Category Archives: เรียนภาษาอังกฤษกับ English 360 องศา

ความแตกต่างระหว่าง Efficiency & Effectiveness

ความแตกต่างระหว่าง Efficiency & Effectiveness

Efficiency & Effectiveness

ศัพท์สองคำนี้มักเจอบ่อยในแวดวงธุรกิจ ดูเผินๆความหมายอาจจะคล้ายกัน แต่จริงๆแล้วมันแตกต่างกันค่ะ

  • Efficiency = ประสิทธิภาพ
  • Effectiveness = ประสิทธิผล

สองคำนี้ต่างกันยังไงล่ะ??

  • “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) จะหมายถึง การผลิตหรือการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ได้ผลลัพธ์ออกมามากทีสุด โดยใช้ต้นทุนหรือทรัพยากรน้อยที่สุด หรือประมาณว่า ทำให้คุ้มค่า คุ้มเวลา ประหยัดแรงงาน ประหยัดพลังงาน แต่ผลออกมามากกว่าต้นทุน พูดง่ายๆคือ “คุ้มทุน”
  • แต่ “ประสิทธิผล” (Effectiveness) หมายถึง การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้บรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้โดยต้องให้ได้คุณภาพ ได้ตามความพอใจของลูกค้า โดยไม่ค่อยคำนึงถึงต้นทุนหรือทรัพยากรที่ใช้ไป พูดง่ายๆคือ เน้นในแง่คุณภาพของผลลัพธ์มากกว่า

** ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆ กันนะคะ
สมมติว่า เราเอาเงินที่เป็นธนบัตรที่มีมูลค่าแตกต่างกันไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วปล่อยให้พัดลมพัดจนปลิวกระจัดกระจาย แล้วใช้ให้คนสองคนมาเก็บธนบัตรพวกนี้ ปรากฎว่า คนแรกเก็บธนบัตรได้จำนวนมากกว่าคนที่สอง แต่เมื่อนับมูลค่าของธนบัตรแล้วคนที่สองมีมูลค่าของธนบัตรมากกว่าถึงแม้จะ เก็บได้ในจำนวนที่น้อยกว่า เราสามารถอธิบายได้ว่า คนแรกทำงานได้อย่างมี “ประสิทธิภาพ” แต่คนที่สองทำงานได้อย่างมี “ประสิทธิผล”

*** คงพอจะเห็นภาพความแตกต่างกันนะคะ สองคำนี้ต่างกันก็จริง แต่เราก็ควรมีทั้งสองสิ่งนี้ไปพร้อมๆกัน คือ ทำงานให้ได้ทั้งประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล นะคะ
***** เช่นเดียวกับการที่เราเรียนภาษาอังกฤษ !! ถ้าเราท่องศัพท์หรือรู้คำศัพท์เป็นพันๆคำ แต่นำมาใช้พูดไม่ได้ อันนี้ถือว่าเรามีแต่ประสิทธิภาพ แต่ไร้ประสิทธิผลนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

Phrasal verb น่ารู้ : call off

Phrasal verb call off

# Phrasal verb น่ารู้ : call off

“call off” หมายถึง “ยุติ, หยุด, ล้มเลิก,ยกเลิก” เช่น

  • The game had to be called off due to the rain.
    การแข่งต้องถูกยกเลิกไปเพราะฝนตก
  • We don’t want to call off our trip to Turkey.
    พวกเราไม่อยากจะล้มเลิกการเดินทางไปตุรกี
  • You must call off your party tonight.
    คุณต้องยกเลิกงานปาร์ตี้คืนนี้
  • You had better call off your plan.
    คุณน่าจะล้มเลิกแผนของคุณ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

“ไม่มีอารมณ์ (จะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง)” ภาษาอังกฤษเขาพูดว่ายังไงกัน…?

ไม่มีอารมณ์ (จะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง)

ถ้าอยากจะบอกว่า “ไม่มีอารมณ์ (จะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง)” ภาษาอังกฤษเขาพูดว่ายังไงกัน…?

เราจะใช้สำนวนประโยคที่ว่า “not in the mood” เวลาที่ต้องการจะบอกว่าเราไม่มีอารมณ์จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ตัวอย่างเช่น  เวลาที่เราไปยืนกดเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็มเพื่อจะเตรียมไปช๊อปให้เต็มที่เลยแต่เกิดกดเงินไม่ได้ขึ้นมา เราก็คงออกอาการเซ็งแล้วพูดขึ้นว่า

  • I’m not in the mood to go shopping now.

หรือเกิดหงุดหงิดขึ้นมาแล้วไม่มีอารมณ์อยากจะคุยกับใครก็อาจจะใช้ประโยคนี้ก็ได้ว่า

  • Sorry,I’m not in the mood to talk!

*แต่ประโยคนี้ควรพูดกับเพื่อนที่สนิทๆหน่อยจะดีกว่านะคะ ^^

อาจจะพูดว่า “I’m not in the mood.” เฉยๆก็ได้ แปลว่า “ฉันไม่มีอารมณ์”
สำนวนอื่นเช่น “don’t feel like” ก็ใช้แทนได้เหมือนกันนะคะ
เช่น อาจจะบอกว่า

  • I don’t feel like to eat anything.  แทนที่จะพูดว่า I’m not in the mood to eat anything.  ก็ไม่ผิดเช่นกันค่ะ

********************************************

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

วิธีการใช้ used to / to be used to / get used to

การใช้ used to , to be used to , get used to

used to กับ to be used to ไม่เหมือนกันหรอกเหรอ?

สองคำนี้มีความหมายต่างกันนะค้าาาาา อย่าได้ใช้ผิดเชียว มาดูคำแรกกันก่อนเลย

* used to (do something)

หมายถึง เคยทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในอดีตแต่ปัจจุบันเลิกทำแล้ว เช่น เคยสูบบุหรี่แต่ปัจจุบันเลิก สูบแล้ว หรือเคยตื่นสายแต่ทุกวันนี้ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ทุกวัน แบบนี้ใช้ used to ได้ แต่ถ้าเคยลอกข้อสอบแต่ทุกวันนี้ก็ยังลอกอยู่ เอ่อ _ _”) …อันนี้ใช้ used to ไม่ได้นะคะ ^^

จะสังเกตว่า used to จะต้องเป็นกริยาช่อง 2 เพราะเรากำลังพูดถึงสิ่งที่เป็น “อดีต” (PAST)

ฉะนั้น!!! use to แบบนี้ในความหมายว่า เคยทำอะไรในอดีตนั้นผิดนะจ๊ะ และหลัง used to ต้องตามด้วยกริยาช่องที่ 1 นะคะ เช่น

  • I did not use to get up late.
    ฉันไม่เคยนอนตื่นสาย
  • I used to be talkative.
    ฉันเคยเป็นคนพูดมาก (แต่ปัจจุบันพูดน้อยแล้วนะค้าาา ^^)
  • I used to be a manager of this restaurant.
    ผมเคยเป็นผู้จัดร้านอาหารร้านนี้
  • She used to love him, but now she doesn’t.
    เธอเคยรักเขา แต่ตอนนี้ไม่แล้ว

Isn't it sad when you get hurt so much, you can finally say “I'm used to it.”

* to be used to / get used to (doing something)

ความหมายแตกต่างกับ used to ข้างบนเลยนะคะ เพราะมันจะแปลว่า “คุ้นเคย, เคยชิน”  เช่น Continue reading

หงุดหงิด น่ารำคาญ พูดเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไง?

หงุดหงิด น่ารำคาญ

หงุดหงิด น่ารำคาญ พูดเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไง?

เวลาโกรธ หรืออารมณ์เสียแบบสุดๆ เราจะพูดเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไงได้บ้างไปดูกันค่ะ

** get on one’s nerves  คำว่า nerves แปลว่า เส้นประสาท สำนวนนี้ก็แปลประมาณว่า “กวนประสาท หรือทำให้รำคาญ, หงุดหงิด” เช่น เวลาที่เพื่อนชอบมาร้องเพลงเสียงโหยหวนอยู่ข้างๆหูเรา เราก็บอกเพื่อนไปว่า

  • Your singing is really getting on my nerves.
    เสียงร้องของแกมันกวนโสตประสาทฉันซะเหลือเกิ๊นนนน

** piss me off   คำว่า piss me off เป็นสำนวนที่ใช้บอกว่าทำให้โกรธ ทำให้อารมณ์เสีย อะไรแบบนี้ เช่น

  • Don’t piss me off. อย่ามาทำให้ฉันอารมณ์เสียนะ
  • You are pissing me off. แกกำลังทำให้ฉันอารมณ์เสียแล้วนะ

แต่ถ้า piss off เฉยๆ จะแปลว่า “ไปให้พ้น” ก็ได้ เป็นคำที่ไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่นะคะ ^^ เช่น

  • I’ve got a lot of work to do, so piss off and leave me alone.
    ฉันมีงานเยอะแยะที่ต้องทำ ฉะนั้นไปให้พ้นๆเลยไป ให้ฉันอยู่คนเดียวเถอะ

** I’m mad at you!  สำนวนนี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน แปลว่า ฉันโกรธเธอแบบสุดๆ ฉันโกรธเธอแทบบ้า อะไรประมาณนั้น จะเปลี่ยนคำว่า you เป็นคำอื่นก็ได้นะคะ เช่น

  • I’m mad at him.
  • I’m mad at them.

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ความแตกต่างระหว่าง Hospital กับ Hospitality

Hospital กับ Hospitality

Hospital กับ Hospitality มันไม่เหมือนกันน่ะ !! (O_o)

  • คำว่า Hospital  (n.) อย่างที่เรารู้จักกันดีมันหมายถึง “โรงพยาบาล” เอาไว้รักษาคนป่วย แต่เจ้า Hospitality ไม่ได้มีความหมายโรงพยาบาลแต่อย่างใด
  • Hospitality”  (n.) หมายถึง การบริการ การต้อนรับ แขกผู้มาเยือน ด้วยมิตรภาพ เช่น Thank you for your hospitality.  ถ้าหากเราได้ยินใครพูดถึง Hospitality Industry แล้วล่ะก็มันจะหมายถึง กิจกรรมหรืออุตสาหกรรมการให้บริการ เช่น ธุรกิจโรงแรม, ธุรกิจภัตตาคาร, ธุรกิจการท่องเที่ยว เช่น

ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Hospitality เพราะธุรกิจบริการพวกนี้ต้องเกี่ยวกับการต้อนรับ โรงแรมก็ต้องต้อนรับแขกผู้มาพัก, ภัตตาคารก็ต้องบริการลูกค้า, ธุรกิจท่องเที่ยวก็ต้องดูแลนักท่องเที่ยว ยังไงล่ะคะ

** อย่าใช้ผิดนะคะ จำไว้ว่า hospitality มันไม่ได้หมายความถึง โรงพยาบาลค่ะ ^^

อ่านเพิ่มเติม ภาษาอังกฤษ ที่โรงพยาบาล

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การออกเสียง /th/ ในภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง

การออกเสียงในภาษาอังกฤษ

# การออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆของการเรียนภาษาอังกฤษกันเลยทีเดียว อันนี้ไม่เกี่ยวกับสำเนียงหรือ Accent แต่อย่างใดนะคะ ใครจะ Accent เหมือนเจ้าของภาษาหรือล้ำหน้ากว่าฝรั่ง หรือบางคนบอก Accent ไทยๆนี่แหละ อันนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ที่สำคัญ!!!! ต้องออกเสียงให้มันถูกต้อง

และเสียงที่คนไทยออกกันผิดมากที่สุด ขอย้ำ!!! นะคะว่ามากที่สุด ก็คงจะเป็นเสียงนี้ค่ะ /th/ เพราะจริงแล้วมันไม่ได้มีเสียงเหมือนตัว ท หรือ ธ ในภาษาไทย อย่างที่เราๆเข้าใจกันนะคะ

เสียง /th/ มีสองลักษณะด้วยกันคือ :
1. “แบบเสียงก้อง (voiced)” >>> ถ้าเปิดในพจนานุกรมก็จะแทนด้วยสัญลักษณ์ (ð)
วิธีการออกเสียง : นำปลายลิ้นเข้าไปใกล้ขอบฟันบนให้เกิดข่องแคบระหว่างปลายลิ้นกับฟันบน พ่นลมผ่านช่องแคบนี้เบาๆ ให้เป็นเสียงก้องออกจากลำคอ   ตัวอย่างคำเช่น  The, Then, This, That, These, Those, Though, Than, Thus, etc.

2. “แบบไม่ก้อง (voiceless)” >>> แทนด้วยสัญลักาณ์ (θ)
วิธีการออกเสียง : นำปลายลิ้นเข้าไปใกล้ขอบฟันบนให้เกิดข่องแคบระหว่างปลายลิ้นกับฟันบน พ่นลมผ่านช่องแคบนี้เบาๆ ให้เป็นเสียงลมออกจากปาก ตัวอย่างคำเช่น  Think, Three, Through, Thread, Thin, Thick, etc.

* ข้อสังเกต : ลักษณะการวางลิ้นเหมือนกันแต่ที่ต่างกันคือ แบบเสียงไม่ก้องให้ “พ่นลม” ออกมาด้วย

ลองดูตัวอย่างการออกเสียงใน วิดีโอตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยนะคะ แล้วก็ฝึกออกเสียงไปพร้อมๆวิดีโอเลยก็ได้ค่ะ ^^

ข้อมูลเพิ่มเติม…การออกเสียงภาษาอังกฤษ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์

สนทนาทางโทรศัพท์

# ฮัลโหลลล ฮัลโหลลล… ทำไงดี ฝรั่งโทรมา!!!

เคยเป็นมั๊ยคะ? พอรับสายโทรศัพท์แล้วเสียงปลายสายพูดมาเป็นแบบนี้ #*&*%@#$$!?^(^& นึกในใจ ซวยแล้วฝรั่งโทรมา ภาษาอังกฤษก็ไม่แข็งแรงซะด้วย ทำไงดีๆๆ
ต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลแล้วค่ะ ลองมาดูตัวอย่างประโยคที่เอาไว้ต่อกรกับฝรั่งในโทรศัพท์กันเลยค่ะ ^^

* พอโทรศัพท์ดังก็รับสายแล้วพูดว่า :

  • Hello, …ชื่อ…. speaking. อันนี้แบบไม่ค่อยเป็นทางการเท่าไหร่นะคะ
  • Good morning, ….ชื่อ….. speaking. May I help you?

ประโยคนี้จะเป็นแบบทางการ ส่วนมากใช้รับโทรศัพท์ในสำนักงานอะไรแบบนี้ อาจจะใส่ชื่อบริษัทไปด้วยก็ได้ค่ะ
* ถ้าเราเป็นฝ่ายโทรไป แล้วต้องการขอสายใครคนหนึ่ง :

  • Could I speak to……, please?
  • May I speak with…., please?

ถ้าแบบไม่เป็นทางการก็อย่างเช่น Continue reading

คำทักทายในภาษาอังกฤษ : How are you?

How are you

# ใช้ How are you? ถามว่า “สบายดีมั๊ย” มากันกี่ปีแล้ว เบื่อมั่งมั๊ย??

ถ้าในลิสต์คำศัพท์ของคุณมีแต่คำว่า How are you? เอาไว้ถามใครต่อใครว่า “เป็นไงบ้าง” “สบายดีมั๊ย” แล้วล่ะก็ ให้อ่านต่อไปด้านล่างเลยค่ะ ลองมาดูคำอื่นๆกันบ้างดีมั๊ย เผื่อถ้าฝรั่งเขาถามอย่างอื่นที่ไม่ใช่ How are you? เราจะได้ไม่เสียเหลี่ยมไงล่ะคะ ^^

คำทักทายที่เหมือนกับ How are you? เช่น

  • How do you do? คุณเป็นอย่างไรบ้าง  (ใช้เฉพาะที่เจอกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการ )
  • How’s it going? (ฮาว ซิท โกอิง)
  • How’s it going today?
  • How are you doing?
    (ถ้าต้องการถามว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่” จะต้องถามว่า What are you doing? หรือ What are you up to?)
  • How’s everything?
  • How have you been?
  • How’re things?
  • How’s life?
  • What’s going on?
  • What’s up?
  • What’s cracking? / What’s crackin?
  • What’s happening?
  • What’s poppin?

** เห็นมั๊ยคะ แค่ทักทายอย่างเดียวก็เยอะแยะซะแล้ว มันคือเสน่ห์หนึ่งของภาษาค่ะ ^^ อย่างคำว่า What’s up? คำเดียว วัยรุ่นเค้าก็มีวิธีการออกเสียงได้หลายแบบแล้ว เช่น บางคนจะออกเสียงเป็น

  • what up? ไม่มีเสียง s หรือบางคนก็ออกเป็น
  • Whassup หรือ Whazzup ใส่เสียง s ซะเต็มที่เหมือนกัน

หรือ How are you doing? เวลาออกเสียงหรือเขียนในแชท เค้าเขียนแบบนี้ค่ะ How ya doin? เป็นแสลงของวัยรุ่นเค้า

เวลาตอบรับคำทักทางก็สามารถพูดได้หลายอย่างเช่น

  • I’m busy. ฉันงานยุ่ง
  • I,m alright. ฉันสบายดี
  • Not too bad. ก็ไม่เลวนัก
  • I’m good. ฉันสบายดี
  • I’m doing great. ฉันสบายดี

*** แต่ที่สำคัญเลยก็คือ ใช้ให้ถูกกาละเทศะนะคะ บางคำใช้พูดเฉพาะกับเพื่อนสนิทเท่านั้น บางคำก็เป็นทางการได้หน่อย ถ้าเราไปใช้ What’s up? กับเจ้านายระดับสูงๆ พรุ่งนี้อาจโดนย้ายแผนกก็เป็นได้นะคะ ^^ ระวังกันด้วยค่าาาาา

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน get on someone’s case

สำนวน get on someone's case

# สำนวนน่ารู้ : get on someone’s case

“get on someone’s case” หมายถึง ตำหนิ ติเตียน วิพากษ์ วิจารณ์ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  เช่น

  • My boss is getting on my case about the project.
    เจ้านายฉันกำลังตำหนิฉันอยู่เกี่ยวกับโครงการนี้
  • Stop getting on my case about my dress.
    หยุดวิจารณ์ชุดของฉันซะทีเถอะ
  • My mom will get on my case if I don’t pass the exam.
    แม่จะเล่นงานฉันแน่ถ้าฉันสอบไม่ผ่าน
  • My girlfriend will get on my case if I don’t show up on time.
    แฟนฉันต้องอะลาวาดฉันแน่ ถ้าฉันไปไม่ทันตามเวลานัด

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา