Category Archives: ประโยคสนทนาภาษาอังกฤษ

การใช้ let กับ let’s

การใช้ let กับ let’s

การใช้ let กับ let’s
Let กับ Let’s สองคำนี้ไม่ใช่คำเดียวกันค่ะ และความหมายที่นำไปใช้ก็แตกต่างกันด้วยค่ะถ้าคุณเจอสองประโยคนี้

  • Let go!
  • Let’s go!

สองประโยคนี้เราจะได้ยินในสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ประโยคแรกที่ไม่มี apostrophe s ( ‘s ) แปลว่า ปล่อยมันไปเหอะ ช่างมันเหอะ เช่น เพื่อนคุณเพิ่งจะรู้ว่าไม่ผ่านการสัมภาษณ์งาน เธอก็เลยพูดว่า let go. ช่างมันเหอะ

แต่ประโยคที่สอง แปลว่า ไปกันเถอะ เป็นการเชิญชวน เช่น คุณกับเพื่อนคุณกำลังจะไปออกทริปด้วยกัน เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม ทุกคนพร้อมแล้ว เพื่อนคุณก็พูดขึ้นมาว่า let’s go. ไปกันเหอะ

Let จะเป็นการอนุญาต หรือแปลว่า ปล่อย ก็ได้ ปกติการใช้ let จะอยู่ในรูปโครงสร้าง

 

          Let + object + Verb (infinitive)

เช่น

  • Let me help you.
    ให้ฉันช่วยคุณเถอะนะ
  • I usually let the children stay up late on Saturday night.
    ฉันมักจะอนุญาตให้เด็กๆอยู่ดึกได้ในคืนวันเสาร์
  • Let it be!
    ปล่อยมันไปเหอะ

** ไหนๆก็พูดเรื่องการอนุญาตแล้ว ก็ขอเพิ่มเติมคำศัพท์อีกตัวนึงนะคะ คือคำว่า allow แปลว่า อนุญาต เหมือนกัน แต่ใช้ต่างจาก let ตรงที่ มี allow ต้องมี to แต่ let ไม่ต้องมี เช่น

  • My dad let me go out on Friday night.
  • My dad allows me to go out on Friday night.
    พ่อฉันอนุญาตให้ฉันออกไปเที่ยวคืนวันศุกร์ได้

Let ยังใช้ในสำนวน let go of…something..แปลว่า ปล่อย เช่น

  • She let go of her son’ s hand, so he fell down.
    เธอปล่อยมือลูกชาย เขาก็เลยหกล้ม

 

Let’s จะเป็นการเชิญชวน แปลประมาณว่า …..กันเถอะ   จริงๆแล้วย่อมาจากคำเต็มคือ
Let us และตามประสาของคนที่ชอบย่อ ชอบตัดให้มันสั้นๆ (ง่ายๆคือ ขี้เกียจนั่นเอง) เลยเหลือแค่ Let’s ปกติก็ไม่ค่อยมีใครพูดว่า Let us จะใช้ Let’s มากกว่า

โครงสร้างคือ

 

          Let’s + Verb (infinitive)

เช่น

  • Let’s find something to drink.
    ไปหาอะไรดื่มกันเถอะ
  • Let’s call the police.
    โทรหาตำรวจกันเถอะ
  • It’s getting dark. Let’s go home.
    มันเริ่มจะมืดละ กลับบ้านกันเหอะ

 

 

คำบอกปริมาณ “มาก” ในภาษาอังกฤษ (ตอนที่ 2)

คำบอกปริมาณ “มาก” ในภาษาอังกฤษ

คำบอกปริมาณ “มาก” ในภาษาอังกฤษ (ตอนที่ 2)

ต่อจากตอนที่แล้วที่เราได้นำเสนอคำว่า much / many และ lots of / a lot of ไปแล้วนะคะ สำหรับการบอกปริมาณ “มาก” ของคำนาม ในตอนนี้เราจะเสนอคำที่บอกปริมาณ “มาก” คำอื่นๆ อีกดังนี้ค่ะ

** a great deal of
A great deal of + นามนับไม่ได้   เช่น

  • We have a great deal of trouble now.
    เรามีปัญหาเดือดร้อนกันเยอะมากเลยตอนนี้

** a large amount of
A large amount of + นามนับไม่ได้ เช่น

  • There was a large amount of water on the floor when I came here.
    มีน้ำอยู่บนพื้นเยอะมากๆเลย ตอนที่ฉันมาที่นี่

** a great number of
a great number of + นามนับได้พหูพจน์ เช่น

  • A great number of people were angry at the mob.
    กลุ่มคนจำนวนมากที่ม๊อบนั้นโกรธมาก

** a large number of
a large number of + นามนับได้พหูพจน์ เช่น

  • I saw a large number of birds moving to the south.
    ฉันเห็นนกจำนวนมากย้ายถิ่นฐานไปทางใต้

** a number of
a number of + นามนับได้พหูพจน์ เช่น

  • There are a number of apples in the basket.
    มีแอปเปิ้ลจำนวนมากในตะกร้า

( a number of นี้ต้องระวังให้ดี อย่าสับสนกับ the number of นะคะ เพราะ a number of แปลว่า มาก แต่ the number of แปลว่า จำนวนของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตัวอย่างประโยค เช่น

  • A number of students are at the cafeteria.
    นักเรียนจำนวนมากอยู่ในโรงอาหาร
  • The number of student in this school is 1,500.
    จำนวนนักเรียนของโรงเรียนนี้คือ 1,500 คน

The number of student แปลว่า จำนวนนักเรียน เป็นประธานเอกพจน์ จึงใช้กริยา is )

** plenty of
plenty of + นามนับได้พหูพจน์ / นามนับไม่ได้   เช่น

  • I’ve got plenty of time.
    ฉันมีเวลามาก

** several
several + นามนับได้พหูพจน์   แปลว่า “หลายๆ” เช่น

  • Several people think English is difficult.
    หลายๆคนคิดว่าภาษาอังกฤษนั้นมันยาก

เวลาใช้คำพวกนี้ก็ระมัดระวังนิดนึงนะคะ เพราะแต่ละคำจะใช้กับคำนามไม่เหมือนกัน บางคำใช้กับนามที่นับได้ แต่บางคำใช้กับนามที่นับไม่ได้ บางคำก็ใช้ได้ทั้งสองคำเลยก็มี

มารู้จัก “ประโยคขอความช่วยเหลือ” ในภาษาอังกฤษกันหน่อยมั้ย

help ในภาษาอังกฤษ

มารู้จัก “ประโยคขอความช่วยเหลือ” ในภาษาอังกฤษกันหน่อยมั้ย

ถ้าเกิดบังเอิญจับพลัดจับผลูได้ไปต่างประเทศ แล้วเกิดบังเอิ๊ญบังเอิญเข้าตาจน จนต้องไปขอความช่วยเหลือจากฝรั่ง เราจะพูดยังไง เริ่มต้นประโยคว่ายังไงดี เรามีประโยคขอความช่วยเหลือแบบเบสิคๆมาฝากกันค่ะ รับรองว่าถ้าเอาไปใช้ต้องมีใครสักคนช่วยคุณแน่นอนค่ะ

เริ่มต้นด้วยประโยคง่ายๆประโยคนี้ค่ะ

Can you help me please? หรือถ้าจะให้สุภาพกว่านี้ใช้
Could you help me please? ก็ได้ไม่ผิดค่ะ

จำประโยคนี้ประโยคเดียวนี่ก็ใช้ได้ทั้งประเทศเลยล่ะค่ะ แต่ถ้าอยากเปลี่ยนบ้างเพื่อความไม่จำเจเราก็มีประโยคอื่นๆมานำเสนอค่ะ เช่น

  • May I ask you a favor?
    ฉันขอให้คุณช่วยอะไรหน่อยได้มั้ย

หรือจะบอกว่า Can you do me a favor? ก็ได้ค่ะ ให้ความเหมือนกัน

favor แปลว่า ความช่วยเหลือ หรือ ความเอื้อเฟื้อ   คำนี้อาจจะฟังดูเป็นทางการไปซะหน่อย แต่จำไว้ก็ไม่เสียหลายค่ะ

อีกประโยคหนึ่งเป็นสำนวนขึ้นมาหน่อย ดูเก๋ๆ คือ Could you give me a hand?

ไม่ได้แปลว่า ขอมือหน่อย นะคะ แต่แปลว่า ช่วยฉันหน่อยได้มั้ย ตัวอย่างสถานการณ์เช่น คุณจำเป็นต้องแบกทีวีเครื่องเบ้อเริ่มขึ้นไปบนห้องใดห้องหนึ่ง แต่มันหนักซะเหลือเกิน คุณก็เห็นวัยรุ่นท่าทางทะมัดทะแมงสองสามคนแถวๆนั้น เลยเข้าไปทักว่า Excuse me, could you give me a hand? แน่นอนว่าถ้าสองคนนั้นไม่ใจร้ายเกินไป เค้าจะต้องเข้ามาช่วยคุณอย่างแน่นอน

ประโยคอื่นๆ ที่ใช้ขอความช่วยเหลือก็ยังไม่หมดแค่นี้นะคะ เราอาจจะพูดได้ว่า

  • Would you mind helping me out?
    ช่วยผมทีนะ หรือ ช่วยฉันหน่อยนะ

หรือ

  • Is it possible for you to help me?    
    เป็นไปได้ไหมที่คุณจะช่วยฉัน

หรือเราอาจจะไม่ใช้ประโยคคำถามแต่ บอกออกไปตรงๆเลยว่า ฉันต้องการความช่วยเหลือ คือ

  • I need some help.  

แล้วก็ระบุสิ่งที่คุณต้องการให้เขาช่วยได้เลย

ถ้าคุณอยากขอความช่วยเหลือ โดยเจาะจงหรือต้องการระบุว่าอยากให้ช่วยอะไร ออกเป็นแนวประโยคขอร้องให้ทำนั่นทำนี่ให้หน่อย ก็ให้ขึ้นต้นประโยคว่า

Could you please…..?
Would you please….?

เช่น

  • Could you please open the window?
    คุณช่วยเปิดหน้าต่างให้หน่อยได้มั้ย
  • Would you please get me that newspaper?
    คุณช่วยหยิบหนังสือพิมพ์ให้หน่อยได้มั้ย

เอาล่ะค่ะ แค่นี้ก็พอจะช่วยให้คุณเอาตัวรอดในสถานการณ์ขับคันได้แล้ว แต่อย่าลืมว่าก่อนที่จะขอความช่วยเหลือใครให้พูดคำว่า Excuse me. ซักนิดนึง แล้วเมื่อเขาช่วยเหลือเราเสร็จแล้วก็อย่าลืมขอบคุณเขาเป็นอันขาด เพื่อเป็นมารยาทที่ดีนะคะ ^^

would คำง่ายๆ ที่บางทีก็ใช้ยาก

would คำง่ายๆ ที่บางทีก็ใช้ยาก

would คำง่ายๆ ที่บางทีก็ใช้ยาก

Would เป็นคำง่ายๆที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว ซึ่งเราจะรู้จักว่า would มีความหมายว่า “จะ”เท่านั้น แต่มันยังไปใช้ในความหมายอื่นได้อีก ดังนี้ค่ะ

** would แปลว่า จะ เป็นรูปอดีตของwill เชื่อว่าคนทั้งโลกรู้จัก would ในความหมายนี้ดี เช่น

  • She said that she would do it again.
    เธอพูดว่าเธอจะทำมันอีกครั้ง

** would ใช้คู่กับ like แปลว่า อยากจะ หรือต้องการ มีความหมายเหมือน want แต่    would like จะสุภาพกว่าเช่น

  • I would like something to drink.
    ฉันอยากดื่มอะไรสักหน่อย
  • Would you like some tea?
    คุณอยากได้ชามั้ย

** would มักใช้ถามหรือขอร้องเพื่อให้เกิดความสุภาพ เช่น

  •  Would you please pass me that book?
    คุณช่วยหยิบหนังสือเล่มนั้นให้หน่อยได้มั้ย
  • Would you mind If I come in?
    คุณจะรังเกียจมั้ยถ้าฉันจะเข้าไป

**would ใช้พูดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หรือไม่เป็นจริง มักใช้ในประโยคเงื่อนไขที่เป็นการสมมติ เช่น

  • If I were you, I wouldn’t do that.
    ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะไม่ทำอย่างนั้น
  • If I had more vacation time, I would go to Spain.
    ถ้าฉันมีวันหยุดมากขึ้น ฉันจะไปสเปน

** would ในความหมายนี้มักใช้ในภาษาพูดเพื่อสื่ออารมณ์! เพิ่มความเข้มข้นของคำพูดลงไปอีก เช่น ปกติถ้าเราจะถามว่า ทำไมถึงทำแบบนี้ เราก็จะถามว่า Why did you do that?

แต่ถ้าเราถามว่า Why would you do that? ก็จะแปลประมาณว่า ทำไมแกถึงทำแบบนี้!

หรือแทนที่จะพูดว่า I didn’t tell anyone about our secret. (ฉันไม่ได้บอกความลับของเรากับใครเลย) แต่ถ้าพูดว่า I wouldn’t tell anyone about our secret. (ฉันไม่เค๊ยไม่เคยบอกความลับของเรากับใครเลยนะเนี่ย)

เรามักจะไม่ค่อยคุ้นกับ would ในแบบสุดท้ายสักเท่าไหร่ แต่เวลาได้ยินก็แอบสงสัยว่า ทำไมแกต้องใช้ would ด้วย ถ้า would ก็แปลว่า จะ ไม่ใช่เหรอ   ทีนี้ก็จะได้รู้แล้วว่า would มันไม่ได้แปลว่า จะ อย่างเดียวนะคะคุณ แต่มันยังใช้สื่ออารมณ์ได้ด้วย ^^

การยกตัวอย่างในภาษาอังกฤษ

การยกตัวอย่างในภาษาอังกฤษ

การยกตัวอย่างในภาษาอังกฤษ

เวลาจะเขียนหรือพูดอะไรสักอย่างแล้วเกิดอยากอธิบายเพิ่มเติมให้ผู้ฟังได้เข้าใจ ก็มักจะใช้การยกตัวอย่างเพื่อขยายความ ในภาษาอังกฤษมีคำที่ใช้ในการยกตัวอย่างอยู่หลายตัวด้วยกัน และแต่ละตัวก็อาจจะมีวิธีการใช้ที่แตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้ค่ะ

1. การใช้ for example, for instance
for example และ for instance นั้นต่างก็มีความหมายเหมือนกันคือแปลว่า

“ตัวอย่างเช่น” และวิธีการนำไปใช้ก็ยังเหมือนกันอีกด้วย โดยมีวิธีการใช้ดังต่อไปนี้ค่ะ

1.1 วางไว้กลางประโยค – ในกรณีที่วางไว้กลางประโยค จะต้องมี comma คั่นหน้าคั่นหลังเสมอ แล้วตามด้วย รายการสิ่งของหรืออื่นๆ ซึ่งก็คือคำนามหรือกลุ่มของคำนาม ที่เราจะยกตัวอย่าง เช่น

  • I like playing sports, for example, football, basketball, tennis, etc.

1.2 วางไว้หน้าประโยค – ซึ่งก็คือการขึ้นต้นประโยคใหม่เพื่อยกตัวอย่างอธิบายความของประโยคก่อนหน้า for example แบบนี้จะต้องตามประโยคที่สมบูรณ์ค่ะ จะมาเป็นแค่คำนามหรือกลุ่มคำนามนี่ไม่ได้แล้วนะคะ เช่น

  • I like learning new things. For example, last month I took ballet course.

** การใช้ for instance ก็เช่นเดียวกันค่ะ

2. การใช้ such as
Such as ก็แปลว่า ตัวอย่างเช่นเหมือนกัน แต่วิธีการใช้ต่างจาก for example และ for instance เลย คือจะอยู่กลางประโยคเท่านั้น ไม่นำมาขึ้นต้นประโยค และหลัง such as จะต้องเป็นคำนามหรือกลุ่มคำนามเท่านั้น เช่น

  • I can cook many kinds of food such as soup, stew, fried rice, noodle, etc.

3. การใช้ e.g.
e.g. ย่อมาจาก exampli gratia (ภาษาละติน) มีความหมายว่า ตัวอย่าง, เช่น,

ดังเช่นตัวอย่างการใช้ e.g. คือ

  • We have many dishes for you to choose e.g. spaghetti, Tom-Yam-Kung, Pad-Thai.

4. การใช้เครื่องหมาย colon (:) ในการยกตัวอย่าง

เราอาจจะเคยเห็นการใช้ colon ในการยกตัวอย่างก็ได้ ใช้เครื่องหมายไปเลย ไม่ต้องใช้คำศัพท์อะไรให้วุ่นวาย มาดูตัวอย่างประโยคที่มีการใช้ colon ในการยกตัวอย่างกันค่ะ

  • I like watching fantasy movies : The Hobbit, Harry Potter, The Lord of the Ring, Percy Jackson.

ลองเอาไปใช้กันดูนะคะ ^^

ตีแผ่การใช้ mind อย่างมืออาชีพ

mind think

ตีแผ่การใช้ mind อย่างมืออาชีพ

คำบางคำในภาษาอังกฤษ ก็มีความหมายมากกว่า 1 ความหมาย คราวนี้เวลาอ่านเจอก็เป็นปัญหาของเราแล้วล่ะสิว่าจะแปลว่าอะไรดี อย่างเช่นที่คำที่จะพูดต่อไปนี้คือ คำว่า mind ซึ่งมันมีหลายความหมาย และแต่ละความหมายก็ไม่ค่อยจะใกล้เคียงกันเท่าไหร่เลย มาดูกันค่ะว่าหมายความว่าอย่างไรได้บ้าง

** mind ความหมายแรกแปลว่า ความคิด หรือจิตใจ เป็นคำนาม ตัวอย่างประโยคเช่น

  • I’ve changed my mind.
    ฉันเปลี่ยนใจแล้ว
  • Your face is on my mind all the time.
    หน้าคุณอยู่ในความคิดของผมตลอดเวลาเลย

mindในความหมายนี้เรามักจะเจอในสำนวน bear in mind หรือ keep in mind แปลว่า ระลึกไว้ในใจ หรือ จำไว้ในใจ (อย่าลืม) เช่น

  • When you go abroad, you’d better keep in mind that tipping is necessary.
    เวลาไปต่างประเทศคุณต้องอย่าลืมว่าการให้ทิปเป็นเรื่องสำคัญ
  • You must bear in mind what I said.
    คุณต้องจำไว้ว่าฉันพูดอะไร

** mind ความหมายที่สองแปลว่ารังเกียจ เป็นคำกริยา ปกติเวลาใช้ mind ในความหมายนี้จะต้องตามด้วยคำกริยาที่เติม ing เช่น

  • Do you mind opening the window?
    คุณจะรังเกียจถ้าจะเปิดหน้าต่าง
  • Would you mind if I turn off the fan?
    คุณจะรังเกียจไหมถ้าฉันจะปิดพัดลม

** mind ความหมายที่สามแปลว่า ระวัง   เป็นคำกริยา เรามักจะเห็นmind ความหมายนี้เป็นป้ายคำเตือนตามสถานีรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน หรือสถานที่ที่ต้องใช้ความระมัดระวัง เช่น

  • Please mind the gap between train and platform.
    กรุณาระมัดระวังช่องว่างระหว่างรถไฟกับชานชาลา
  • Mind your step
    เดินระวังๆ

*** บางคนชอบสับสน mind กับ mine สองคำนี้มีความหมายไม่เหมือนกันนะคะ

mineตัวนี้แปลว่า ของฉัน หรือ เหมืองแร่ เช่น

  •  You don’t need to buy a new dictionary. You can use mine.
    คุณไม่จำเป็นต้องซื้อพจนานุกรมใหม่ คุณใช้ของฉันก็ได้
  • He used to work in a mine.
    เขาเคยทำงานในเหมืองแร่

อ่านเพิ่มเติม สำนวนน่ารู้ : to make up one’s mind

ความแตกต่างระหว่าง bring กับ take

ความแตกต่างระหว่าง bring กับ take

ความแตกต่างระหว่าง bring กับ take

bringกับ take เนี่ย บางทีก็สับสนเหมือนกันนะว่าจะเลือกใช้คำไหนดี เพราะความหมายมันใกล้เคียงกัน ถ้าเจอประโยคว่า

  • I asked my daughter to take me a cup of tea.
    ฉันขอให้ลูกสาวเอากาแฟมาให้

ประโยคนี้ถ้าดูแบบผิวเผินก็เหมือนจะถูกนะคะ แต่ถ้าสังเกตดูดีๆแล้วมันจะผิดเต็มๆเลยค่ะ

การจะเลือกใช้คำไหนระหว่าง bring กับ take ต้องดูตำแหน่งที่อ้างถึงค่ะ   เช่น

ถ้าสิ่งของนั้นมีทิศทางมาหาเรา ก็จะเข้าข่ายการใช้ bring
แต่ถ้าสิ่งของนั้นมีทิศทางที่ออกไปจากเรา ก็จะเข้าข่ายการใช้ take
หรือพูดง่ายๆคือ คุณขอให้คนอื่น bring สิ่งของนั้นมาให้เรา แต่เรา take สิ่งของนั้นไปที่ที่เราจะไป   ลองมาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ

bring :นำมา, พามา (ให้เรา)

  • Please bring the book you’ve borrowed to me.
    กรุณาเอาหนังสือที่คุณยืมไปมาให้ฉันด้วย     (สิ่งของมาหาเรา เพราะให้อีกคนเอามาให้)
  • Please bring your report to the class tomorrow.
    กรุณาเอารายงานมาในคาบเรียนพรุ่งนี้ด้วย
  • When you come to school tomorrow, don’t forget to bring the money for the camp to me.
    พรุ่งนี้ตอนมาโรงเรียน อย่าลืมนำเงินค่าเข้าค่ายมาให้ครูด้วย

take :นำไป (จากเรา)หรือเอาสิ่งของนั้นไปด้วย

  • Don’t forget to take a letter from me. You have to give it to your parents.
    อย่าลืมเอาจดหมายไปนะ เธอต้องเอาไปให้พ่อแม่อ่าน
  • I’ll take the CD this evening.
    ฉันจะไปเอาซีดีเย็นนี้

*** ถ้ายังไม่ชัดเจนเรื่อง bring กับ take ลองเปรียบเทียบสองประโยคนี้ค่ะ

  • Please bring a flashlight and compass to the camp.
    กรุณานำเอาไฟฉายและเข็มทิศมาที่ค่ายด้วย
    (ตัวเราอยู่ที่ค่าย และเราขอให้คนอื่นที่เราพูดด้วยนำมันมาให้เราที่ค่ายด้วย)
  • Please take a flashlight and compass to the camp.
    กรุณาเอาไฟฉายและเข็มทิศไปที่ค่ายด้วย
    ( ให้คนอื่นนั้นนำไฟฉายกับเข็มทิศติดตัวมาด้วย คือนำมันออกมาจากที่ที่คนๆนั้นอยู่)

** น่าจะเคลียร์แล้วนะคะ สำหรับการใช้ bring กับ take ^^

การใช้ enough และ too

การใช้ enough และ too

การใช้ enough และ too

enough และ too เป็นคำกริยาวิเศษณ์ เอาไว้ขยายคำคุณศัพท์ คำกริยาวิเศษณ์ และคำนามก็ได้ค่ะ เพื่อบอกระดับ ดีกรี หรือปริมาณของคำนั้นๆ

enough แปลว่า “เพียงพอ” เป็นได้ทั้ง adverb (กริยาวิเศษณ์) และ adjective (คำคุณศัพท์) ดังนั้นเวลาใช้เมื่อใช้ต่างหน้าที่กัน ตำแหน่งของ enough ก็ย่อมต่างกันไปด้วยดังนี้ค่ะ

เมื่อใช้อย่างคำคุณศัพท์ ก็จะวางไว้หน้าคำนาม ไม่ว่าจะเป็นคำนามนับได้หรือคำนามนับไม่ได้ ก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน เช่น

  • We don’t have enough food for ten people, so we need to buy some more.
    เรามีอาหารไม่พอสำหรับสิบคน ต้องไปซื้อเพิ่มแล้วแหละ
  • I want a new car but I don’t have enough money.
    ฉันอยากได้รถใหม่แต่มีเงินไม่พอ

เมื่อใช้อย่างคำกริยาวิเศษณ์ ก็มักจะวางไว้หลังคำคุณศัพท์หรือกริยาวิเศษณ์ที่มันไปขยาย เช่น

  • I like this house but it’s not big enough for 5 people.
    ฉันชอบบ้านหลังนี้นะแต่มันใหญ่ไม่พอสำหรับ 5 คน
  • She refused his proposal of marriage because she thinks he isn’t good enough.
    เธอปฏิเสธคำขอแต่งงานของเขาเพราะเธอคิดว่าเขายังดีไม่พอ

Too แปลว่า มากเกินไป ปกติเรามักจะเห็น too ใช้คู่กับคำคุณศัพท์หรือคำกริยาวิเศษณ์คือวางไว้ข้างหน้าเพื่อบอกดีกรีหรือระดับว่ามันมากเกินไป เช่น

  • English isn’t too difficult.
    ภาษาอังกฤษมันไม่ได้ยากเกินไป
  • The water in the glass is too hot.
    น้ำในแก้วนั้นมันร้อนเกินไป

ปกติการใช้ too ในลักษณะนี้จะใช้ในโครงสร้างแบบนี้ค่ะ too adj. + to + V.

  • Here is too noisy to study.
    ที่นี่เสียงดังเกินไปที่จะอ่านหนังสือสอบ
  • You’re too young to drive.
    คุณอายุน้อยเกินไปที่จะขับรถ

**** too ในอีกความหมายนึงแปลว่า “อย่างมาก” เช่น

  • She looks too young.
    เธอยังดูเด็กมาก

แต่ถ้าใช้ในการบอกปริมาณคำนาม มักจะใช้คู่กับ much หรือ many เป็น too much หรือ too many   เช่น

  • There is too much salt in the soup. It’s very salty.
    มีเกลือเยอะเกินในซุป มันเค็มมากๆเลย
  • There are too many people in the mall.
    มีคนเยอะเกินไปในห้าง

เมื่อเข้าใจแล้วก็ลองเอาไปใช้ดูนะคะ อย่าลืมว่า English is too easy. ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว ^^

หลักการใช้ must กับ have to ใช้ต่างกันอย่างไร

must กับ have to ใช้ต่างกันอย่างไร

หลักการใช้ must กับ have to ใช้ต่างกันอย่างไร

ทั้ง must และ have to ใช้เพื่อแสดงความจำเป็นในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหมือนกัน แต่มีวิธีการใช้เหมือนกันเล็กน้อยค่ะ แต่โครงสร้างประโยคในการใช้ must กับ have to เหมือนกันคือ ต้องตามด้วย verb infinitive หรือ กริยารูปธรรมดา ไม่ผัน ไม่เติม

must + verb (infinitive)
have to + verb (infinitive)

  • I must quit smoking.                  ฉันต้องเลิกสูบบุหรี่
  • I have to quit smoking.              ฉัน(จำเป็น)ต้องเลิกสูบบุหรี่

สองประโยคนี้แปลว่า ต้องเลิกสูบบุหรี่ เหมือนกัน แต่เราจะใช้ must ในกรณีที่เราคิดว่าสิ่งนั้นจำเป็นต้องทำ เป็นความเชื่อหรือเป็นความคิดของเราเองที่คิดว่ามันจำเป็นต้องทำ
แต่ have to นั้นใช้ในกรณีที่สถานการณ์เป็นตัวบังคับให้เราจำเป็นต้องทำ ซึ่งบางที่เราอาจจะไม่อยากทำ อาจจะเป็นกฎ หรือข้อบังคับให้ทำ เช่น

  • You have to stop eating salty food.
    คุณจำเป็นต้องเลิกกินอาหารรสเค็ม
    (อาจจะเป็นคำสั่งหมอที่ให้เลิกกินอาหารรสเค็ม)

ลองมาเปรียบเทียบกับการใช้ must ในประโยคข้างล่างค่ะ

  • You must stop eating salty food.
    คุณต้องเลิกกินอาหารรสเค็มได้แล้ว
    (อาจจะเป็นความคิดของผู้พูดเองว่า อีกฝ่ายต้องเลิกกินอาหารเพราะถ้ากินอาหารรสเค็มมากเกินไปจะทำให้เป็นโรคได้)
  • Must I go now?
    ฉันต้องไปตอนนี้เลยมั้ย
  • Do they have to pay the money?
    พวกเขาต้องจ่ายเงินมั้ย

*** แต่ถ้าเป็นประโยคปฏิเสธจะมองเห็นความแตกต่างได้ชัด ดังนี้ค่ะ

  • must not หรือ mustn’t แปลว่า จะต้องไม่(เป็นกฎหรือข้อบังคับที่ห้ามให้ปฏิบัติ)
  • don’t have to หรือ doesn’t have to แปลว่า ไม่จำเป็นต้อง (จะทำหรือไม่ทำก็ได้)

รูปปฏิเสธและคำถามของ have to ต้องใช้ verb to do เข้ามาช่วย จะเติม not ข้างหลังไปเลยเหมือน must ไม่ได้ ตัวอย่างประโยค เช่น

  • You mustn’t park here. It’s not allowed.
    คุณไม่ได้รับอนุญาตให้จอดรถที่นี่
  • The students mustn’t wear shoes in the classroom.
    นักเรียนจะต้องไม่ใส่รองเท้าในห้องเรียน
  • We don’t have to wear uniform on Friday.
    พวกเราไม่จำเป็นต้องใส่ชุดเครื่องแบบในวันศุกร์
  • He doesn’t have to tell me what happened. Someone has already told me.
    เขาไม่จำเป็นต้องบอกฉันก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนบอกฉันแล้ว

** สรุปคือmust กับ have to ในรูปประโยคบอกเล่าและคำถาม จะมีความหมายใกล้เคียงกันหรือต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ในประโยคปฏิเสธจะมีความหมายที่ต่างกันอย่างชัดเจนค่ะ

like กับ would like มันไม่เหมือนกันนะ!

like กับ would like มันไม่เหมือนกันนะ!

like กับ would like มันไม่เหมือนกันนะ!

บางคนคิดว่า like กับ would like น่าจะแปลเหมือนๆกัน เพราะมันก็ like เหมือนๆกัน ถ้าคุณคิดอย่างนั้น….คุณคิดผิดค่ะ!! เพราะสองคำนี้มันมีความหมายต่างกันเลย และใช้ในสถานการณ์ที่ต่างกันด้วย

** likeแปลว่า ชอบ มักตามด้วยคำกริยาที่เติม ing (Ving) หรือที่เรียกว่า gerund หรือตามด้วย to infinitive (to + Verb) ก็ได้

like + Ving
like + to + V. infinitive

เช่น

  • I like eating chocolate cake.
    ฉันขอบกินเค้กช้อคโกแลต
  • She likes wandering around the city alone.
    เธอชอบเดินเตร่ๆไปรอบเมืองคนเดียว
  • They like to swim in the lake on Saturday.
    พวกเขาชอบว่ายน้ำในทะเลสาบในวันเสาร์

** would likeหมายถึง อยากจะ หรือ ต้องการ

would like + to + verb
would like + Noun

เช่น

  • I would like to go sightseeing this old city before we go back.
    ฉันอยากจะไปเที่ยมชมเมืองเก่านี้ก่อนที่เราจะกลับ
  • I’m so thirsty. I would like some water.
    ฉันกระหายน้ำมากๆ ฉันอยากได้น้ำสักหน่อย
  • Would you like some tea or coffee?
    คุณอยากได้ชาหรือกาแฟสักหน่อยมั้ย

บางคนอาจจะเห็น would like ในรูปย่อแบบนี้ก็ได้ คือ ‘d like เช่น

  • I’d like to take a leave tomorrow because I feel not well today.          ฉันอยากจะลาหยุดวันพรุ่งนี้เพราะว่าวันนี้ฉันรู้สึกไม่ดีเลย
  • He would like to speak English but he doesn’t have an environment for English talking.
    เขาอยากจะพูดภาษาอังกฤษ แต่เขาไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่พูดภาษาอังกฤษ

*** would like มีความหมายเหมือนกับ want คือแปลว่าต้องการ หรือ อยาก เหมือนกัน เพียงแต่ would like จะฟังดูสุภาพกว่าเท่านั้นเองค่ะ