Tag Archives: ภาษาอังกฤษ

This is our society! นี่คือสังคมของเรา

This is our society! นี่คือสังคมของเรา
our_society
This is our society!
  • Two people on donkey’s back. Poor animal
    สองคนบนหลังลา เจ้าลาผู้น่าสงสาร
  • How cruel he is by letting his wife walk!
    เขาใจร้ายจังที่ปล่อยให้ภรรยาต้องเดิน
  • How stupid he is by letting his wife take the ride alone!
    เขาช่างโง่สิ้นดีที่ปล่อยให้ภรรยาขี่ลาอยู่คนเดียว
  • Fool! Don’t even know how to utilize the donkey!
    โง่เสียจริง ไม่รู้จักจะใช้ลาให้เป็นประโยชน์

** ไม่ว่าเราจะทำแบบไหน ก็ไม่เคยทำได้ถูกใจมนุษย์ทุกเรื่องหรอกค่ะ เขาต้องคอยบ่นนั่น ตินี่ อยู่เสมอ
ฉะนั้นถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นดีแล้ว และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ทำไปเถอะค่ะ เสียงรอบข้างก็แค่นกแค่กา ว่ามั๊ย ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ภาษาอังกฤษ “เกือบไปแล้ว”

ภาษาอังกฤษ “เกือบไปแล้ว”

# เกือบไปแล้ว!!
สำนวนภาษาอังกฤษที่บอกว่า “เกือบไปแล้ว” เราใช้คำว่า
“a close call”  แปลว่า “เฉียดฉิว, หวุดหวิด, เกือบไป” เอาไว้พูดตอนที่รอดจากอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิด หรือรอดจากการทำบางอย่างที่อาจส่งผลร้ายตามมา
มาดูตัวอย่างค่ะ

  • That was a close call. I almost tell him the secret.
    เกือบไป ฉันเกือบบอกความลับเขาไปแล้ว
  • That man nearly hit you! That was a close call.
    หมอนั่นเกือบชนเธอแหน่ะ หวุดหวิดเลย
  • We nearly didn’t get out of the burning building. It was pretty close call.
    เราเกือบจะไม่ได้ออกมาจากตึกที่ไฟไหม้นั่น เส้นยาแดงผ่าแปดเลย

** สำนวนนี้ยังหมายถึง “คู่คี่, สูสี, ไล่เลี่ยกัน” ได้ด้วย คือยากที่จะตัดสินได้ เช่น

  • The two runners crossed the finish line together, so who won was a close call.
    นักวิ่งสองคนวิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมๆกัน เลยยังตัดสินไม่ได้ว่าใครชนะ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

So what? แล้วไงล่ะ

So what

สำนวน So what?

สำนวน so what? เป็นสำนวนกึ่งสแลงค่ะ แปลสั้นๆง่ายๆว่า “แล้วไงล่ะ? , สำคัญด้วยเหรอ?” แปลเหมือนกับ Who care? “ใครจะไปสน” อะไรประมาณนี้ค่ะ เป็นภาษาพูดที่ออกจะกวนๆนิดๆ (เวลาพูดก็ควรระมัดระวังนิดนึงนะคะ ^^) แต่ใช้กันมากในหมู่อเมริกันชน
ใช้เพื่อต้องการสื่อว่า ไอ้สิ่งที่เธอพูดมาน่ะ ฉันไม่แคร์ และ ฉันก็ไม่สน หร๊อกกก เพื่อแสดงว่าสิ่งที่เขาพูดมาน่ะไม่ได้สำคัญอะไรกับฉันเลย หรือออกแนวไม่พอใจนิดๆก็ได้
ตัวอย่างค่ะ

A: Do you know that Jimmy is the new captain of our team?
แกรู้ป่ะว่าจิมมี่ได้เป็นกัปตันคนใหม่ของทีมเรา
B: So what?
แล้วไง?

A: Sorry I’m late! My car broke down.
โทษที รถผมเสีย เลยมาสายน่ะ
B: So what? You could have called me!
แล้วไงล่ะ? เธอน่าจะโทรมาบอกก่อน
(ประมาณว่า ใครจะไปสนล่ะว่ามาสายเพราะอะไร ทำไมไม่โทรมาบอกกันก่อน)

** แต่ถ้าอยากเพิ่มความเก๋ไก๋สไลเดอร์ก็ เพิ่ม if เข้าไปก็ได้ เช่น

  • So what if I’m old?
    ชั้นแก่แล้วไงล่ะ?
  • So what if he’s smarter?
    เขาจะหล่อกว่า เก่งกว่าแล้วไงล่ะ? ใครสนกัน

** เวลาใช้ก็ระวังกันนิดนึงนะคะ ถ้าไปใช้กับคนที่เพิ่งรู้จักอาจโดนเหวี่ยงเอาได้ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ขึ้นรถลงรถ ภาษาอังกฤษพูดว่าไง?? [get in, get on, get off]

ขึ้นรถลงรถ ภาษาอังกฤษพูดว่าไง

# ขึ้น – ลง รถ ภาษาอังกฤษพูดว่าไง??

เวลาจะบอกว่า ขึ้นรถ ลงรถ บางทีก็ใช้ get in บางทีก็ใช้ get on งงกันมั๊ยคะ?
จริงๆเวลาจะดูว่าใช้ get in หรือ get on ให้เราดูที่ขนาดของรถหรือยานพาหนะเป็นหลักนะคะ

** ถ้ารถที่มีขนาดใหญ่แบบ bus หรือ train เราจะใช้ “get on” ค่ะ รวมถึงเครื่องบิน (plane) ก็ใช้ get on เช่นกัน  เช่น

  • Let’s get on the bus. We’re going to leave.
    ไปขึ้นรถบัสกันเถอะ เรากำลังจะออกเดินทางแล้ว

นอกจากนี้ get on ยังใช้กับ พาหนะที่เราขึ้นไปขี่พวก มอเตอร์ไซค์ หรือ จักรยาน รวมถึงขี่ม้า ด้วยนะคะ เช่น

  • Get on the motorcycle. I’ll teach you how to ride.
    ขึ้นไปขี่มอเตอร์ไซค์สิ ฉันจะสอนเธอขี่มอเตอร์ไซค์เอง

เวลาจะบอกว่า ลงรถ ที่เป็นแบบรถบัส รถไฟ หรือมอเตอร์ไซค์ จักรยาน ให้ใช้ get off นะคะ เช่น

  • I’m getting off the train.
    ผมกำลังจะลงรถไฟ
  • Can you get off my bike?
    ช่วยลงจากรถจักรยานฉันได้มั๊ย?

** แต่ถ้าเป็นรถที่มีขนาดเล็กๆอย่างรถเก๋ง รถกระบะ รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก แบบที่ต้องก้มศรีษะเข้าไป พวกนี้เราใช้ “get in” นะคะ  เช่น

  • Get in the car. We’re about to be late.
    ไปขึ้นรถสิ เรากำลังจะไปสายแล้วนะ
  • Get in the car. I’ll drop you off at the train station.
    ขึ้นรถสิ ฉันจะขับรถไปส่งคุณที่สถานีรถไฟ

เวลาบอกว่า ลงรถ พวกนี้คือ รถเก๋ง รถแท็กซี่ เราใช้ get out of  เช่น

  • Don’t get out of the car until I come back.
    อย่าลงจากรถจนกว่าฉันจะมา

** วิธีจำง่ายๆก็คือ รถที่มีขนาดใหญ่อย่างพวกรถบัส รถไฟ หรือเครื่องบินเนี่ย เวลาเราขึ้นไปแล้วเรายังต้องเดินไปหาที่นั่ง คือมีพื้นที่ให้เราเดินได้โดยไม่ต้องก้มศรีษะ เราจึงใช้ get on ส่วนพวกจักรยาน คือเราขึ้นไปนั่งขี่บนนั้น เราจึงใช้ get on เช่นเดียวกัน  แต่รถเล็กๆ อย่าง รถเก๋ง รถกระบะ เนี่ย พอเราเข้าไปข้างในก็ถึงเบาะนั่งเลย ไม่มีพื้นที่ให้เดิน เราจึงใช้ get in

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

มาดูสำนวนที่เกี่ยวกับ เท้าๆ (foot) กันบ้าง

คนกำลังเดินในสวน

# มาดูสำนวนที่เกี่ยวกับ เท้าๆ (foot) กันบ้าง

คำว่า foot ก็คือ “เท้า” มีรูปพหูพจน์ว่า feet อันนี้รู้กันดีอยู่แล้ว เพราะเรียนกันมาตั้งแต่ประถม แต่มีสำนวนที่ใช้ foot หรือ feet ร่วมด้วยอยู่เยอะแยะไปหมดเลย มาดูอันที่น่าสนใจกันดีกว่าค่ะ

**อันแรก itchy feet
ถ้าแปลตรงตัวก็คือ “เท้าที่คันยุบยิบๆ” แต่ถ้าเป็นสำนวนจะหมายถึง “ชีพจรลงเท้า” ค่ะ คือ การชอบการท่องเที่ยว การเดินทาง เช่น

  • He always gets itchy feet because he loves travelling.
    เขามักจะ ชีพจรลงเท้า อยู่บ่อยๆ เพราะเขารักการเดินทาง

**สำนวน get someone’s feet wet
สำนวนนี้แปลว่า “เริ่มทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นครั้งแรกและค่อนข้างเสี่ยง” เช่น

  • He’s never run any business, so now he is getting his feet wet.
    เขาไม่เคยทำธุรกิจอะไรเลย ดังนั้นตอนนี้เขากำลังจะเสี่ยงทำมันเป็นครั้งแรก

**สำนวน get off on the wrong foot
เคยมั๊ยคะ?? เวลาที่เราเพิ่งรู้จักใครสักคนเป็นครั้งแรก แต่รู้สึกว่าความสัมพันธ์เริ่มต้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราใช้สำนวนนี้แหละค่ะ เช่น

  • He got off on the wrong foot with his new boss by coming to the office very late.
    เขาทำให้นายใหม่ไม่ประทับใจเท่าไหร่ด้วยการมาทำงานสายมากๆ
  • I got off on the wrong foot with Linda.
    ผมเริ่มต้นกับลินดาไม่ค่อยดีเท่าไหร่

* แต่ถ้าเกิดเริ่มต้นด้วยดี ก็ให้ใช้สำนวน get off on the right foot นะค่ะ

**สำนวน be back on someone’s feet
หมายถึง หายป่วย, ฟื้นตัว เช่น

  • He hopes he’ll be back on his feet by next week.
    เขาหวังว่าเขาจะหายป่วยภายในสัปดาห์หน้า
  • The new measures are intended to get the business back on its feet.
    มาตรการใหม่นี้มีเป้าหมายที่จะทำให้ธุรกิจฟื้นตัวขึ้นมาได้

**อีกสำนวนแล้วกันนะคะ get cold feet แปลว่า “กลัว, ปอดแหก” ไม่ได้แปลว่า เท้าเย็น นะคะ แต่หมายถึง เกิดอาการกลัวขึ้นมาซะเฉยๆ ทั้งๆที่วางแผนว่าจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไว้แล้ว เช่น

  • If Trevor hadn’t got cold feet, he and Jane would have got married since last week.
    ถ้าเทรเวอร์ไม่เกิดปอดแหกขึ้นมาซะก่อนนะ เขากับเจนก็คงแต่งงานกันไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วแหละ
  • The soldier got cold feet when the pilot told him it was time to parachute out of the airplane.
    นายทหารเกิดกลัวอยากเปลี่ยนใจขึ้นมาพอนักบินบอกว่าถึงเวลาโดดร่มออกจากเครื่องบินแล้ว

*** วันหลังอาจจะเอาสำนวนที่เกี่ยวกับอวัยวะส่วนอื่นๆในร่างกายมาเขียนบ้างดีกว่า แอดมินว่ามันดูน่าสนใจดีนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน in the middle of (doing) something กำลังยุ่งๆอยู่

สำนวน in the middle of (doing) something

# สำนวน in the middle of (doing) something

เวลาที่ใครบอกว่า I’m in the middle of something เค้าหมายถึงว่า เขากำลังยุ่งๆอยู่ หรือกำลังทำอะไรค้างเอาไว้ เช่น

  • Sorry, I’m in the middle of something. Can I call you back later?
    โทษนะ ฉันกำลังยุ่งอยู่ ไว้โทรไปทีหลังได้มั๊ย?

แต่ถ้าอยากบอกว่ากำลังทำอะไรหรือยุ่งอยู่กับอะไรก็ ใส่ V+ing เข้าไป เช่น

  • Whenever I meet him, he’s always in the middle of talking on the phone.
    เวลาที่ฉันเจอเขาทีไรนะ เขาก็มักจะยุ่งอยู่กับการคุยโทรศัพท์ทุกครั้งเลย

** มีสำนวน in the middle อื่นๆ มาแถมค่ะ ^^
สำนวน be caught/stuck in the middle

สำนวนนี้เอาไว้บอกเวลาที่เราเกิดตกอยู่ในสภาวะที่ทำใจลำบาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในกรณีที่เราต้องไปอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งของสองฝ่าย เช่น พี่กับน้องทะเลาะกัน เราไม่รู้จะทำยังไงดี นั่นก็พี่ นี่ก็น้อง อะไรประมาณนี้ค่ะ เช่น

  • My mother and sister are always arguing and I find myself caught in the middle.
    แม่กับน้องฉันทะเลาะกันประจำเลย และฉันก็ต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หรือใช้ในกรณีที่เราไม่รู้จะทำยังไง เคว้งคว้าง ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แก้ปัญหาอย่างไร ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี
เหมือนความหมายเพลง The Show ของ Lenka ค่ะ
ท่อนที่บอกว่า

“I’m just a little bit caught in the middle
Life is a maze and love is a riddle
I don’t know where to go
Can’t do it alone I’ve tried
And I don’t know why.”

ฉันแค่กำลังรู้สึกสับสนนิดหน่อย
ชีวิตนั้นเหมือนกับทางวงกต และความรักก็เหมือนปริศนา
ฉันไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหนดี
และฉันทำมันคนเดียวไม่ได้ ถึงฉันจะพยายามแล้วก็ตาม
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม

*** ถ้าวันไหนแอดมินไม่ได้โพส แสดงว่า I’m in the middle of something นั่นเอง ไม่ได้หายไปไหนนะค่ะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

most กับ most of ต่างกันอย่างไร

most กับ most of ต่างกันอย่างไร

# most กับ most of ต่างกันอย่างไร

most เนี่ยเราแปลว่า ที่สุด มากที่สุดก็ได้ หรือจะแปลว่า ส่วนใหญ่ก็ได้ แต่ในที่นี้เราจะใช้ความหมายที่แปลว่า ส่วนใหญ่ ค่ะ

ถ้า most ในความหมายว่า “ส่วนใหญ่” ก็มักจะอยู่นำหน้าคำนาม แต่เราจะเห็นมันมีทั้ง most แล้วก็ most of
ความแตกต่างของสองตัวนี้มีนิดเดียวค่ะ

most + noun จะใช้ในความหมายทั่วๆไป เช่น

  • Most children love candy.
    เด็กๆส่วนใหญ่ชอบลูกกวาด (หมายถึงเด็กทั่วๆไปส่วนใหญ่)
  • Most novels usually have a happy ending.
    นิยายส่วนใหญ่มักจะจบอย่างมีความสุข (หมายถึงนิยายทั่วๆไปส่วนใหญ่)

แต่การใช้ most of จะแตกต่างออกไปเล็กน้อย
most of + determiners + noun

** ขออธิบายคำว่า determiner หน่อยนะคะ determiner ก็คือ คำที่ใช้นำหน้าคำนาม เช่น article (ในที่นี้จะใช้ the เพื่อให้เฉพาะเจาะจง)
demonstrative adjective (this, that, these, those) ,  possessive adjective (my, his, your, etc.)

most of จะใช้ในความหมายเฉพาะเจาะจง เช่น

  • Most of these children live in downtown.
    เด็กๆพวกนี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในตัวเมือง (หมายถึงเด็กส่วนใหญ่โดยเจาะจงว่าเป็นเด็กพวกนี้ กลุ่มนี้)
  • Most of my writing is inspirational writing.
    งานเขียนของฉันส่วนใหญ่เป็นงานเขียนที่ให้แรงบันดาลใจ (เจาะจงว่าเป็นส่วนใหญ่ของงานเขียนของฉันเท่านั้น ไม่ได้รวมงานเขียนของคนอื่นด้วย)

ถ้าเป็นคำนามที่มีวลีหรือข้อความมาขยายอยู่ด้านหลัง ต้องใช้โครงสร้าง most of นะคะ เช่น

  • Most of the people who’s working here are from Asian countries.
    คนส่วนใหญ่ที่ทำงานอยู่ที่นี่มาจากประเทศแถบเอเชีย

** ข้อควรจำ **
*** หลัง most จะเป็นนามนับได้ที่เป็นพหูพจน์ หรือ นามนับไม่ได้ก็ได้
*** หลักเกณฑ์ในการให้ความหมายว่าเป็นทั่วๆไปหรือเจาะจง ยังสามารถใช้ได้กับ คำบอกปริมาณตัวอืนๆได้อีก เช่น

  • all, all of
  • some, some of
  • each, each of etc.

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวนที่ใช้ make

สำนวนที่ใช้ make

มาดูสำนวนที่ใช้ make กันค่ะ

1. สำนวนแรกคือ ‘make someone do something’

สำนวนนี้แปลว่า “บังคับให้ใครทำอะไร” เช่น

  • They make us work for 12 hour a day.
    พวกเขาบังคับให้เราทำงานวันละ 12 ชั่วโมง
  • I made my brother eat all of his food yesterday.
    เมื่อวานนี้ฉันบังคับให้น้องชายกินอาหารให้หมด

**** สังเกตนะคะว่า กริยาตัวที่สองที่อยู่หลัง make ต้องเป็น Verb ธรรมดาไม่ผัน คือไม่เติม s หรือ es และไม่มี to อยู่หน้ากริยาเหล่านี้ และไม่ผันเป็น V2 หรือ Ving ไม่ว่า Tense จะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าจะผันกริยาเป็นอดีตหรือทำให้เป็น tense ที่กำลังเกิดขึ้น ให้ผันที่กริยา make ซึ่งเป็น Verb แท้ในประโยคนะคะ

  • Jerry’s mother is making him clean his room. His room is such a mess.
    แม่ของเจอร์รี่กำลังบังคับให้เขาทำความสะอาดห้องอยู่ ห้องเขารกสุดๆไปเลย
  • I can’t make you love me.
    ฉันบังคับให้คุณรักฉันไม่ได้หรอก
  • Don’t make me do this.
    อย่าบังคับให้ฉันต้องทำอย่างนี้

2. สำนวนที่สอง make do

ไม่ต้องแปลกใจนะคะ ว่าทำไมเอา make กับ do มาเขียนติดกันแบบนี้ ไม่ได้เขียนผิดหรอกค่ะ แต่มันเป็นสำนวนแปลว่า
“สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่น้อยนิด หรือสามารถทดแทนได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่ แม้ว่าสิ่งที่เราต้องการจะไม่มีก็ตาม” เช่น

  • I was broke last month but I made do with instant noodle.
    เดือนที่แล้วฉันถังแตกไม่มีเงินเลย แต่ฉันก็รอดมาได้ด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่ล่ะ
  • I usually make do with a cup of coffee for breakfast.
    ฉันมักจะดื่มกาแฟแทนการกินอาหารเช้า
  • We don’t have right color now, so we have to make do with what we have.
    เราไม่สีที่ต้องการตอนนี้ ดังนั้นเราจึงต้องใช้สีที่เรามีมาใช้แทน

3. สำนวน make someone + ตำแหน่ง

แปลว่า “แต่งตั้งให้เป็น, แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง”

  • We made him captain of the team.
    เราแต่งตั้งให้เขาเป็นกัปตันทีม
  • They made Jim head teacher after Mike left.
    พวกเขาแต่งตั้งให้จิมเป็นหัวหน้าครูหลังจากที่ไมค์ออกไป

*** ไม่ต้องใส่ article a, an, the นำหน้าตำแหน่งนั้นๆนะคะ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การใช้สำนวน do with

สำนวน do with

สำนวน do with

do with เป็นกริยาวลี (Phrasal Verb) ค่ะ มี Expression หรือสำนวนที่น่าสนใจที่ใช้ do with ร่วมด้วยอยู่หลายสำนวนเลยค่ะ เห็นว่าน่าสนใจดีเลยเอามาแบ่งปัน ^^

1. เริ่มที่สำนวนแรก คือ

have (something/anything) to do with หรือ
be something/anything to do with
ไม่ได้แปลตรงตัวว่า มีบางอย่างที่ทำกับ นะคะ แต่สำนวนนี้จะแปลว่า “เกี่ยวข้อง (กับบางคนหรือบางอย่าง)” เช่น

  • Gambling addiction has a lot to do with his divorce.
    การติดพนันมีส่วน(เกี่ยวข้อง)อย่างมากเลยกับการที่เขาหย่า
  • I’m quite sure that her resignation is something to do with her dispute with a colleague.
    ฉันค่อนข้างแน่ใจเลยว่าการลาออกของเธอต้องเกี่ยวกับความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานแน่ๆ

2. สำนวนต่อมาคือ be/have nothing to do with

สำนวนนี้แปลตรงข้ามกับอันบน คือแปลว่า “ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” เพราะ nothing ให้ความหมายเป็นปฏิเสธ เช่น

  • Harry said that he had nothing to do with her.
    แฮรี่บอกว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้ว
  • My love affair has nothing to do with your life.
    เรื่องรักๆของฉันมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตคุณเลย

3. สำนวน What has something (got) to do with…?

สำนวนนี้มักจะพูดเวลาโกรธค่ะ ความหมายก็ประมาณว่า “แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับ…ด้วยล่ะ” เช่น

  • I don’t have any girlfriend. So what? What has that got to do with you?
    ฉันไม่มีแฟน แล้วไงล่ะ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ (พูดง่ายๆก็คือ แล้วมายุ่งอะไรด้วยล่ะ ^^)
  • What have her personal problems got to do with our holiday plans?
    แล้วปัญหาส่วนตัวของเจ้าหล่อนมันไปเกี่ยวอะไรกับแผนวันหยุดของพวกเราด้วยล่ะ

4. สำนวน could do with (something)

สำนวนนี้ก็ห้ามแปลตรงตัวอีกเช่นเคย เพราะมันแปลว่า “ต้องการ” นะคะ เช่น

  • It’s really cold outside. I could do with a nice cup of tea right now.
    ข้างนอกอากาศหนาวจริงๆเลย ตอนนี้ฉันอยากได้ชาร้อนๆสักแก้ว
  • I could do with your help.
    ฉันอยากได้ความช่วยเหลือจากคุณ
  • The exam is around the corner. We could do with a good tutor to help us.
    ใกล้จะสอบแล้ว เราอยากได้ติวเตอร์เก่งๆมาช่วยน่ะ

5. อีกสักสำนวนแล้วกัน What somebody does with themselves? สำนวนนี้ใช้เพื่อถามว่า “จะใช้เวลาทำอะไรช่วงนั้นช่วงนี้” เช่น

  • What are you going to do with yourself during the school holidays?
    คุณจะทำอะไรช่วงปิดเทอมล่ะ
  • He doesn’t know what to do with himself while Jane has gone to Paris for a month.
    เขาไม่รู้ว่าจะใช้เวลาไปทำอะไรดีช่วงที่เจนไปปารีสเดือนนึง

*** การรู้ความหมายของสำนวนพวกนี้ทำให้เราอ่านภาษาอังกฤษได้เข้าใจมากขึ้นค่ะ เพราะสังเกตว่าเป็นแค่คำง่ายๆเอง แต่พอเวลามันมารวมกันเป็นสำนวนก็ให้ความหมายได้อีกแบบหนึ่ง ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

Why the long face? ทำไมคุณดูเศร้าจัง

Why the long face? ทำไมคุณดูเศร้าจัง

Why the long face??

หลายคนพอเจอคำถามนี้ อาจจะนอยด์นิดหน่อยว่ามายุ่งอะไรกับหน้าชั้น มันจะสั้นจะยาวก็หน้าชั้น หรือพาลตอบไปว่า ก็หน้าแบบนี้แม่ให้มา เพราะคุณดันไปคิดว่าเขาถามว่า “ทำไมคุณถึงหน้ายาว” ใครคิดแบบนี้สารภาพมาเลยค่ะ เพราะครั้งแรกที่เห็น แอดมินก็แปลแบบนี้แหละ ^^

เอาล่ะ!! มาดูความหมายจริงๆกันดีกว่าค่ะ
long face ก็หมายถึง หน้าตาแบบเศร้าๆ กลุ้มใจ หน้าตายุ่งเหยิงไม่สบายใจ หรืออารมณ์แบบหน้าบึ้งหน้าบูดก็ได้
ดังนั้นที่ถามว่า Why the long face? มันจึงแปลว่า “ทำไมคุณดูเศร้าจัง”

แต่ประโยคนี้ Why the long face? เนี่ย จะสังเกตว่าจริงๆแล้วมันผิดไวยากรณ์นะคะเพราะมันไม่มี verb แต่เขาก็พูดกัน เป็นภาษาพูดแบบสั้นๆง่ายๆ คงย่อมาจากประโยคที่ว่า
Why do you have a long face? นั่นแหละค่ะ

มาดูตัวอย่างกันดีกว่า

  • He has a long face because he was fired last week.
    เขาดูเศร้าๆเพราะถูกไล่ออกจากงานเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
  • A: Why does she has a long face?
    ทำไมเจ้าหล่อนดูหน้าบูดงั้นอ่ะ
    B: The boss has just got on her case about her work.
    เธอเพิ่งจะโดนเจ้านายเล่นงานมาน่ะสิ

*** แต่ถ้าเห็นใครหน้าตาแจ่มใส มีความสุขละก็ คงไม่ต้องไปถามเขานะคะว่า Why the short face? เพราะเห็นว่ามันตรงข้ามกับ long face อันนี้ไม่มีนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา