Category Archives: ประโยคสนทนาภาษาอังกฤษ

การขออนุญาตในภาษาอังกฤษ (asking for permission)

การขออนุญาติ ภาษาอังกฤษ

การขออนุญาตในภาษาอังกฤษ (asking for permission)

เวลาที่เราจะขออนุญาตคนอื่นทำอะไรก็ตาม ปกติแล้วก็มักจะใช้ภาษาสุภาพ ในภาษาอังกฤษก็เช่นกัน ปกติแล้วในภาษาอังกฤษเวลาขออนุญาตมักจะพูดเป็นประโยคคำถามว่าฉันสามารถทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้หรือไม่   มีหลายประโยคและหลายสำนวนที่ใช้พูดเพื่อขออนุญาต ดังนี้ค่ะ

1. การใช้ can / could

Can กับ Could ความหมายทั่วไปจะใช้ในการพูดถึงความสามารถ แต่can / could จะใช้การขออนุญาตได้ด้วย โดยเขียนหรือพูดในเชิงประโยคคำถาม โดยการใช้ could จะสุภาพกว่าการใช้ can เช่น

  • Can I use your computer?
    ฉันขอใช้คอมพิวเตอร์ได้มั้ยคะ

** ถ้าต้องการให้สุภาพมากขึ้นก็ใช้ could และอาจจะเติม please ไว้ด้านหลังก็ได้ค่ะ

  • Could I use your computer, please?
  • Can I have your name please?
    ขอทราบชื่อคุณหน่อยได้มั้ยคะ
  • Could you move over, please?
    คุณช่วยกรุณาขยับไปหน่อยได้มั้ยคะ

 2. การใช้ may

May ปกติจะใช้ในการคาดการณ์ แปลว่า “อาจจะ” เวลาที่เรานำมาขออนุญาตจะใช้ในรูปประโยคคำถาม เช่น

  • May I turn off the fan?
    ขออนุญาตปิดพัดลมได้มั้ยคะ
  • May I go out please?
    ขออนุญาตออกไปข้างนอกได้มั้ย
  • May I use your camera?
    ขอใช้กล้องถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยคะ

3. ใช้ Do you mind if ……..?   /   Would you mind if ………….?

mindในที่นี้หมายถึง รังเกียจ เวลาขออนุญาต ใช้เป็นประโยคคำถามก็ได้

เช่น

  • Do you mind if I sit here?
    คุณจะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันจะนั่งตรงนี้
  • Would you mind if I borrow you cell phone?
    คุณจะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันจะขอยืมโทรศัพท์มือถือคุณหน่อย

** ที่กล่าวมาแล้วเป็นการแสดงการขออนุญาตแบบประโยคคำถาม แต่ถ้าเป็นประโยคบอกเล่าอาจจะใช้คำว่า canหรือ mayเช่น

  • You may use the computer.
    เชิญคุณใช้คอมพิวเตอร์ได้
  • You can borrow my money.
    คุณจะยืมเงินฉันก็ได้นะ

แต่ถ้าเป็นการพูดว่าไม่อนุญาต จะใช้คำว่า mustn’t กับ can’tเช่น

  • You mustn’t park here.
    คุณห้ามจอดรถที่นี่
  • You can’t smoke in the building.
    ห้ามสูบบุหรี่ในอาคาร

เวลาเจอฝรั่งพูดเร็ว ไม่เข้าใจ ให้ทำไง?

เวลาเจอฝรั่ง พูดเร็วภาษาอังกฤษเร็ว

เวลาเจอชาวต่างชาติพูดภาษาอังกฤษเร็ว ไม่เข้าใจ ให้ทำไง?

ปัญหาหนึ่งเวลาพูดกับชาวต่างชาติคือ เวลาเจอฝรั่งพูดเร็วๆ รัวๆ ลิ้นแทบจะพันกัน คนฟังก้อหูแทบจะพันกัน เลยทำใหคนกลัวไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ
แต่!! เป็นเรื่องปกตินะที่เราอาจจะไม่คุ้นกับสำเนียง หรือจับความไม่ทัน จริงๆฝรั่งเค้าก้อไม่ได้พูดเร็วอะไร ก้อเหมือนเราพูดภาษาไทยนี่แหละ สปีดปกติที่ราพูดกัน เพียงแต่เราไม่ชินแค่นั้นเองค่ะ
….เวลาเราฟังไม่ทันก้อจะมีประโยคที่พูดเพื่อบอกให้เค้าพูดใหม่ หรือพูดช้าลง หรือพูดเสียงดังขึ้น…เริ่มจากประโยคเลเวลง่ายๆกันก่อนค่ะ

** sorry?

ปกติ sorry แปลว่า ขอโทษ แต่ ถ้าพูดเป็นประโยคคำถาม จะออกเสียงว่า “ซ่อหริ๊” จะหมายถึง “อะไรนะคะ?/อะไรนะครับ?” เวลาที่เราฟังเค้าพูดไม่ทัน หรือจะใช้คำว่า

  • pardon? (พาร์ด๊อน?)
    อะไรนะคะ/อะไรนะครับ

เป็นประโยคคำถามเหมือนกัน หรือถ้าอยากได้เวอร์ชั่นยาวๆหน่อยก็บอกว่า

  • I beg your pardon? (ไอ เบ๊ก ยอร์ พาร์ด๊อน). ก็ได้ค่ะ

** ถ้าเป็นแบบทางการอีกนิดนึง ก้อให้ถามว่า

  • Can you repeat that please?
    (แคน ยู รีพี๊ท แด้ท พล๊ีส)
    กรุณาพูดใหม่ได้มั้ย
  • หรือ Can you say that again please?
    ก้อแปลเหมือนกันคือให้เขาพูดใหม่

หรือจะบอกว่า

  • I’m sorry. What did you say?
    ขอโทษนะ เมื่อกี๊คุณพูดว่าอะไรนะ

แต่ถ้าอยากให้เขาพูดช้าลงหน่อย ก้อบอกว่า

  • Can you please slow down?
    (แคน ยู พลี๊ส สโลว์ ดาวน์)
    ช่วยพูดช้าลงหน่อยได้มั้ย

หรือ

  • Could you speak slowly please?
    คุณช่วยพูดช้าลงได้มั้ย

ถ้าเราฟังในสิ่งที่เค้าไม่เข้าใจ หรือยังมึนๆงงๆอยู่ ก็อาจจะพูดว่า

  • I’m sorry. I didn’t get you. หรือ I’m sorry. I didn’t get what you said.
    ขอโทษนะคะ/นะครับ ฉัน/ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด
  • I’m sorry. I didn’t catch what you said.
    ขอโทษนะคะ/นะครับ ฉัน/ผมฟังไม่ทัน
  • I’m sorry. I didn’t keep up with what you said.
    ขอโทษนะคะ/นะครับ ฉัน/ผมฟังไม่ทัน

คราวนี้ก้อไม่ต้องกลัวแล้วว่าถ้าฟังฝรั่งไม่รู้เรื่องจะต้องวิ่งหนี สปี๊คประโยคข้างบนนี้ใส่ เดี๋ยวก้อรู้เรื่องเอง ถ้าถามหลายๆรอบแล้วเรายังฟังไม่รู้รื่อง เดี๋ยวฝรั่งเค้าก้อเดินหนีเราไปเอง

ลองเอาไปฝึกพูดดูนะคะ มีหลายประโยค หลายระดับความยากง่ายให้เลือกใช้

อ่านเพิ่มเติม การออกเสียงสูงต่ำในภาษาอังกฤษ (Intonation)

help! help! คำนี้ใช้ยังไง

help ในภาษาอังกฤษ

help! help! คำนี้ใช้ยังไง

คำว่า help ดูเหมือนว่ามันจะใช้ยังไงก็ได้ใช่มั้ย แต่มันมีหลักการของมัน เช่น เวลาที่เราต้องการจะบอกว่า ใครช่วยทำอะไร หรือเราช่วยทำอะไร จะต้องพูดว่ายังไง มาดูโครงสร้างที่ใช้ help กันค่ะ ว่าใช้ได้กี่แบบ

1.  …help + Verb infinitive   (ช่วยทำอะไร)

help ในกรณีนี้จะตามด้วยกริยาที่เป็นรูปเดิม ไม่ผันไม่เติม ถึงแม้ว่าจะเป็น tense ที่ไม่ใช่ present tense

  • She helped cook dinner.
    หล่อนช่วยทำอาหารเย็น
  • My sister always helps do my homework.
    พี่สาวฉันช่วยฉันทำการบ้านอยู่บ่อยๆ

2.  ….help someone (to) do something (ช่วยใครทำอะไร)

  • I’ve helped him hold the meeting.
    ฉันช่วยเขาจัดงานประชุม
  • He helped me carry the luggage.
    เขาช่วยฉันยกกระเป๋าเดินทาง

3. Help ในสำนวน can’t help + Ving (อดไม่ได้ / ทนไม่ได้)
help ในสำนวนนี้จะต้องตามด้วย กริยาเติม ing เสมอ เช่นตัวอย่างประโยคต่อไปนี้

  • I can’t help asking him about his rumor.
    ฉันอดไม่ได้ที่จะถามเขาเรื่องข่าวลือ
  • She can’t help falling for him because he is very nice.
    เธออดไม่ได้ที่จะตกหลุมรักเขาเพราะเขาเป็นคนน่ารัก

** ข้อสังเกตคือเวลาที่เราจะผัน tense ให้เราผันที่คำว่า help เช่น ถ้าเป็น present continuous tense

  • She’s helping me to tidy up the room.
    เธอกำลังช่วยฉันจัดห้อง

(ผัน present continuous tense ที่คำว่า help ส่วนกริยาหลัง help เป็นรูปเดิม ไม่เติมไม่ผัน หรือ infinitive)

อ่านเพิ่มเติม สำนวน Help yourself

just แปลได้มากกว่า “แค่”

just แปลได้มากกว่า “แค่”

just แปลได้มากกว่า “แค่”

คำว่า just ฟังดูเป็นคำง่ายๆนะ แต่เอาเข้าจริงเวลามันโผล่ในประโยคต่างๆก็ทำเอาเรางงได้เหมือนกัน ปกติเราจะรู้จัก just ในความหมายว่า “แค่ หรือ เพิ่งจะ” แค่นั้น แต่จริงๆแล้วมันมีความหมายมากกว่านั้น มาดูความหมายของ just ในความหมายต่างๆกันค่ะ

1. Just ก็แปลว่า “แค่”

ในความหมายนี้ just จะทำหน้าที่เป็น adverb (กริยาวิเศษณ์) เป็นความหมายที่เรารู้จักคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เช่น

  • I just want to warn you not to be rude with me.
    ชั้นก็แค่อยากจะเตือนคุณว่าอย่ามาหยาบคายกับฉัน
  • My shop is just across the road.
    ร้านของฉันอยู่แค่ฝั่งตรงข้ามเอง

** หรือในบางความหมายเราอาจจะแปลว่า “แค่….แหละ” เพื่อให้ได้อารมณ์ภาษาพูด เช่น

  • Just like that.
    แบบนั้นแหละ
  • Just do it.
    แค่ทำมันเท่านั้นแหละ
  • Just be yourself.
    แค่เป็นตัวเองเท่านั้นแหละ

2. Just ในความหมายว่า “เพิ่งจะ”

  • We just got here.
    พวกเราเพิ่งจะมาถึงที่นี่
  • I’ve just had dinner.
    ฉันเพิ่งจะกินอาหารเย็น

3. ถ้าพูดถึงเรื่องเวลา จะหมายถึงว่า “พอดี ตรงเผง” เช่น

  • I reached home just at 5 o’clock.
    ฉันถึงบ้านตอน 5 โมงพอดี
  • The meeting began just at 9 a.m.
    การประชุมเริ่มตอน 9 โมงพอดีเป๊ะ

** ถ้าjust ไปรวมกับ now เป็น just now จะแปลว่า เมื่อกี้นี้, เมื่อสักครู่นี้ เช่น

  • The light went out just now.
    ไฟดับเมื่อกี้นี้เอง

4. Just แปลว่า “เที่ยงตรง, ยุติธรรม” เช่น

  • He’s a just man.
    เขาเป็นคนยุติธรรม
  • It was a just sentence for the drug seller to get life in jail.
    มันเป็นการตัดสินที่ยุติธรรมแล้วสำหรับพ่อค้ายาเสพติดคนนั้นที่จำคุกตลอดชีวิต

เอาเป็นว่า เจอ just ที่ไหนก็อย่าแปลว่า “แค่ หรือ เพิ่งจะ” อย่างเดียว ลองดูบริบทแล้วแปลความหมายอื่นบ้างนะคะ ^^

ใช้ only ยังไงให้ความหมายไม่เพี้ยน

This weekend only

ใช้ only ยังไงให้ความหมายไม่เพี้ยน

หลายคนยังสับสนกับการใช้ only เพราะไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนในประโยค หลักง่ายๆในการใช้ only คือ “ต้องการขยายคำไหน ให้วาง only ไว้ใกล้ๆกับคำนั้น”

ลองเปรียบเทียบประโยคข้างล่างดูนะคะ

  • Only I hit him in the eye yesterday.
    ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ตีเขาที่ตาเมื่อวานนี้ (ไม่มีคนอื่นทำนอกจากฉัน)
  • I only hit him in the eye yesterday.
    ฉันตีเขาเท่านั้นที่ตาเมื่อวานนี้ (ฉันตีอย่างเดียว ไม่ได้ต่อย ไม่ได้ตบเขา)
  • I hit only him in the eye yesterday.
    ฉันตีแค่เขาเท่านั้นที่ตาเมื่อวานนี้ (ฉันไม่ได้ตีคนอื่นนอกจากเขา)
  • I hit him only in the eye yesterday.
    ฉันตีเขาแค่ด้านในตาเท่านั้นเมื่อวานนี้ (ไม่ได้ตีที่นอกตา ตีด้านในตาเขาเท่านั้น)
  • I hit him in only the eye yesterday.
    ฉันตีเขาที่ตาเท่านั้นเมือวานนี้ (ไม่ได้ตีที่ส่วนอื่นของร่างกาย)
  • I hit him in the eye only yesterday.
    ฉันตีเขาที่ตาแค่เมื่อวานเท่านั้น (วันอื่นไม่ได้ตี)
  • I hit him in the eye yesterday only.
    ฉันตีเขาที่ตาเมื่อวานนี้เท่านั้น (วันอื่นไม่ได้ตี มีความหมายใกล้เคียงกับประโยคด้านบน)

** เห็นมั้ยคะว่าถ้าวางตำแหน่งไม่เหมือนกัน ส่วนที่ไปขยายก็ไม่เหมือนกันแล้ว ฉะนั้นเวลาจะเลือกใช้ก็ระวังนิดนึงนะคะ

เพิ่มเติมนิดนึงคือ ถ้า only อยู่แทรกกลางระหว่าง คำแสดงความเป็นเจ้าของ กับ คำนาม จะแปลว่า “มีเพียงหนึ่ง” เช่น

  • My only child           ลูกเพียงคนเดียวของฉัน
  • His only hope          ความหวังเดียวของเขา
  • Their onlyhouse      บ้านหลังเดียวของพวกเขา

** การใช้ onlyขยายคำนาม + adj. clause
การใช้ only ที่ขยายคำนาม แล้วตามด้วย adjective clause นั้นมีสองกรณีคือ

1. เมื่อ only ทำหน้าที่แยกคำนามนั้นออกจากนามอื่นๆ จะไม่ใส่ comma หน้าและหลัง adjective clause หรือ relative clause และใช้ that เป็น relative pronoun เช่น

  • He is the only student that I saw here.
    เขาเป็นนักเรียนแค่คนเดียว(จากนักเรียนคนอื่นๆ) ที่ฉันเห็นที่นี่

2. ถ้า only ขยายคำนามนั้นเพื่อแสดงว่า มีเพียงหนึ่ง จะใช้ that เป็น relative clause ไม่ได้ และต้องใส่ comma หน้าและหลัง relative clause นั้น เช่น

  • My only child, who works in Bangkok, is going to get married.
    ลูกคนเดียวของฉันที่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ กำลังจะแต่งงาน

การใช้ hope (hope กับ wish ต่างกันอย่างไร)

hope กับ wish ต่างกันอย่างไร

การใช้ hope (hope กับ wish ต่างกันอย่างไร)

Hope เป็นคำนามก็ได้แปลว่า ความหวัง แต่ถ้าเป็นกริยาจะแปลว่า หวัง   บางคนก็อาจจะคิดว่า hope กับ wish มันใช้แทนกันได้ แต่จริงๆแล้วมันมีข้อแตกต่างในการใช้ 2 ตัวนี้อยู่เล็กน้อยค่ะ

ปกติ wish เราจะใช้แสดงความปรารถนาหรือต้องการที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หรือ เป็นไปได้น้อยมากๆ หรือแสดงความปรารถนาในอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้วว่าอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นไปไม่ได้ และรูปประโยคที่ใช้ก็จะเป็นรูปอดีตเสียส่วนใหญ่

แต่ hope จะเป็นการแสดงความหวังหรือความปรารถนา ในอนาคตซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูงกว่าการใช้ wish และรูปโครงสร้างประโยคที่ใช้ก็จะเป็น present tense หรือ future tense ซึ่ง wish มักจะไม่ใช้คู่กับ present tense

ลองเปรียบเทียบ 2 ประโยคนี้นะคะ

  • I wish I could go to your wedding party.
  • I hope I can go to your wedding party.

สองประโยคนี้ความหมายที่สื่อออกมาจะต่างกัน

ประโยคแรกใช้ wish ความหมายที่ออกมาจะเป็นเชิงลบคือ ฉันอยากจะไปงานแต่งงานของคุณ แต่ไม่สามารถไปได้เพราะติดธุระบางอย่าง

แต่ประโยคที่สองที่ใช้ hope นั้นคือการแสดงความปรารถนาหรือความหวังว่าฉันจะสามารถไปงานแต่งงานของคุณที่กำลังจะจัดขึ้นได้ ซึ่งดูแล้วมีความเป็นไปได้สูงว่าจะไปได้เพราะไม่มีธุระที่ไหนหรือติดงานสำคัญอะไร

ลองมาดูโครงสร้างการใช้ hope กันบ้าง

1.  hope + to infinitive
เช่น

  • I hope to get a scholarship to study abroad.
    ฉันหวังว่าฉันจะได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ
  • I hope to hear from you soon.
    ฉันหวังว่าจะได้รับข่าวจะคุณเร็วๆนี้

2. hope + (that) + clause (ประโยค)
เช่น

  • I hope that it will not happen again.
    ฉันหวังว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
  • I hope she accept my apology.
    ฉันหวังว่าเธอจะรับคำขอโทษจากฉัน
  • I hope that everything goes well.
    ฉันหวังว่าทุกอย่างจะไปได้สวย

3. hope + for + Noun
เช่น

  • I hope for your kind consideration.
    ฉันหวังว่าจะได้รับการพิจารณาจากคุณ
  • I’m hoping for picture from my mom.
    ฉันกำลังรอรูปจากแม่

** สังเกตมั้ยคะว่า tense หลัง hope จะเป็น present tense หรือ future tense ทั้งนั้น ไม่มีรูปอดีตเลย

การใช้ wish แสดงความปรารถนา

การใช้ wish แสดงความปรารถนา

การใช้ wish แสดงความปรารถนา

Wish ใช้ได้ในสองสถานการณ์หลักๆ คือ แสดงความปรารถนา และ การอวยพร แต่ในที่นี้เราจะมาอธิบายการใช้wish เพื่อแสดงความปรารถนาของผู้พูด โดยความปรารถนาที่จะพูดถึงนี้ก็มีหลายรูปแบบด้วยกันดังนี้ค่ะ

1. Wish+ to + V(infinitive) : ใช้พูดแสดงความต้องการ มีความหมายเหมือนกับ want หรือ would like to แต่มีความสุภาพมากกว่า เช่น

  •  Do you wish to move the seat?
    คุณอยากจะเปลี่ยนที่นั้งมั้ย
  • I wish to see your boss.
    ฉันอยากจะพบเจ้านายของคุณ

2. Wish + past simple :   ใช้แสดงความปรารถนาที่ตรงข้ามกับความจริงในปัจจุบัน ซึ่งเราอยากให้เป็นอย่างที่เราฝัน แต่มันเป็นไปได้ยากเหลือเกิน เช่น เราเห็นเพื่อนได้ไปทำงานในอเมริกา แล้วเราก็อยากไปบ้าง แต่มีโอกาสน้อยมากๆที่เราจะได้ไป เราก็บอกว่า

  • I wish I could work in America.

ตัวอย่างอื่นๆ

  • I wish I were a superman.
    (ปกติแล้วหลัง I ต้องเป็น was ใช่มั้ยคะ แต่ถ้าตามหลังwish ให้ใช้ were ค่ะ)
  • I wish it were Sunday today so I could sleep more.
    ฉันอยากให้วันนี้เป็นวันอาทิตย์ฉันจะได้นอนยาวๆ

3. Wish + past continuous : ใช้แสดงความปรารถนาว่าตอนนี้เรากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ แต่เราไม่ได้กำลังทำอยู่ เช่น วันนี้ติดประชุมเลยไม่ได้ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อน คุณเลยบอกเพื่อนว่า

  • I wish I was having dinner with you at The Moroccan restaurant.
    ฉันได้แต่หวังว่าจะได้ไปกินข้าวที่ร้านThe Moroccan กับคุณตอนนี้ (ตอนนี้ไปไม่ได้ ติดประชุมอยู่)
  • I wish we were enjoying the trip in Japan.
    ฉันได้แต่หวังว่าพวกเราจะกำลังสนุกกับทริปในญี่ปุ่น (แต่ตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะอาจจะกำลังติดงานหรือติดธุระอยู่ เลยไม่ได้ไป)

4. Wish + past perfect : ใช้แสดงความปรารถนาที่เป็นไปไม่ได้ในอดีต คือหวังว่าเราน่าจะได้ทำอย่างนั้นแต่ไม่ได้ทำ กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เช่น

  • I wish we hadn’t known each other.
    ฉันอยากให้เราไม่ต้องมารู้จักกันเลยจะดีกว่า (ตอนนี้ได้รู้จักไปแล้ว และเขาก็ได้ทำไม่ดีกับเรา)
  • I wish I had told him about Jenny.
    ฉันน่าจะบอกเขาไปเรื่องเจนนี่ (แต่ไม่ได้บอก)
  • Sometimes I wish I had never been born.
    บางทีฉันก็คิดนะว่าฉันไม่น่าเกิดมาเลย (ตอนนี้เกิดมาแล้ว)

5. Wish + would / could : ใช้แสดงความไม่พอใจกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน คาดหวังให้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น

  •  I wish he could speak louder.
    ฉันอยากจะให้เขาพูดดังกว่านีหน่อย (ตอนนี้พูดเบาไป ไม่ได้ยิน)
  • I wish you would stop smoking.
    ฉันหวังให้คุณเลิกสูบบุหรี่ซะที

through, though, thought มันยังไงกันแน่ สามคำนี้??

through, though, thought ในภาษาอังกฤษ

through, though, thought   มันยังไงกันแน่ สามคำนี้??

สามคำเจ้าปัญหานี้ through, though, thought ใครเจอพร้อมๆกันเป็นต้องมึน เพราะแต่ละตัวความหมายนี่ไม่เหมือนกันเลย อ่านออกเสียงก็ยังไม่เหมือนกันอีก มาดูกันสิว่าแต่ละคำมันหมายถึงอะไรและออกเสียงว่ายังไงกันบ้าง

Through :อ่านออกเสียงว่า “ธรู” แปลว่า “ทะลุผ่าน, ผ่าน, โดยตลอด, ตั้งแต่ต้นจนจบ, เสร็จสมบูรณ์”
เช่น

  • That old lady guided us through the castle.
    หญิงชราคนนั้นพาเราเยี่ยมชมปราสาททั้งหลัง
  • I’ve sat through this boring meeting for 2 hours.
    ฉันนั่งอยู่ในการประชุมที่แสนน่าเบื่อนี้มาตลอด 2 ชั่วโมงแล้ว
  • This shop is open ten to six daily through the year.
    ร้านนี้เปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็นทุกวัน ตลอดทั้งปี

Though :อ่านออกเสียงว่า “โด” แปลว่า “ถึงแม้ว่า” มีความหมายเหมือนกับ although, even though
เช่น

  • Though I studied hard, I can’t pass the test.
    แม้ว่าฉันจะขยันอ่านหนังสือหนักแค่ไหน ก็ยังสอบไม่ผ่านอยู่ดี
  • I still love him though he never loves me back.
    ฉันยังรักเขาแม้ว่าเขาจะไม่เคยรักฉันเลย
  • Losing weight is very hard, I have to lose it though.
    ถึงแม้ว่าการลดน้ำหนักจะยากแต่ฉันก็ต้องลดให้ได้

Thought :อ่านออกเสียงว่า “ธ๊อด”   แปลว่า “คิด” เป็นกริยาช่องที่ 2 ของ think
เช่น

  • I thought I was a good play.
    ฉันคิดว่ามันเป็นการแสดงที่ดี
  • I’ve never thought that this happened to me.
    ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นกับฉัน
  • She thought she could win the game.
    หล่อนคิดว่าหล่อนจะสามารถเอาชนะได้

เอาไปใช้ที่ไหน ก็ระวังตัวสะกดนึดนึงนะคะ หรือ ถ้าไปเจอที่ไหนคราวนี้ก็คงไม่สับสนเรื่องการออกเสียงและการใช้แล้วนะคะ ^^

การบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ

การบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ

การบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ

การบอกเวลาในภาษาอังกฤษมีทั้งแบบง่ายและแบบยากค่ะ ก่อนอื่นก่อนจะไปดูว่าเราจะบอกเวลาอย่างไร เรามาดูคำถามที่ใช้ถามว่า ตอนนี้เวลาเท่าไหร่กันก่อนค่ะ

คำถามเบสิค เลย คือถามว่า What time is it?                กี่โมงแล้ว

แต่บางครั้งคุณก็อาจจะได้ยินเขาถามว่า What’s the time?หรือ   Do you have the time? หรือ Have you got the time?งงใช่มั้ยล่ะ!! สามประโยคนี้ไม่น่าจะแปลว่า “ตอนนี้เป็นเวลากี่โมง” ได้ใช่มั้ยคะ แต่มันเป็นไปแล้วค่ะ

และในการบอกเวลาก็จะมีช่วงเวลาอยู่ 2 ช่วงด้วยกันเพื่อไม่ให้เกิดสับสนว่า เป็นตอนเช้าหรือตอนเย็น คือ

am ช่วง เที่ยงคืน ถึง เที่ยงวัน
pmคือช่วง เทียงวัน ถึง เที่ยงคืน

คราวนี้มาดูวิธีการตอบบ้าง เริ่มจากแบบง่ายๆก่อน

การบอกเวลาแบบง่าย
วิธีการก็คือให้บอกชั่วโมงก่อน แล้วตามด้วย นาที เช่น

3.30 pm        three thirty pm        (ทรี – เธอร์ตี้ – พีเอ็ม)                    บ่ายสามโมงครึ่ง
10.05 am     ten oh five              (เท็น – โอ – ไฟว์)               สิบโมงเช้าห้านาที

** ถ้ามีนาทีเป็นเลขตัวเดียวให้อ่านเลขศูนย์ข้างหน้าเป็น Oh

ง่ายมั้ยคะแบบนี้ บอกเวลาตรงตัวไปเลย

การบอกเวลาแบบยาก
อันที่จริงมันก็ไม่ได้ยากอะไร เพียงแต่มันจะต้องมีการคำนวนนาทีเล็กน้อย ทำยังไงมาดูกันค่ะ

การบอกเวลาแบบนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ

ตั้งแต่นาทีที่ 1 – 30 ฝรั่งจะพูดว่า จะพูดว่า มันคือ………..นาที ผ่าน………….นาฬิกา
(It’s …….past……..)เป็นการบอกว่า ผ่านเวลานั้นมากี่นาทีแล้ว

ตั้งแต่นาทีที่ 31 -59 จะต้องนับถอยหลังว่า มันคือ…………นาที จะถึง………..นาฬิกา
(It’s ……..to………)ถ้าเลย30 นาทีจะเป็นการนับถอยหลังว่าอีกกี่นาทีจะถึงเวลากี่โมง

แต่ถ้าเป็น 15 นาที หรือ 45 นาที ก็จะใช้คำว่า quarter ค่ะ เช่น

11.25 am      It’s twenty past eleven.     (ผ่านเวลา 11 โมงมา 25 นาที)
5.40 pm        It’s twenty to six.              (อีก 20 นาทีจะถึง 6 โมง)
3.45 am        It’s quarter to four.            (อีก 15 นาทีจะถึง 4 โมง)
2.15 pm        It’s quarter past two.         (ผ่านเวลา 2 โมงมา 15 นาที)

บอกแล้วว่าต้องมีการคำนวณนาทีเล็กน้อย แบบนี้อาจจะดูยุ่งยากซักหน่อย ไม่เหมือนแบบที่พี่ไทยพูดกัน แต่ถ้าพูดบ่อยๆก็จะชินค่ะ

แต่ทั้งสองแบบนี้ถ้าเป็นเวลาที่ไม่มีเศษนาทีให้พูดว่า o’clock ได้เลยค่ะ เช่น

4.00                        It’s four o’clock.

จะเลือกใช้แบบไหนก็ลองฝึกกันเลยค่ะ

make ใช้ยังไงให้เก๋

make ในภาษาอังกฤษ

make ใช้ยังไงให้เก๋

Make เป็นคำศัพท์ง่ายๆ แปลว่า “ทำ” แต่แทนที่เราจะพูดว่า

  • She made a cake last night.
    เธอทำเค้กเมื่อคืนนี้
  • My mom’s making dinner.
    แม่กำลังทำอาหารเย็นอยู่

ซึ่งมันเป็นประโยคธรรมด๊าธรรมดา มันก็มีโครงสร้างที่ใช้ make ในประโยคได้หลากหลายรูปแบบกว่านี้ค่ะ

1. Make + object/someone + verb (infinitive)แปลว่า ทำให้อะไรบางอย่าง / ใครบางคน…..ให้ทำอะไรซักอย่าง

เช่น

  • He always makes me cry.
    เขามักจะทำให้ฉันร้องไห้
  • I can’t make the printer work.
    ฉันทำให้เครื่องปริ้นท์ทำงานไม่ได้
  • She’s making her child laugh
    เธอกำลังทำให้ลูกๆของเธอหัวเราะ

** make เราก็ผันได้ตาม tense เลยค่ะ แต่กริยาหลังmake ต้องเป็นรูป infinitive คือกริยารูปเดิมไม่ผันไม่เติมอะไรใดๆทั้งสิ้นค่ะ

2. Make + someone / object + adjective/ nounแปลว่า ทำให้ใครหรืออะไรบางอย่าง…..เป็นอย่างไรหรือเป็นอะไร

เช่น

ตามด้วย adjective

  • You’ve just made my watch broken.
    เธอเพิ่งจะทำนาฬิกาฉันพัง
  • She made the story more interesting.
    หล่อนทำให้เรื่องดูน่าสนใจมากขึ้น
  • He can make the speech so meaningful.
    เขาทำให้สุนทรพจน์นั้นมีความหมาย

ตามด้วย noun

  • He makes his wife the luckiest woman in the world.
    เขาทำให้ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก
  • You make me a better man.
    คุณทำให้ฉันเป็นคนที่ดีขึ้น

3. Make someone do somethingmake ในความหมายนี้เป็นเชิงบังคับให้ใครทำอะไร กริยาที่ตามหลังจะต้องเป็น Verb infinitive เช่น

  • They made us work 12 hour a day.
    พวกเขาบังคับให้พวกเราทำงาน 12 ชั่วโมงต่อวัน

Make ในความหมายว่า บังคับ อาจจะใช้ในอีกโครงสร้างหนึ่งคือ

  • Be made to do something (passive voice)

เช่น

  • When I was young, I was made to remember 20 new words a week.
    ตอนเด็กๆฉันโดนบังคับให้จำคำศัพท์ใหม่ 20 คำต่อสัปดาห์

** เห็นมั้ยคะว่า make มันทำให้เป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนมากกว่าเดิมได้เยอะเลย