Category Archives: เรียนภาษาอังกฤษกับ English 360 องศา

Why the long face? ทำไมคุณดูเศร้าจัง

Why the long face? ทำไมคุณดูเศร้าจัง

Why the long face??

หลายคนพอเจอคำถามนี้ อาจจะนอยด์นิดหน่อยว่ามายุ่งอะไรกับหน้าชั้น มันจะสั้นจะยาวก็หน้าชั้น หรือพาลตอบไปว่า ก็หน้าแบบนี้แม่ให้มา เพราะคุณดันไปคิดว่าเขาถามว่า “ทำไมคุณถึงหน้ายาว” ใครคิดแบบนี้สารภาพมาเลยค่ะ เพราะครั้งแรกที่เห็น แอดมินก็แปลแบบนี้แหละ ^^

เอาล่ะ!! มาดูความหมายจริงๆกันดีกว่าค่ะ
long face ก็หมายถึง หน้าตาแบบเศร้าๆ กลุ้มใจ หน้าตายุ่งเหยิงไม่สบายใจ หรืออารมณ์แบบหน้าบึ้งหน้าบูดก็ได้
ดังนั้นที่ถามว่า Why the long face? มันจึงแปลว่า “ทำไมคุณดูเศร้าจัง”

แต่ประโยคนี้ Why the long face? เนี่ย จะสังเกตว่าจริงๆแล้วมันผิดไวยากรณ์นะคะเพราะมันไม่มี verb แต่เขาก็พูดกัน เป็นภาษาพูดแบบสั้นๆง่ายๆ คงย่อมาจากประโยคที่ว่า
Why do you have a long face? นั่นแหละค่ะ

มาดูตัวอย่างกันดีกว่า

  • He has a long face because he was fired last week.
    เขาดูเศร้าๆเพราะถูกไล่ออกจากงานเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
  • A: Why does she has a long face?
    ทำไมเจ้าหล่อนดูหน้าบูดงั้นอ่ะ
    B: The boss has just got on her case about her work.
    เธอเพิ่งจะโดนเจ้านายเล่นงานมาน่ะสิ

*** แต่ถ้าเห็นใครหน้าตาแจ่มใส มีความสุขละก็ คงไม่ต้องไปถามเขานะคะว่า Why the short face? เพราะเห็นว่ามันตรงข้ามกับ long face อันนี้ไม่มีนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน under the weather รู้สึกไม่ค่อยดี ไม่ค่อยสบาย

สำนวน under the weather

# สำนวน under the weather

หายจากการโพสไปสองสามวัน เพราะแอดมินมีภารกิจนิดหน่อย แล้วช่วงนี้แอดมินก็มีอาการ

  • “I’m feeling under the weather.” ค่ะ

สำนวนนี้แปลว่า “รู้สึกไม่ค่อยดี ไม่ค่อยสบาย” มีความหมายเหมือนกับ I’m not feeling well. หรือ I’m sick ค่ะ ไม่ได้แปลว่า เรารู้สึกไปอยู่ใต้อากาศนะคะ ^^

** ถ้าใครมีอาการเหมือนแอดมินตอนนี้ก็ขอให้หายไวๆ get better soon นะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การใช้คำว่า such

การใช้คำว่า such

# การใช้คำว่า such

such ก็เป็นอีกคำหนึ่งที่ทำเอาแอดมินปวดหัวเวลาไปเจอมันในประโยค เพราะไม่รู้จะแปลประโยคออกมาว่ายังไง ไปเปิดพจนานุกรมก็ให้ความหมายไว้เยอะซะเหลือเกิน วันนี้เลยเขียนเรื่องนี้ซะเลย

เอาละค่ะ!! อย่างที่บอก such เนี่ยเป็นศัพท์เทพๆที่มีหลายความหมาย หลากหลายการใช้งาน มาดูทีละความหมายเลยค่ะ

*** such ที่แปลว่า “เช่นนั้น, เช่นนี้” ส่วนมากก็เอาไว้อ้างถึงสิ่งที่เราได้กล่าวไปแล้ว เช่น

  • There are many kinds of junk food nowadays. Such food isn’t good for our health.
    ทุกวันนี้มีอาหารขยะอยู่หลายประเภทเลย อาหารแบบนั้นน่ะมันไม่ดีต่อสุขภาพของเรา
    ( such food ในที่นี้หมายถึง junk food)
  • He’s so picky. Such person is damn annoying.
    เขาเป็นพวกเรื่องมาก เรื่องเยอะ คนแบบนี้โคตรน่ารำคาญเลย

หรือนำไปใช้ร่วมกับคำว่า as เป็น as such ก็จะแปลว่า อย่างนั้น, อย่างนี้, แบบนั้น, แบบนี้ เช่น

  • He’s a good teacher, so you shouldn’t talk about him in a bad way as such.
    เขาเป็นครูที่ดีนะ คุณไม่ควรไปพูดถึงเขาในทางที่ไม่ดีแบบนั้น

“as such” เอาไปใช้ได้ในอีกความหมายนึงก็ได้ คือใช้เพื่อขยายความว่า คำที่คุณพูดมาน่ะไม่ใช่ ไม่ถูกต้องนัก ไม่เป็นจริง ฉะนั้นมันก็เลยมักจะตามหลังคำนาม อ้อ! แล้วก็ส่วนใหญ่ใช้ในประโยคที่ปฏิเสธนะคะ เช่น

  • She’s not really a doctor as such. She just works in a hospital.
    เธอก็ไม่ใช่หมออะไรหรอก ก็แค่ทำงานในโรงพยาบาล
    (ขยายความว่าเธอน่ะ ไม่ใช่หมอจริงๆ)
  • It’s not a big mall as such, but I go there often because it’s near my house.
    มันก็ไม่ใช่ห้างใหญ่โตอะไรนักหรอก แต่ที่ฉันไปที่นั่นบ่อยก็เพราะว่ามันใกล้บ้านฉัน
    (ขยายความว่า ห้างน่ะไม่ได้ใหญ่อย่างที่คุณเข้าใจหรอก)

(** อย่าสับสนกับ such as นะคะ เพราะ such as แปลว่า “ตัวอย่างเช่น” ค่ะ )

หรือถ้าเจอ such ใช้กับ that เป็น such that ก็จะแปลประมาณว่า “แบบที่, อย่างที่” มักใช้ตามหลัง Verb to be เช่น

  • Their relationship is such that they spend every possible minute together.
    ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบว่า พวกเขาจะใช้เวลาทุกๆนาทีที่พอจะหาได้อยู่ด้วยกันเลยทีเดียว

หรือคำนี้ก็มักจะเจอบ่อย in such a way that ก็แปลได้คล้ายๆอย่างนี้เหมือนกันนะคะ เช่น

  • Treat others in such a way that you want yourself to be treated.
    พึงปฏิบัติต่อผู้อื่นในแบบที่คุณต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติกับคุณ

*** such เอาไปใช้เน้นความหมายก็ได้ ซึ่งก็คล้ายเวลาที่เราใช้ so เพื่อเน้นว่า มาก เช่น She’s so beautiful เธอสวยมากๆเลย แต่ so จะใช้กับ adjective นะคะ ส่วน such จะต้องใช้กับ Noun ค่ะ มาดูตัวอย่างกัน

  • It’s such a good weather today.
    วันนี้อากาศดีจริงๆ
  • It’s such a difficult test! I couldn’t finish it in time.
    ข้อสอบนี่โคตรยากเลย ฉันทำไม่ทันเลย
  • If it’s such a secret, why did you tell me?
    ถ้ามันเป็นความลับขนาดนั้นแล้วเธอมาบอกชั้นทำไม

(อย่าลืมนะคะ!! such ต้องตามด้วยคำนาม หรือ กลุ่มคำนามเท่านั้นค่ะ)

such ในความหมายนี้ใช้กับ that ได้เหมือนกันค่ะ แต่จะมีคำนามหรือ กลุ่มคำนามอยู่ตรงกลาง (such….that)
เราพูดในความหมายว่า “มากจนขนาดที่ว่า, มากจนกระทั่ง”  เช่น

  • It was such an extraordinary story that no one believed a word of it.
    มันเป็นเรื่องพิสดารเอามากๆจนไม่มีใครเชื่อเลย
    (such an extraordinary that แปลว่า แปลก พิสดารเอามากๆจนกระทั่ง….)

*** แล้วโพสนี้ก็ยาวอีกตามเคย It’s such a long explanation. แต่ยังไงก็ลองอ่านกันดูนะคะ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม จริงมั๊ยคะ? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน Don’t get me wrong. “อย่าเข้าใจฉันผิดนะ”

สำนวน Don't get me wrong

# สำนวน Don’t get me wrong.

เวลาที่เรากลัวว่าใครจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูดหรือทำอะไรแบบผิดๆ เราก็มักจะพูดออกตัวก่อนเลยว่า “อย่าเข้าใจฉันผิดนะ” ภาษาอังกฤษเราใช้สำนวนนี้ค่ะ “Don’t get me wrong.”   เช่น

  • Don’t get me wrong. I’d love to go with you, but I’m so tired today.
    อย่าเข้าใจผิดนะ จริงๆแล้วผมก็อยากไปกับคุณแต่วันนี้ผมเหนื่อยมากๆ
  • Don’t get me wrong. I love children, but you know they bother me sometimes.
    อย่าเข้าใจผิดนะ จริงๆแล้วฉันชอบเด็กๆแต่ คุณก็รู้นี่นะ บางทีพวกเขาก็กวนใจฉันน่ะ

 

  • A: Are you having a crush on him?
    เธอกำลังแอบปลื้มเขาใช่มั๊ยล่ะ
    B: No, it’s not that. Don’t get me wrong!!
    ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นนะ อย่าเข้าใจผิดสิ
  • A: You don’t like this cake, do you?
    คุณไม่ชอบเค้กนี่ใช่มั๊ย
    B: No, No, No, don’t get me wrong. I’m just on a diet.
    ไม่ ไม่ ไม่ อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันก็แค่กำลังลดความอ้วนน่ะ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน around the corner “ใกล้มาถึงแล้ว, จวนจะถึงแล้ว”

สำนวน around the corner

# สำนวน around the corner

สำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า รอบๆมุมนะคะ แต่มันแปลว่า ใกล้ๆ ค่ะ
ถ้าเป็นสถานที่ก็คือ อยู่ใกล้ๆ ไม่ใกล้ไม่ไกล
แต่ถ้าหมายถึงเวลาจะแปลว่า ใกล้มาถึงแล้ว, จวนจะถึงแล้ว
เช่น

  • The holiday is around the corner.
    วันหยุดใกล้เข้ามาแล้ว
  • The library is just around the corner.
    ห้องสมุดอยู่ใกล้ๆนี่เอง
    The exam is right around the corner but my study isn’t half done.
    วันสอบใกล้จะถึงอยู่รอมร่อแล้ว ยังอ่านหนังสือไม่ถึงครึ่งเลย

** สำนวนง่ายๆ จำง่ายๆ ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ลองเอาไปใช้ดูค่ะ เริ่มวันนี้ เก่งวันนี้ ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลค่ะ

  • Let’s start practicing English now. The success is just around the corner. ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

Watch out! ระวัง!

Watch out! ระวัง!

# Watch out! ระวัง!

วันนี้ไม่ได้มาเตือนภัยอะไรหรอกค่ะ แต่จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่องการใช้คำในกลุ่มที่ใช้เตือนให้ “ระวัง” เพราะมีหลายคำด้วยกันที่ฝรั่งเขาใช้กัน และบางทีก็ใช้แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ด้วยค่ะ

** คำแรกเลยคือคำว่า “Be careful” คำนี้แปลว่าระวัง ซึ่งใช้ได้ทั่วๆไปค่ะ ระวังคน ระวังสัตว์ หรือสิ่งของ หรือระวังเรื่องเล็กๆไปจนถึงเรื่องใหญ่ได้ทั้งนั้นค่ะ ประมาณว่าถ้าคิดคำไหนไม่ออกก็ Be careful ไว้ก่อนได้เลย เช่น

  • Be careful! The floor is slippery.
    ระวัง! พื้นมันลื่น

ถ้าจะบอกให้ระวังอะไร ก็เติม with เข้าไป เช่น

  • Be careful with the spelling in your paper.
    ระวังเรื่องตัวสะกดในงานเขียนคุณด้วยนะ

** ต่อไปคือคำว่า “Beware” ค่ะ คำนี้เขียนติดกันนะคะ เราใช้ Beware เพื่อเตือนให้ระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งหมายความว่ามันไม่ได้กำลังจะเกิดขึ้นแต่ให้ระวังเอาไว้ และยังหมายความรวมถึง อุปสรรคความยากลำบากที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย
ระวังอะไรให้ใช้ “Beware of…” นะคะ คำนี้จะเป็นทางการ และเราก็มักจะเห็นตามป้ายเตือนต่างๆ เช่น

  • Beware of the falling rocks.
    ระวังหินหล่น
  • Beware of the fierce dog!
    ระวังสุนัขดุ
  • You should beware of buying this house. It may cause a lot of problems.
    คุณควรระวังไว้นะถ้าจะซื้อบ้านหลังนี้ อาจจะมีปัญหาทีหลังได้
  • Beware of this man. He’s such a jerk!
    ระวังผู้ชายคนนั้นไว้ ตานั่นนิสัยแย่สุดๆไปเลย

** คำต่อไปคำว่า “Mind” ค่ะ คำนี้แปลว่า ระวัง ก็ได้นะคะ แต่จะระวังในกรณีที่เราเข้าไปใกล้สิ่งที่อาจจะทำอันตรายหรือเป็นอันตรายกับ เรา เช่น เวลาขึ้นรถไฟฟ้าก็จะมีคำเตือนว่า Continue reading

ประโยค Subjunctive Mood ในภาษาอังกฤษ

Subjunctive Mood

# Subjunctive Mood

คำว่า mood แปลว่า “อารมณ์” ค่ะ ภาษาก็มีอารมณ์เหมือนกันนะเออ ในภาษาอังกฤษ mood คือ อารมณ์หรือความคิดเห็นของผู้พูดที่พูดออกมาเป็นประโยคในรูปแบบต่างๆ มีหลาย mood ด้วยกัน เช่น mood ที่เป็นประโยคบอกเล่า (indicative mood)
ประโยคคำถาม (Interrogative mood)
ประโยคคำสั่ง (Imperative mood)
แต่ในโพสนี้เราจะเน้นที่พระเอกของเราคือ subjunctive mood ค่ะ

subjunctive mood คือประโยคที่แสดงความต้องการ ความปรารถนา แนะนำ ตักเตือน เชิญชวน ขอร้อง แสดงเงื่อนไขสมมติ ฯลฯ
โดยปกติแล้วประโยคที่เป็น subjunctive sentence แบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกันค่ะ

  1. present subjunctive
  2. past subjunctive
  3. past perfect subjunctive

** มาดู present subjunctive กันก่อน
ประโยคที่เป็น present subjunctive จะเป็นประโยคประเภท แนะนำ เชิญชวน ขอร้อง แสดงความต้องการ ตักเตือน ซึ่ง verb หรือ adjective ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ก็จะมี

  • recommend that >> แนะนำว่า
  • suggest that >> แนะนำว่า
  • order that >> สั่งว่า
  • advise that >> แนะนำว่า
  • insist that >> ยืนกรานว่า
  • require that >> ขอร้องว่า
  • request that >> ขอร้องว่า
  • decide that >> ตัดสินใจว่า

หรือคำที่เป็น adjective ก็จะอยู่ในโครงสร้างแบบนี้ค่ะ It is….that

  • It is necessary that
  • It is important that
  • It is advisable that
  • It is proper that
  • It is desirable that
  • It is preferable that

กฎของ present subjunctive sentence ก็คือ verb ใดที่ตามหลังวลีหรือกลุ่มคำพวกนี้ จะต้องเป็น V1 ธรรมดา ไม่ผัน ไม่เติม s หรือ es หรือ ed ไม่ว่าประธานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ตาม (ปกติประธานเอกพจน์ กริยาเติม s ใช่มั๊ยคะ) ถ้าเป็น verb to be ให้ใช้ be อย่างเดียวค่ะ งงใช่มั๊ย!! มาดูตัวอย่างโลดดดดค่ะ ^^

  • It is necessary that he do exercise every day.
    เป็นเรื่องจำเป็นที่เขาควรจะออกกำลังกายทุกวัน (สังเกตว่าเราใช้กริยา do แทน does ทั้งๆที่ ประธานคือ he)
  • The doctor suggested that she stop smoking.
    หมอแนะนำว่าเธอควรเลิกสูบบุหรี่ (กริยา stop ไม่เติม s ทั้งๆที่ประธานคือ she ซึ่งแบบนี้ไม่ได้ผิดแกรมม่าร์แต่อย่างใดค่ะ)
  • I insist that Jimmy be here at 8 o’clock.
    ฉันกำชับว่าจิมมี่ควรจะมาถึงที่นี่ตอนแปดโมง (ไม่ใช้ Jimmy is here นะคะ แต่ใช้ be แทนค่ะ)

*** วิธีการจำง่ายๆนะคะ ให้เราทดคำว่า should ไว้ในใจค่ะ เพราะประโยคพวกนี้จะเป็นคำแนะนำให้ใครควรทำอะไร เพราะปกติหลัง should เราจะต้องใช้กริยารูปธรรมดาไม่ผันค่ะ เช่นประโยคนี้จริงๆมันก็คือ I insist that Jimmy (should) be here at 8 o’clock. แต่เราไม่ได้ใส่ should เข้าไปค่ะ

** มาดู past subjunctive กันบ้างค่ะ
ประโยคแบบ past subjunctive คือประโยคที่แสดงความปรารถนาหรือเงื่อนไขที่เป็นความจริงไม่ได้ในปัจจุบัน คำที่เป็น key words สำคัญเลยก็คือ กลุ่มคำพวก

  • wish, If, as if, if only หรือวลีต่อไปนี้
  • It’s time… (ถึงเวลาแล้ว)
  • would rather… (อยากที่จะ…มากกว่า)
  • It’s about time… (จวนจะได้เวลาแล้ว)

ซึ่งกริยาในประโยคพวกนี้ต้องเป็น V2 ค่ะ และถ้าเป็น Verb to be ให้ใช้ were กับทุกประธานค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ เช่น Continue reading

สำนวน catch a flick

สำนวน catch a flick

สำนวน catch a flick

สำนวนนี้เป็นสแลงค่ะ แปลว่า “ดูหนัง”
catch ในที่นี้แปลว่า ดู
flick เป็นสแลง แปลว่า หนัง/ภาพยนตร์

ฉะนั้น ถ้ามีใครมาชวนคุณว่า
Let’s go and catch a flick!
มันแปลว่า “ไปดูหนังกันเหอะ”

หรือถ้าใครอยากพูดง่ายๆแบบไม่ต้องสแลงให้ต้อง งง กันไป ก็พูดว่า

  • Let’s go for a movie. หรือ
  • Let’s go to see a film. ก็ได้นะคะ

ตัวอย่างอื่นๆ

  • I wanna catch a flick tonight.
    คืนนี้ฉันอยากไปดูหนัง
  • I really love the Fast and Furious 6. It’s an awesome flick.
    ฉันชอบเรื่อง Fast and Furious 6 มากๆ เป็นหนังที่เจ๋งมาก

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

A number of กับ The number of แตกต่างกันยังไง??

A number of กับ The number of

# A number of กับ The number of แตกต่างกันยังไง??

ถึงหน้าตาของสองคำนี้จะคล้ายๆกัน ต่างกันตรงที่มี A กับ The นำหน้า แต่ความหมายไม่ได้เหมือนกันนะคะ

  • A number of จะแปลว่า “จำนวนมาก, มากมาย” ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับพวก A lot of, plenty of, a large number of, etc.
  • แต่ The number of จะแปลว่า ” จำนวนของ…”

มาดูความเหมือนของสองคำนี้ก่อนค่ะ

  • A number of และ The number of ต้องตามด้วยคำนามที่เป็นพหูพจน์เหมือนๆกัน
  • แต่!! ที่ต่างกันก็คือ A number of + Noun (พหูพจน์) = ประธานที่เป็นพหูพจน์ ฉะนั้น Verb ไม่ต้องเติม S หรือใช้กับ verb to be ‘are’
  • ในขณะที่  The number of + Noun (พหูพจน์) = ประธานที่เป็นเอกพจน์ ฉะนั้น verb จะต้องเติม S หรือ ใช้กับ verb to be ‘is’

เอาละ!! ยิ่งพูดเหมือนยิ่งจะงง มาดูตัวอย่างกันค่ะ

  • A number of Thai students in Sydney are mostly from Bangkok.
    นักศึกษาไทยจำนวนมากในเมืองซิดนีย์ส่วนใหญ่มาจากกรุงเทพ
  • The number of Thai students in Sydney increases every year.
    จำนวนนักศึกษาไทยในเมืองซิดนีย์เพิ่มขึ้นทุกปี
  • A number of people are walking in the park.
    ผู้คนจำนวนมากกำลังเดินอยู่ในสวนสาธารณะ
  • The number of children using mobile phone is increasing.
    จำนวนของเด็กที่ใช้โทรศัพท์มือถือมีมากขึ้นเรื่อยๆ

# พอจะเห็นความแตกต่างแล้วใช่มั๊ยคะ ถ้างงว่ามันจะใช้กับกริยาที่เติม s มั๊ย หรือ จะเลือกใช้กับ is หรือ are ดี ให้ดูความหมายของมันค่ะ สรุปวิธีจำง่ายๆ ก็คือ

  • ถ้าแปลว่า “มาก” ให้ใช้กับ are
  • ถ้าแปลว่า “จำนวนของ…” ให้ใช้กับ is

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

วันครูโลก (World Teacher’s Day)

วันครูโลก (World Teacher's Day)

World Teacher’s Day

วันที่ 5 ตุลาคมของทุกปี องค์กร UNESCO ได้กำหนดให้เป็นวันครูโลก ก็เลยขอเสนอข้อความเกี่ยวกับครูสักหน่อยค่ะ

The mediocre teacher tells. ครูธรรมดา ก็แค่บอก
The good teacher explains. แต่ครูที่ดี จะอธิบาย
The superior teacher demonstrates. ครูที่ดีกว่า จะสาธิตให้ดู
The great teacher inspires. และครูที่ยิ่งใหญ่ สร้างแรงบันดาลใจ

มาดูคำศัพท์ยากกันค่ะ

  • mediocre (adj.) (ออกเสียงว่า เมด-ดิ-โอ-เค่อ) แปลว่า ธรรมดา
  • superior (adj.) แปลว่า ดีกว่า
  • demonstrate (v.) แปลว่า สาธิต
  • inspire (v.) แปลว่า สร้างแรงบันดาลใจ

** ในชีวิตนี้เราเจอคุณครูแบบไหนกันบ้างคะ ครูที่แค่สอนเรา อธิบายบทเรียนให้เราฟัง หรือครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเรา หน้าที่ของครูอาจไม่ใช่แค่สอน แต่เป็นการสร้างชีวิตให้กับคนๆนึงเลยก็ว่าได้ จริงมั๊ยคะ? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา