Category Archives: เรียนภาษาอังกฤษกับ English 360 องศา

สำนวน could use

สำนวน could use

#  สำนวน could use

Excuse me, I could use a little help.

ลองดูประโยคนี้นะคะ  สังเกตว่าก็แค่คำศัพท์ง่ายๆเอง ถ้าคิดอย่างนี้คุณอาจจะแปลประโยคออกมาว่า “ขอโทษนะ ฉันสามารถใช้ความช่วยเหลือนิดหน่อย”  … ซึ่งถ้าแปลแบบนี้มันคงฟังพิลึกมากๆ  ^^  บางคนอาจจะคิดว่า ก็ could มันแปลว่า สามารถ ส่วน use มันก็แปลว่า ใช้ ไง  ผิดตรงไหน
จริงๆแล้ว could use เป็นสำนวนค่ะ แปลว่า “จำเป็น, ต้องการ” ประโยคนี้จึงแปลได้ว่า “ขอโทษนะคะ ฉันต้องการความช่วยเหลือนิดหน่อย”
ดูตัวอย่างอื่นกันค่ะ

  • It’s such a cold day. I could use a cup of hot tea. เป็นวันที่หนาวจริงๆ ชั้นอยากได้ชาร้อนสักถ้วย
  • I could use some more money. ผมต้องการเงินมากกว่านี้

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การใช้ ever ในภาษาอังกฤษ

การใช้ ever
#  การใช้ ever
I will never ever do thai again
คำว่า ever เป็น adverb ค่ะ  แปลได้หลายความหมาย  แต่ความหมายนึงทีหลายคนชอบแปลก็คือ  แปลว่า “เคย”  ใช่ค่ะ ever แปลว่า เคย  ได้  แต่จะใช้กับประโยคปฏิเสธหรือคำถามเท่านั้นนะคะ จะไม่นำมาใช้ในประโยคบอกเล่าค่ะ เช่น … ever ในความหมายว่า “เคย” มักใช้กับประโยคคำถาม present perfect tense เช่น
  • Have you ever made a wish? คุณเคยอธิษฐานมั๊ย?
  • Have you ever driven a car before? คุณเคยขับรถไหม
  • Have you ever been to Taj Mahal? คุณเคยไปทัช มาฮาลมั๊ย
  • I have never been to Taj Mahal. ฉันเคยไม่เคยไปทัชมาฮาล
  • I have been to Taj Mahal. ฉันเคยไปทัชมาฮาล
    *** (ในกรณีใช้ในประโยคบอกเล่าเราจะใช้โครงสร้าง  present perfect tense (to have + v3) แทน)

*** ever ในความหมายอื่นใช้อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  พูดง่ายๆก็คือ แปลว่า “เท่าที่เคยมีมา, เท่าที่ผ่านมา”  เช่น

  • You are my best friend ever! เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่เคยมีมาเลยนะเนี่ย
  • It’s the loveliest cat ever seen. มันเป็นแมวที่น่ารักที่สุดที่เคยเห็นมาเลย

*** ใช้ในความหมายว่า “ตลอดไป, เสมอๆ”  เช่น

  • All he ever does is complain. เขาบ่นตลอดเลย

บางครั้ง เราอาจจะเคยได้ยินคำนี้ค่ะ ever after  ซึ่งแปลว่า ชั่วนิจนิรันด์, จากนี้ตลอดกาลนาน  (ชอบเจอบ่อยเวลาอ่านนิทาน ^^) เช่น

  • They live happily ever after. พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์
  • I promise I will never ever do that again. ผมสัญญาว่าผมจะไม่มีวันทำมันอีกตลอดไป (ใครที่พูดอย่างนี้ เชื่อป่ะ เดี๋ยวก็มีรอบสอง รอบสาม 555)

***  ever เวลาอยู่ในประโยคแสดงเงื่อนไข  มักจะแปลว่า “เมื่อไหร่ก็ตาม”  เช่น

  • If you ever need any help, just let me know. ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องการความช่วยเหลือ บอกฉันนะ

*** ใช้ในความหมายว่า “ไม่มีวัน”  เช่น

  • I will never drive a car. ฉันจะไม่มีวันขับรถ
  • I will never ever drive a car. ฉันจะไม่มีวันขับรถโดยเด็ดขาด

** ever จะแปลว่าอะไรนั้น ให้ดูบริบทในประโยคเป็นหลักนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวนภาษาอังกฤษ “นับประสาอะไรกับ…”

สำนวนนี้ค่ะ let alone

# นับประสาอะไรกับ…

เวลาที่เราอยากพูดประมาณว่า

  • นับประสาอะไรกับ…
  • ไม่ต้องพูดถึง…
  • อย่าว่าแต่…

ในภาษาอังกฤษเราใช้สำนวนนี้ค่ะ let alone
ตัวอย่างประโยคนะคะ

  • I can’t ride a bicycle, let alone drive a car.
    ชั้นยังขี่จักรยานไม่เป็นเลย ขับรถนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย
  • I can’t even understand a single English sentence, let alone a whole book.
    อย่าว่าแต่ให้อ่านทั้งเล่มเลย แค่ประโยคภาษาอังกฤษซักประโยค ชั้นก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเล้ย
  • He can’t even take care of himself, let alone taking care of someone else.
    เขายังดูแลตัวเองไม่ค่อยจะได้เลย นับประสาอะไรที่จะไปดูแลคนอื่น

** ข้อความจากในรูปนะคะ

  • I’m the kind of guy who can’t keep a plant alive for a week, let alone the relationship. # Jerry O’Connell
    ผมเป็นผู้ชายประเภทที่จะปลูกต้นไม้ให้รอดสักอาทิตย์นึงยังไม่ได้เลย เรื่องความสัมพันธ์นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

** แค่ต้นไม้ต้นเดียวยังดูแลไม่ได้ แล้วคนทั้งคนจะดูแลได้มั๊ยหนอ?? หรือเขาอาจจะดูแลคนได้ดีกว่าต้นไม้ 555 ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน “Breaking the ice”

สำนวน "Breaking the ice"

สำนวน “Breaking the ice”

ไม่ชอบเลยเวลาที่มีคนเห็นเราที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วพวกเขาก็แบบว่า “เฮ้ คุณมาทำอะไรที่นี่” ชั้นก็แค่ตอบไปว่า “โอ้ รู้มั๊ย ก็แบบ มาตามล่าช้างน่ะ”…

ทุกวันนี้เราอาจเจอบทสนทนาคล้ายๆอย่างนี้ เช่น มีคนรู้จักมาทักว่า “คุณมาซื้ออะไร?”

เวลาที่เรากำลังยืนต่อแถวอยู่หน้าร้านกาแฟ แล้วร้านนี้ก็ขายแต่กาแฟ หรือ เจอใครโดยบังเอิญเวลาที่เรากำลังยืนเลือกผักอยู่แล้ว เขาถามว่า “กำลังซื้ออะไร?” ทั้งๆที่มีผักกองเบ้อเริ่มอยู่ตรงหน้า

สถานการณ์แบบนี้ ภาษาอังกฤษอาจเรียกว่า “Breaking the ice” ซึ่งก็หมายถึง การเริ่มเปิดบทสนทนา เพื่อทำลายความเงียบ พูดง่ายๆก็คือ หาเรื่องมาพูดเพื่อให้ได้คุยกันต่อ

** เชื่อว่าหลายคนอาจเคยโดนถามคำถามแบบนี้ หรือ เป็นคนถามซะเอง ^^ แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นคำถามที่ไม่สร้างสรรค์เลยค่ะ เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นคำถามที่ทำให้เราได้มีอะไรคุยกันต่อมากขึ้น ดีกว่าแค่ say Hi แล้วก็เดินจากไป ว่ามั๊ย?? อย่างน้อยจะได้ลดช่องว่างของความห่างเหินลงได้บ้าง ^^

ตัวอย่างเช่น I tried to break the ice by talking to the people next to me at the shop.

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ภาษาอังกฤษ “เกือบไปแล้ว”

ภาษาอังกฤษ “เกือบไปแล้ว”

# เกือบไปแล้ว!!
สำนวนภาษาอังกฤษที่บอกว่า “เกือบไปแล้ว” เราใช้คำว่า
“a close call”  แปลว่า “เฉียดฉิว, หวุดหวิด, เกือบไป” เอาไว้พูดตอนที่รอดจากอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิด หรือรอดจากการทำบางอย่างที่อาจส่งผลร้ายตามมา
มาดูตัวอย่างค่ะ

  • That was a close call. I almost tell him the secret.
    เกือบไป ฉันเกือบบอกความลับเขาไปแล้ว
  • That man nearly hit you! That was a close call.
    หมอนั่นเกือบชนเธอแหน่ะ หวุดหวิดเลย
  • We nearly didn’t get out of the burning building. It was pretty close call.
    เราเกือบจะไม่ได้ออกมาจากตึกที่ไฟไหม้นั่น เส้นยาแดงผ่าแปดเลย

** สำนวนนี้ยังหมายถึง “คู่คี่, สูสี, ไล่เลี่ยกัน” ได้ด้วย คือยากที่จะตัดสินได้ เช่น

  • The two runners crossed the finish line together, so who won was a close call.
    นักวิ่งสองคนวิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมๆกัน เลยยังตัดสินไม่ได้ว่าใครชนะ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

For here or To go? “จะทานที่นี่หรือห่อกลับบ้าน?”

จะทานที่นี่หรือห่อกลับบ้าน?

For here or to go?

คำถามนี้เป็นคำถามที่เรามักจะเจออยู่เรื่อยเวลา ไปสั่งอาหารโดยเฉพาะจำพวก fast food หลายคนก็คงรู้ความหมายแล้วแหละว่ามันหมายถึงอะไร
For here or to go? ก็หมายถึง “จะทานที่นี่หรือห่อกลับบ้าน?”
แต่เวลาไปสั่งอาหารพวกนี้ หลาย คนคงนึกภาพออก ถึงแม้จะเลือกเมนูอาหารมาแล้วอย่างดี พูดไปเท่าที่จำเป็น แต่ก็ต้องมาตกม้าตายเพราะไอ้ประโยคนี้เนี่ยแหละ ก็พี่พนักงานเล่นพูดซะรัว เร็ว ราวกับอัดเสียงไว้ปานนั้น

แอดมินเคยไปสั่งตามร้านพวกนี้เหมือนกัน สั่งอาหาร คิดเงินเสร็จเรียบร้อย พนักงานถามว่า
Dine in or take away?
ด้วยความที่ไม่ค่อยคุ้นกับศัพท์นี้ เพราะเคยได้ยินแต่ประโยคข้างบน บวกกับสปีดเวลาพูดที่เร็วราว 120 กม./ชม. เลยต้องถามกลับไปอย่างช้าๆ ว่า Pardon? สุดท้ายกว่าจะรู้เรื่องก็เล่นเอาคนต่อคิวข้างหลังมองค้อนๆอยู่เหมือนกัน ^^

จริงๆ จะบอกว่าสำนวนที่เขาใช้ถามเนี่ย ถามได้หลายแบบ อย่างสองประโยคที่ยกตัวอย่างไปแล้ว 2 ประโยคด้านบนก็ใช้ได้ แต่ For here or to go? แต่เป็นสไตล์อเมริกันซะมากกว่า
และ Dine in or take away อาจจะได้ยินจากปากคนอังกฤษซะเป็นส่วนใหญ่ บางทีเขาก็ใช้ Eat in or take away? หรือ eat here or take way? ก็ได้เหมือนกัน

 

อ่านเพิ่มเติม At a Restaurant “ที่ร้านอาหาร”

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

I don’t give a damn แปลว่า?

I don't give a damn แปลว่า

# I don’t give a damn แปลว่า??

I don't give a damn แปลว่า?
I don’t give a damn แปลว่า?

สำนวน I don’t give a damn แปลว่า “ฉันไม่สนหรอก, ฉันไม่แคร์, ช่างมันสิ” แปลได้เหมือน I don’t care. เลยค่ะ  เช่น

  • I don’t give a damn to them.
    ฉันไม่สนพวกนั้นหรอก

A: Sarah, Don’t go there. It’s too dangerous.
ซาร่าห์ อย่าไปนะ มันอันตรายเกินไป
B: I don’t give a damn what you think, but I must go.
ชั้นไม่สนหรอกนะว่าคุณคิดยังไง แต่ชั้นต้องไป

** มีอีกสำนวนนึงที่ใช้ได้เหมือนกันนั่นก็คือ I don’t give a shit. อันนี้ถือเป็นขั้นกว่าของ I don’t give a damn เลยค่ะ เพราะอันนี้มันจะฟังดูหยาบกว่า ดิบกว่า โหดกว่า ^^ แล้วแต่อารมณ์ ณ ตอนนั้น (แต่ถ้าเป็นขั้นสูงสุดคงเป็นอันนี้ค่ะ I don’t give a F_ck ช่างแม่มม _ _) อันนี้เค้นความหยาบออกมาจากขั้วหัวใจกว่าสองอันข้างบนเลยล่ะค่ะ (เอาแบบสแลงธรรมดาๆก็พอเน๊อะ^^)

** ส่งท้ายด้วยประโยคนี้ค่ะ

Sometimes, It’s necessary to say “I don’t give a damn” to make your life get going.

บางครั้ง มันก็จำเป็นที่ต้องพูดว่า “ช่างมัน ฉันไม่แคร์” เพื่อให้ชีวิตคุณเดินต่อไปได้ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

What brings you here? “มานี่ได้ไง, ลมอะไรหอบมา, ไปไงมาไงถึงมาอยู่นี้ได้”

What brings you here มานี่ได้ไง

What brings you here?

สำนวนนี้มีความหมายประมาณว่า “มานี่ได้ไง, ลมอะไรหอบมา, ไปไงมาไงถึงมาอยู่นี้ได้”
เช่น คุณเกิดไปเจอเพื่อนโดยบังเอิญที่ทะเลแถวกระบี่ ก็เลยถามไปว่า “มาอยู่นี่ได้ไง”

A: What brings you here?
B: I’m on holiday with my colleagues.

หรืออีกตัวอย่างนึง
A: What brings you to Thailand?
B: I’m on business.
(เผื่อใครอยากเอาไว้ถามฝรั่งที่มาเที่ยวเมืองไทย ^^)

** สำนวนนี้จะสุภาพกว่าการที่เราจะไปถามเค้าว่า Why are you here? นะคะ ถ้าเกิดพูดไปแบบท่าทางไม่ดี สีหน้าไม่ได้นี่ คนฟังเขาอาจจะคิดว่าเราไปกวนเขาหรือรู้สึกตะหงิดๆได้ว่าเราพูดตรงไปหรือป่าว

** สำนวนนี้เราอาจจะได้ยินจากหมอก็ได้นะคะ เวลาที่เราไปหาหมอ เค้าอาจจะถามคุณว่า What brings you here? ในความหมายที่ว่า “ไม่สบายตรงไหนถึงได้มาหาหมอ” แทนที่จะถามว่า What’s your problem? หรือ What’s wrong with you? ก็ได้

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนนวนภาษาอังกฤษ : get someone cornered หมายถึง??

get someone cornered หมายถึง

สำนวน get someone cornered หมายถึง??

ดูหนังอยู่ เจอสำนวนนี้น่าสนใจเลยเอามาฝากกัน ^^

** get someone cornered หมายถึง “ทำให้ตกอยู่ในสภาพจนมุม จนตรอก ไปไหนไม่รอด”
เช่น

  • The police got the thieves cornered and finally they were caught.
    ตำรวจต้อนพวกหัวขโมยจนไปไหนไม่รอด ในที่สุดพวกมันก็ถูกจับ
  • I never win arguing with you. You always got me cornered.
    ฉันไม่เคยเถียงชนะคุณเลย คุณทำฉันจนมุมตลอด

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ภาษาอังกฤษ R.I.P คืออะไร??

ภาษาอังกฤษ R.I.P คืออะไร

# R.I.P คืออะไร??

นอกเหนือจากเรื่องการเมืองที่ทำให้หลายคนเศร้าใจ เมื่อไม่กี่วันมานี้ก็มีอีกเรื่องนึงที่น่าเศร้าสลดเหมือนกัน หากใครเป็นแฟนตังยงของพระเอกหนุ่มชื่อดัง Paul Walker จากเรื่อง Fast and Furious ที่ประสบอุบัติเหตุรถชนจนเสียชีวิต หลายคนคงเห็นจากสื่อออนไลน์จะเขียนว่า R.I.P Paul walker
สงสัยกันมั๊ยคะว่า R.I.P มันคืออะไร??

R.I.P หลายคนแปลว่า “Rest in peace” แต่จริงๆแล้วมันมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า “Requiescat In Pace” แปลเป็นอังกฤษได้ว่า “May he rest in peace” ได้เหมือนกัน ภาษาบ้านเราก็คือ “ขอให้ไปสู่สุขคติ” นั่นแหละค่ะ

เวลาใช้ก็วางไว้หน้าชื่อคนที่เสียชีวิตแล้ว เช่น

  • R.I.P Steve Jobs

อย่าไปวางไว้หน้าชื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่นะคะ ^^

** Paul Walker เคยกล่าวไว้ว่า

  • “If one day the speed kills me, don’t cry because I’m smiling.”
    “ถ้าวันนึงผมตายเพราะความเร็ว ก็จงอย่าร้องไห้ เพราะผมกำลังยิ้มอยู่”

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา