Tag Archives: สำนวนภาษาอังกฤษ

สำนวนภาษาอังกฤษ “นับประสาอะไรกับ…”

สำนวนนี้ค่ะ let alone

# นับประสาอะไรกับ…

เวลาที่เราอยากพูดประมาณว่า

  • นับประสาอะไรกับ…
  • ไม่ต้องพูดถึง…
  • อย่าว่าแต่…

ในภาษาอังกฤษเราใช้สำนวนนี้ค่ะ let alone
ตัวอย่างประโยคนะคะ

  • I can’t ride a bicycle, let alone drive a car.
    ชั้นยังขี่จักรยานไม่เป็นเลย ขับรถนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย
  • I can’t even understand a single English sentence, let alone a whole book.
    อย่าว่าแต่ให้อ่านทั้งเล่มเลย แค่ประโยคภาษาอังกฤษซักประโยค ชั้นก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเล้ย
  • He can’t even take care of himself, let alone taking care of someone else.
    เขายังดูแลตัวเองไม่ค่อยจะได้เลย นับประสาอะไรที่จะไปดูแลคนอื่น

** ข้อความจากในรูปนะคะ

  • I’m the kind of guy who can’t keep a plant alive for a week, let alone the relationship. # Jerry O’Connell
    ผมเป็นผู้ชายประเภทที่จะปลูกต้นไม้ให้รอดสักอาทิตย์นึงยังไม่ได้เลย เรื่องความสัมพันธ์นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

** แค่ต้นไม้ต้นเดียวยังดูแลไม่ได้ แล้วคนทั้งคนจะดูแลได้มั๊ยหนอ?? หรือเขาอาจจะดูแลคนได้ดีกว่าต้นไม้ 555 ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน “Breaking the ice”

สำนวน "Breaking the ice"

สำนวน “Breaking the ice”

ไม่ชอบเลยเวลาที่มีคนเห็นเราที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วพวกเขาก็แบบว่า “เฮ้ คุณมาทำอะไรที่นี่” ชั้นก็แค่ตอบไปว่า “โอ้ รู้มั๊ย ก็แบบ มาตามล่าช้างน่ะ”…

ทุกวันนี้เราอาจเจอบทสนทนาคล้ายๆอย่างนี้ เช่น มีคนรู้จักมาทักว่า “คุณมาซื้ออะไร?”

เวลาที่เรากำลังยืนต่อแถวอยู่หน้าร้านกาแฟ แล้วร้านนี้ก็ขายแต่กาแฟ หรือ เจอใครโดยบังเอิญเวลาที่เรากำลังยืนเลือกผักอยู่แล้ว เขาถามว่า “กำลังซื้ออะไร?” ทั้งๆที่มีผักกองเบ้อเริ่มอยู่ตรงหน้า

สถานการณ์แบบนี้ ภาษาอังกฤษอาจเรียกว่า “Breaking the ice” ซึ่งก็หมายถึง การเริ่มเปิดบทสนทนา เพื่อทำลายความเงียบ พูดง่ายๆก็คือ หาเรื่องมาพูดเพื่อให้ได้คุยกันต่อ

** เชื่อว่าหลายคนอาจเคยโดนถามคำถามแบบนี้ หรือ เป็นคนถามซะเอง ^^ แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นคำถามที่ไม่สร้างสรรค์เลยค่ะ เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นคำถามที่ทำให้เราได้มีอะไรคุยกันต่อมากขึ้น ดีกว่าแค่ say Hi แล้วก็เดินจากไป ว่ามั๊ย?? อย่างน้อยจะได้ลดช่องว่างของความห่างเหินลงได้บ้าง ^^

ตัวอย่างเช่น I tried to break the ice by talking to the people next to me at the shop.

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวนเกี่ยวกับสี ในภาษาอังกฤษ

I'm feeling blue.

สำนวนภาษาอังกฤษ (Idioms) เกี่ยวกับสี

สีในภาษาอังกฤษนอกจากจะบ่งบอกถึงสีของตัวมันเองแล้ว ยังเอามาทำเป็นสำนวนได้นะคะ

สีต่างๆ ในภาษาอังกฤษ [colors]

 แถบสีภาษาอังกฤษภาษาไทย
Whiteสีขาว
blackสีดำ
grayสีเทา
khakiสีกากี
light blueสีฟ้า
blueสีน้ำเงิน
greenสีเขียว
light greenสีเขียวอ่อน
redสีแดง
pinkสีชมพู
orangeสีส้ม
yellowสีเหลือง
brownสีน้ำตาล
purpleสีม่วง
goldสีทอง
silverสีเงิน

 

** blue
ถ้าใครบอกคุณว่า I’m feeling blue. ไม่ต้องไปยินดีกับเค้านะคะ เพราะเค้าไม่ได้กำลังรู้สึกสดใสเหมือนกับสีฟ้าของท้องฟ้าแต่อย่างใด แต่เค้า กำลังเศร้าค่ะ ใช่แล้ว blue แปลว่า “รู้สึกเศร้าใจ หรือ เสียใจ” ค่ะ ฝรั่งเขาไม่ได้มองว่าสีฟ้าเป็นสีสดใสในเหมือนพี่ไทยนะคะ แต่เขามองว่ามันหดหู่ เศร้าใจต่างหาก อือ! แปลกเหมือนกัน ^^ ตัวอย่างประโยคอื่นๆก็เช่น

  • You made me glad when I was blue.
    คุณทำให้ฉันดีใจเวลาที่ฉันเศร้า

** green
สีเขียวนี่ปกติเรามักปิ๊งขึ้นมาในใจทันทีว่า มันต้องเกี่ยวกับธรรมชาติแน่ๆ ใช่ค่ะ บางสำนวนก็ให้ความหมายแนวๆนี้ เช่น
สำนวน have green fingers แปลว่า ปลูกต้นไม้เก่ง ปลูกอะไรก็ขึ้น อะไรแบบนั้นแหละ
แต่ถ้าสำนวน give someone the green light จะหมายถึง อนุญาตให้ทำอะไรบางอย่าง พูดง่ายๆก็คือ เปิดไฟเขียว เช่น

  • My dad has just given me the green light to drive to school.
    ป๊ะป๋าเพิ่งจะเปิดไฟเขียว (อนุญาต) ให้ฉันขับรถไปเรียนได้

green ใช้ในสำนวนแง่ลบได้เหมือนกัน เช่น be green with envy แปลว่า อิจฉาตาร้อน

  • He was damn green with envy when Jack was promoted.
    เขาอิจฉาตาร้อนเลยแหล่ะตอนที่แจ๊คได้เลื่อนขั้นน่ะ

อีกอย่าง green ยังแปลว่า “ไร้ประสบการณ์ หรือ อ่อนหัด” ได้อีกด้วย เช่น

  • You’re still green here. You have to learn a lot.
    คุณยังอ่อนหัดอยู่ ยังต้องเรียนรู้อีกมาก

** red
สีแดงเป็นสีร้อนแรง สำนวนที่เกี่ยวกับสีนี้ก็อาจจะมีความหมายไปในทางไม่ค่อยดีนัก เช่น
สำนวน (be) in the red ใช้พูดเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ ซึ่งหมายถึง เป็นหนี้หรือขาดทุนก็ได้ เช่น

  • Jim’s company has been in the red since last year.
    บริษัทของจิมขาดทุนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

แต่ถ้าสำนวน red in the face จะแปลว่า อายค่ะ แบบอายจนหน้าแดงแบบนั้นแหละ

  • I became red in the face when he talks to me.
    ฉันอายเวลาที่เขาคุยกับฉัน

** pink
in the pink หมายถึง มีสุขภาพดี สบายดี เช่น

  • Your grandmother is still in the pink.
    ย่าของเธอยังดูแข็งแรงดีอยู่เลย (คงประมาณว่า ผิวยังมีสีชมพู ยังมีเลือดฝาด เลือดลมเดินดี แสดงว่ายังมีสุขภาพดี แข็งแรง ประมาณมั้งค่ะ ^^)

แต่ถ้าเกิดคุณได้รับ “pink slip” ในที่ทำงาน อย่าเพิ่งดีใจว่า ได้จดหมายรักหรือเปล่า เพราะแท้ที่จริงแล้ว คุณได้จดหมายเชิญให้ออกจากงานหรือเขาไล่คุณออกต่างหากเล่า ประมาณว่า ได้รับซองขาว นั่นแหละค่ะ

  • He’s just got the pink slip, so he’s finding new job.
    เขาเพิ่งได้รับจดหมายไล่ออก เขาก็เลยกำลังหางานใหม่อยู่

** yellow
yellow ใช้พูดถึงคนที่ “ขี้ขลาดตาขาว” ค่ะ

  • You’re such a yellow man.
    คุณนี่มันขี้ขลาดตาขาวซะจริงๆ

*** บางสำนวนเราก็จะเห็นว่ามัน make sense แต่บางสำนวนก็ทำเอาเรางงๆไปเหมือนกัน เพราะใช้ไม่เหมือนพี่ไทยเรา แต่อย่าลืมว่าวัฒนธรรมฝรั่งกับของเราไม่เหมือนกัน ถ้าจะพูดแบบเขาก็คงต้องใช้สำนวนของเขา จริงมั๊ยคะ? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน get a kick out of something

สำนวน get a kick out of something

สำนวน get a kick out of something

สำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า ไปโดนใครเตะมานะคะ แต่มันหมายถึง enjoy something or doing something คือ ชอบ สนุกสนานหรือเพลิดเพลินกับอะไรบางอย่าง เช่น

  • I really got a kick out of this movie. I find it awesome.
    ฉันดูหนังเรื่องนี้สนุกมากๆ ฉันว่ามันเจ๋งดี
  • I think the audiences get a kick out of your presentation.
    ฉันว่าคนฟังชอบการนำเสนอของคุณ
  • I get a kick out of seeing your smile.
    ฉันชอบที่จะเห็นรอยยิ้มของคุณ
  • She gets a kick out of doing housework.
    เธอสนุกกับการทำงานบ้าน

*** แล้วคุณล่ะคะ What do you really get a kick out of? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน come up with

สำนวน come up with

# สำนวน come up with

มีน้องคนนึงถามมาว่า กริยาวลี หรือ phrasal verb ตัวนี้แปลว่าอะไร แอดมินขอเอามาลงหน้าเพจเพื่อให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วยนะคะ ^^

phrasal verb ตัวนี้ แปลประมาณว่า “เกิดความคิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง, คิดขึ้นมาได้” ส่วนมากก็จะเป็น คิดไอเดีย คิดแผนการ คิดคำตอบอะไรขึ้นมาได้ ประมาณนี้นะคะ มาดูตัวอย่างการใช้กันค่ะ

  • I wish I could come up with a good answer to your question.
    ฉันหวังว่าฉันจะคิดคำตอบดีๆให้กับคำถามของคุณได้
  • I hope you can come up with a better plan than this.
    ฉันหวังว่าคุณจะคิดแผนการที่ดีกว่านี้ได้
  • While I was walking home, I came up with the plan to get even with him.
    ตอนที่เดินกลับบ้าน ฉันก็คิดแผนการแก้เผ็ดเขาขึ้นมาได้

** ในบางประโยคอาจจะให้ความหมายที่หมายถึง “ค้นพบ, หา, หาวิธีทำอะไรบางอย่าง, สร้าง (produce, create)” ก็ได้ เช่น

  • Scientists have come up with many explanations for why the sky is blue.
    นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบคำอธิบายต่างๆมากมายที่อธิบายว่าทำไมท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้า
  • We hope that the doctor come up with a cure to help our aunt in time.
    พวกเราต่างหวังกันว่าหมอจะหาวิธีรักษาเพื่อช่วยป้าได้ทันเวลา
  • I’m broke. I have to come up with the way for making money.
    ฉันถังแตก ฉันเลยต้องคิดหาวิธีที่จะได้เงินมา

*** come up with เป็น phrasal verb ค่ะ ซึ่งถ้าหาคำแปลแยกทีละคำ ก็จะไม่ได้ความหมายนี้ หรือหาคำแปลแค่ come up ก็จะได้ความหมายอื่นมาแทนเช่นกันนะคะ เพราะ come up แปลว่า เกิดขึ้น ค่ะ ฉะนั้น คำศัพท์บางตัว เวลาค้นหาความหมายต้องหายกเซตทั้งหมดเลยนะคะ หาแยกทีละคำไม่ได้ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

มาดูสำนวนที่เกี่ยวกับ เท้าๆ (foot) กันบ้าง

คนกำลังเดินในสวน

# มาดูสำนวนที่เกี่ยวกับ เท้าๆ (foot) กันบ้าง

คำว่า foot ก็คือ “เท้า” มีรูปพหูพจน์ว่า feet อันนี้รู้กันดีอยู่แล้ว เพราะเรียนกันมาตั้งแต่ประถม แต่มีสำนวนที่ใช้ foot หรือ feet ร่วมด้วยอยู่เยอะแยะไปหมดเลย มาดูอันที่น่าสนใจกันดีกว่าค่ะ

**อันแรก itchy feet
ถ้าแปลตรงตัวก็คือ “เท้าที่คันยุบยิบๆ” แต่ถ้าเป็นสำนวนจะหมายถึง “ชีพจรลงเท้า” ค่ะ คือ การชอบการท่องเที่ยว การเดินทาง เช่น

  • He always gets itchy feet because he loves travelling.
    เขามักจะ ชีพจรลงเท้า อยู่บ่อยๆ เพราะเขารักการเดินทาง

**สำนวน get someone’s feet wet
สำนวนนี้แปลว่า “เริ่มทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นครั้งแรกและค่อนข้างเสี่ยง” เช่น

  • He’s never run any business, so now he is getting his feet wet.
    เขาไม่เคยทำธุรกิจอะไรเลย ดังนั้นตอนนี้เขากำลังจะเสี่ยงทำมันเป็นครั้งแรก

**สำนวน get off on the wrong foot
เคยมั๊ยคะ?? เวลาที่เราเพิ่งรู้จักใครสักคนเป็นครั้งแรก แต่รู้สึกว่าความสัมพันธ์เริ่มต้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราใช้สำนวนนี้แหละค่ะ เช่น

  • He got off on the wrong foot with his new boss by coming to the office very late.
    เขาทำให้นายใหม่ไม่ประทับใจเท่าไหร่ด้วยการมาทำงานสายมากๆ
  • I got off on the wrong foot with Linda.
    ผมเริ่มต้นกับลินดาไม่ค่อยดีเท่าไหร่

* แต่ถ้าเกิดเริ่มต้นด้วยดี ก็ให้ใช้สำนวน get off on the right foot นะค่ะ

**สำนวน be back on someone’s feet
หมายถึง หายป่วย, ฟื้นตัว เช่น

  • He hopes he’ll be back on his feet by next week.
    เขาหวังว่าเขาจะหายป่วยภายในสัปดาห์หน้า
  • The new measures are intended to get the business back on its feet.
    มาตรการใหม่นี้มีเป้าหมายที่จะทำให้ธุรกิจฟื้นตัวขึ้นมาได้

**อีกสำนวนแล้วกันนะคะ get cold feet แปลว่า “กลัว, ปอดแหก” ไม่ได้แปลว่า เท้าเย็น นะคะ แต่หมายถึง เกิดอาการกลัวขึ้นมาซะเฉยๆ ทั้งๆที่วางแผนว่าจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไว้แล้ว เช่น

  • If Trevor hadn’t got cold feet, he and Jane would have got married since last week.
    ถ้าเทรเวอร์ไม่เกิดปอดแหกขึ้นมาซะก่อนนะ เขากับเจนก็คงแต่งงานกันไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วแหละ
  • The soldier got cold feet when the pilot told him it was time to parachute out of the airplane.
    นายทหารเกิดกลัวอยากเปลี่ยนใจขึ้นมาพอนักบินบอกว่าถึงเวลาโดดร่มออกจากเครื่องบินแล้ว

*** วันหลังอาจจะเอาสำนวนที่เกี่ยวกับอวัยวะส่วนอื่นๆในร่างกายมาเขียนบ้างดีกว่า แอดมินว่ามันดูน่าสนใจดีนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน in the middle of (doing) something กำลังยุ่งๆอยู่

สำนวน in the middle of (doing) something

# สำนวน in the middle of (doing) something

เวลาที่ใครบอกว่า I’m in the middle of something เค้าหมายถึงว่า เขากำลังยุ่งๆอยู่ หรือกำลังทำอะไรค้างเอาไว้ เช่น

  • Sorry, I’m in the middle of something. Can I call you back later?
    โทษนะ ฉันกำลังยุ่งอยู่ ไว้โทรไปทีหลังได้มั๊ย?

แต่ถ้าอยากบอกว่ากำลังทำอะไรหรือยุ่งอยู่กับอะไรก็ ใส่ V+ing เข้าไป เช่น

  • Whenever I meet him, he’s always in the middle of talking on the phone.
    เวลาที่ฉันเจอเขาทีไรนะ เขาก็มักจะยุ่งอยู่กับการคุยโทรศัพท์ทุกครั้งเลย

** มีสำนวน in the middle อื่นๆ มาแถมค่ะ ^^
สำนวน be caught/stuck in the middle

สำนวนนี้เอาไว้บอกเวลาที่เราเกิดตกอยู่ในสภาวะที่ทำใจลำบาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในกรณีที่เราต้องไปอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งของสองฝ่าย เช่น พี่กับน้องทะเลาะกัน เราไม่รู้จะทำยังไงดี นั่นก็พี่ นี่ก็น้อง อะไรประมาณนี้ค่ะ เช่น

  • My mother and sister are always arguing and I find myself caught in the middle.
    แม่กับน้องฉันทะเลาะกันประจำเลย และฉันก็ต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หรือใช้ในกรณีที่เราไม่รู้จะทำยังไง เคว้งคว้าง ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แก้ปัญหาอย่างไร ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี
เหมือนความหมายเพลง The Show ของ Lenka ค่ะ
ท่อนที่บอกว่า

“I’m just a little bit caught in the middle
Life is a maze and love is a riddle
I don’t know where to go
Can’t do it alone I’ve tried
And I don’t know why.”

ฉันแค่กำลังรู้สึกสับสนนิดหน่อย
ชีวิตนั้นเหมือนกับทางวงกต และความรักก็เหมือนปริศนา
ฉันไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหนดี
และฉันทำมันคนเดียวไม่ได้ ถึงฉันจะพยายามแล้วก็ตาม
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม

*** ถ้าวันไหนแอดมินไม่ได้โพส แสดงว่า I’m in the middle of something นั่นเอง ไม่ได้หายไปไหนนะค่ะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวนที่ใช้ make

สำนวนที่ใช้ make

มาดูสำนวนที่ใช้ make กันค่ะ

1. สำนวนแรกคือ ‘make someone do something’

สำนวนนี้แปลว่า “บังคับให้ใครทำอะไร” เช่น

  • They make us work for 12 hour a day.
    พวกเขาบังคับให้เราทำงานวันละ 12 ชั่วโมง
  • I made my brother eat all of his food yesterday.
    เมื่อวานนี้ฉันบังคับให้น้องชายกินอาหารให้หมด

**** สังเกตนะคะว่า กริยาตัวที่สองที่อยู่หลัง make ต้องเป็น Verb ธรรมดาไม่ผัน คือไม่เติม s หรือ es และไม่มี to อยู่หน้ากริยาเหล่านี้ และไม่ผันเป็น V2 หรือ Ving ไม่ว่า Tense จะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าจะผันกริยาเป็นอดีตหรือทำให้เป็น tense ที่กำลังเกิดขึ้น ให้ผันที่กริยา make ซึ่งเป็น Verb แท้ในประโยคนะคะ

  • Jerry’s mother is making him clean his room. His room is such a mess.
    แม่ของเจอร์รี่กำลังบังคับให้เขาทำความสะอาดห้องอยู่ ห้องเขารกสุดๆไปเลย
  • I can’t make you love me.
    ฉันบังคับให้คุณรักฉันไม่ได้หรอก
  • Don’t make me do this.
    อย่าบังคับให้ฉันต้องทำอย่างนี้

2. สำนวนที่สอง make do

ไม่ต้องแปลกใจนะคะ ว่าทำไมเอา make กับ do มาเขียนติดกันแบบนี้ ไม่ได้เขียนผิดหรอกค่ะ แต่มันเป็นสำนวนแปลว่า
“สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่น้อยนิด หรือสามารถทดแทนได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่ แม้ว่าสิ่งที่เราต้องการจะไม่มีก็ตาม” เช่น

  • I was broke last month but I made do with instant noodle.
    เดือนที่แล้วฉันถังแตกไม่มีเงินเลย แต่ฉันก็รอดมาได้ด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่ล่ะ
  • I usually make do with a cup of coffee for breakfast.
    ฉันมักจะดื่มกาแฟแทนการกินอาหารเช้า
  • We don’t have right color now, so we have to make do with what we have.
    เราไม่สีที่ต้องการตอนนี้ ดังนั้นเราจึงต้องใช้สีที่เรามีมาใช้แทน

3. สำนวน make someone + ตำแหน่ง

แปลว่า “แต่งตั้งให้เป็น, แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง”

  • We made him captain of the team.
    เราแต่งตั้งให้เขาเป็นกัปตันทีม
  • They made Jim head teacher after Mike left.
    พวกเขาแต่งตั้งให้จิมเป็นหัวหน้าครูหลังจากที่ไมค์ออกไป

*** ไม่ต้องใส่ article a, an, the นำหน้าตำแหน่งนั้นๆนะคะ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ Moon

สำนวนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ Moon

วันนี้ขอเสนอสำนวนเกี่ยวกับ moon หรือพระจันทร์ ค่ะ

ไม่ใช่มีแต่พี่ไทยนะคะที่เอาพระจันทร์ไปเปรียบเทียบต่างๆนานา แต่ฝรั่งเขาก็มีเหมือนกันค่ะ ลองดูค่ะ

1. once in a blue moon

สำนวนนี้คงคุ้นหูคุ้นตาหลายๆคน ความหมายของมันก็คือ
“นานๆครั้ง ไม่บ่อยนัก” เช่น

  • I work in London, so I only see my family once in a blue moon.
    ฉันทำงานที่ลอนดอน ฉะนั้นก็เลยได้เจอครอบครัวแค่นานๆครั้ง (ไม่ใช่เจอครอบครัวในวันพระจันทร์เป็นสีน้ำเงินนะคะ ^^)

2. over the moon

สำนวนนี้แปลว่า มีความสุขมากๆ very happy เหมือนกับสำนวน I’m on top of the world. ประมาณนี้ล่ะค่ะ เช่น

  • She’s been over the moon after her boyfriend ask her to get married.
    เธอมีความสุขมากๆเลยหลังจากที่แฟนหนุ่มเธอขอแต่งงาน

3. ask for the moon

สำนวนนี้แปลว่า “ขอมากเกินไป อยากได้อะไรที่เป็นไปไม่ได้หรือมีค่ามากมหาศาล” ฝรั่งเขาเปรียบการขออะไรที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกับการขอพระจันทร์น่ะค่ะ คือยังไงก็ไปสอยเอามาให้ไม่ได้หรอกค่ะ เช่น

  • Don’t ask for the moon with me. Be reasonable!
    อย่ามาขออะไรที่มากเกินไปกับผมนะ มีเหตุผลหน่อยสิ

4. promise (someone) the moon / promise the moon to (someone)

จะใช้แบบไหนก็ได้นะคะ ได้ทั้งสองแบบเลย สำนวนนี้แปลว่า สัญญาอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หรือง่ายๆเลยภาษาบ้านๆเรียกว่า “สัญญาอะไรลมๆแล้งๆ” เช่น

  • Don’t promise me the moon. I don’t want to get pain with your words any more.
    อย่าสัญญาอะไรลมๆแล้งๆกับฉันเลย ฉันไม่อยากเจ็บปวดกับคำพูดของคุณอีกต่อไป

ส่งท้ายด้วยประโยคนี้ค่ะ

  • I’m over the moon when I spend my time with this page. ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา