว่าง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก (It’s a piece of cake.) และเคล็บลับที่สำคัญอีกอย่างที่จะทำให้ภาษาอังกฤษของเราพัฒนาไปอีกขั้นนั่นก็คือ ฟังให้มากๆ ก็เพื่อให้เราคุ้นเคยกับสำเนียง(accent)ภาษาอังกฤษนั่นเอง

การใช้ a กับ the โดย อาจารย์อดัม.คอม

การใช้ a กับ the

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง a กับ the ค่อนข้างสำคัญในการใช้ภาษาอังกฤษนะครับ ทั้งสองคำเป็นคำนำหน้านามเพียงแต่ว่า the เป็นคำนำหน้านามชี้เฉพาะในขณะที่ a เป็นคำนำหน้านามไม่ชี้เฉพาะ

สรุปง่ายๆก็คือ a หมายถึงอันใดอันหนึ่งที่ไม่เฉพาะเจาะจง เหมือนคำว่า สักอัน ส่วน the ก็เฉพาะเจาะจงเหมือน that กับ this คือทั้งผู้ฟังและผู้พูดเข้าใจว่ากำลังพูดถึงสิ่งไหนอยู่ อาจจะเป็นเพราะผู้พูดว่ามาแล้วหรือเพราะมันชัดเจนอยู่แล้ว

ยกตัวอย่างดีกว่า สมมุติมีทีวีหลายเครื่องอยู่ในห้องสักห้องหนึ่งแต่มีทีวีจอใหญ่แค่เครื่องเดียว ถ้าเราอยากบอกว่า เปิดทีวีจอใหญ่ก็จะพูดว่า Turn on the big screen TV. โดยใช้ the เพราะมีทีวีจอใหญ่เครื่องเดียว ดังนั้นผู้ฟังทุกคนเข้าใจว่าเราพูดถึงเครื่องไหนทั้งๆที่เราไม่ได้บอกก่อนหน้านั้นครับ แต่ถ้าบอกว่า Turn on the TV. ผู้ฟังจะไม่รู้ว่าเครื่องไหนเพราะมีหลายเครื่อง
ส่วน Turn on a TV. ก็จะหมายถึงเปิดทีวีสักเครื่องหนึ่ง

การออกเสียงคำกริยาที่เติมด้วย ed

การออกเสียงคำกริยาที่เติมด้วย ed

การออกเสียง (Pronunciation)
Regular Verbs เมื่อต้องการทำเป็นรูปอดีตกาลด้วยการเติม ed จะออกเสียงแตกต่างกันได้ 3 เสียง คือ /t/ /d/ /id/

1. เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง (Voiceless) f, k, p และ s จะออกเสียง ed เป็น /t/ “เทอะ” เช่น
cooked, kissed, watched, finished, stopped, laughed เป็นต้น

2. เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วยเสียงก้อง(Voice) b, g, v, m, n, r, l (เมื่อลองเอามือสัมผัสที่ต้นคอดูเสียงจะสั่น) จะออกเสียง ed เป็น /d/ “เดอะ” เช่น rubbed, arrived, opened เป็นต้น

3. เมื่อคำกริยานั้นลงท้ายด้วย t หรือ d ออกเสียง ed เป็น /id/ “อิด/ทิด” เช่น wanted, needed, visited เป็นต้น

 

 

วิธีการเปลี่ยนคำกริยาให้สื่อถึงอดีตกาลนั้นมี2รูปคือ
1. กริยาที่เปลี่ยนรูปเป็นอดีตกาลได้ด้วยวิธีเติม ed ต่อท้ายโดยตรง(regular verbs) โดยมีกฎเกณฑ์การใส่ ed ดังนี้

  • คำกริยาที่ลงท้ายด้วย e ก็เติมแค่ d ต่อท้าย
  • คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y แต่หน้า y เป็นสระ ให้เติม ed ได้เลย
  • คำกริยาที่ลงท้างด้วยy แต่หน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยนyเป็น i แล้วเติม ed เช่น carried (carry)
  • คำกริยา1พยางค์ที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะ และหน้าพยัญชนะเป็นสละ(a,e,i,o,u) ให้เพิ่มพยัญชนะท้ายอีก1ตัว แล้วเติม ed เช่น stopped, planned เป็นต้น ยกเว้น tax --> taxed, tow --> towed
  • คำกริยา2พยางค์ที่เน้นเสียง(stress)พยางค์หลัง และพยัญชนะหน้าพยางค์หลังเป็นสละ(a,e,i,o,u) ให้เพิ่มพยัญชนะท้ายอีก1ตัว แล้วเติม ed เช่น refer --> referred, permit --> permitted เป็นต้น ยกเว้นคำกริยานั้นออกเสียงหนักที่พยางค์แรกให้เติม ed ได้เลย เช่น open --> opened, cover --> covered เป็นต้น
  • คำกริยาที่ลงท้ายด้วย c ให้เติม ked เช่น panicked เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น

  • love --> loved
  • work --> worked
  • worry --> worried
  • cry --> cried
  • play --> planned

2. คำกริยาที่เปลี่ยนรูปเป็นอดีตกาล ที่อยู่นอกเหนือกฎการเติมด้วยed (irregular verbs) ซึ่งมีรูปแบบที่แน่นอน (ดูเพิ่มเติม ในกริยา3ช่อง) ตัวอย่างเช่น

  • sleep --> slept
  • sit --> sat
  • run --> ran

***ไม่ว่าจะเป็นคำกริยาแบบไหนขอเพียงเราใช้ความรู้สึกถึงช่วงเวลาที่เราต้องการจะสื่อ แล้วเลือกโครงสร้างที่สื่อถึงช่วงเวลานั้นใส่เข้าไป(ไม่ใช่เพียงท่องจำเพียงอย่างเดียว) เราก็จะสามารถสื่อสารอย่างเป็นธรรมชาติและอย่างเข้าใจ เช่น หากพูดกริยาวิ่ง ถ้าเราต้องการสื่อถึงการวิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ให้รู้สึกถึง ran เลย แทนการนึกถึง run แล้วก็มาเปลี่ยนเป็น ran เราก็จะสมารถใช้คำกริยาให้เหมาะกับกาลได้อย่างเข้าใจและไม่ผิด