Category Archives: เรียนภาษาอังกฤษกับ English 360 องศา

สำนวน on the same page “เข้าใจตรงกัน, คิดเหมือนกัน, เห็นพ้องต้องกัน”

สำนวน on the same page

# สำนวน on the same page

On the same page แปลว่า “เข้าใจตรงกัน, คิดเหมือนกัน, เห็นพ้องต้องกัน”  เช่น

  • I want to make sure that we’re on the same page before we move to next level.
    ผมแค่อยากแน่ใจว่าพวกเราเข้าใจตรงกันก่อนที่จะเดินต่อไป
  • We have to talk if you don’t feel like you’re on the same page as me.
    เราต้องคุยกันถ้าคุณรู้สึกว่าคุณคิดไม่เหมือนกันกับฉัน

*** “We’re not on the same page ช่วงนี้บ้านเมืองเราก็กำลังอยู่ในสถานการณ์นี้ใช่มั๊ยคะ?? แต่ไม่ว่ายังไงทุกคนก็คงอยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี จริงมั๊ย?? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน count on “เชื่อใจ, ไว้ใจ, เชื่อมือ”

สำนวน count on

# สำนวน count on
สำนวนนี้แปลว่า “เชื่อใจ, ไว้ใจ, เชื่อมือ” มาดูตัวอย่างกันค่ะ

  • This is our big project. Can I count on you to do it?
    นี่เป็นโปรเจ็คใหญ่ของเราเลยนะ ผมเชื่อมือคุณได้ใช่มั๊ย?
  • You can count on me. I’ll make you happy.
    คุณเชื่อใจผมได้ ผมจะทำให้คุณมีความสุขเอง

** มีเพลงของ Bruno Mars อยู่เพลงนึงชื่อว่า Count on me ลองไปฟังดูก็ได้ค่ะ เพลงเขาน่ารักนะ ^^

 

อ่านเพิ่มเติม สำนวน It’s the thought that counts.

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน It’s the thought that counts.

สำนวน It's the thought that counts.

# สำนวน It’s the thought that counts.

สมมติว่าคุณให้ของขวัญวันเกิดกับเพื่อน แล้วคุณก็ออกตัวว่า ของขวัญนี่ก็ไม่ได้แพงอะไรนะ แค่ของเล็กๆน้อยๆเอง เพื่อนคุณก็ตอบกลับมาว่า  “It’s the thought that counts.”

เออ!! มันแปลว่าอะไร??
—————————————
จริงๆแล้วสำนวนนี้มันแปลว่า “สำคัญที่ความคิด”
จากสถานการณ์ข้างบนก็พอจะสรุปความได้ว่า ที่เพื่อนคุณกำลังจะบอกก็คือ ราคาหรือรูปร่างหน้าตาของของขวัญน่ะ ไม่สำคัญเลย สำคัญที่ว่าคุณตั้งใจให้ต่างหาก

สำนวนนี้ส่วนใหญ่ก็เอาไปใช้เวลาใครให้ของขวัญเรา หรือในสถานการณ์อื่นๆก็ได้ค่ะ ที่ใช้ได้กับความหมายนี้

คำว่า count ในที่นี้ไม่ได้แปลว่า นับหรือคำนวณ นะคะ แต่แปลว่า “มีความสำคัญ” ค่ะ
มาดูตัวอย่างอื่นของการใช้ count ในความหมายนี้กันดีกว่า

  • Everybody has his burden. What counts is how you carry it.
    ทุกคนมีภาระหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งสำคัญคือคุณรับมือกับมันอย่างไรต่างหาก
  • It doesn’t matter how much mistake you do; it’s the way you learn from your mistake that counts.
    ความผิดพลาดที่คุณทำมันไม่ได้สำคัญอะไรเลย แต่การที่คุณเรียนรู้จากความผิดพลาดนั่นต่างหากที่สำคัญ

** แต่บางอย่าง แค่คิดอย่างเดียวไม่พอหรอกนะคะ

  • It’s not the thought that counts. It’s the action.
    แค่คิดอย่างเดียวไม่ได้หรอก การกระทำต่างหากที่สำคัญ

อย่างเช่นถ้าคืดว่าอยากเก่งภาษาอังกฤษอย่างเดียวคงไม่ได้ คงต้องลงมือฝึกฝนด้วย จริงมั๊ยคะ?? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การลดรูปของ relative clause (ตอนที่2)

relative clause

# การลดรูปของ relative clause

โพสนี้ยังคงว่าด้วยเรื่อง relative clause อยู่ค่ะ ต่อจากโพสก่อนที่เราได้ทำความรู้จัก relative clause ไปแล้ว คราวนี้เจ้า relative clause มันสามารถลดรูปหรือย่อให้สั้นลงได้ด้วย!!! คราวนี้แหละค่ะที่เราจะมองหาประโยค relative clause ในประโยคได้ยากขึ้น มาดูกันค่ะว่ามันย่อได้ยังไงบ้าง

*** วิธีที่ 1 การละ relative pronoun (who, whom, which, that) ในกรณีที่คำนามที่ถูกขยายทำหน้าที่เป็นกรรมในประโยค การละ relative pronoun เราสามารถทำได้ใน defining relative clause (เฉพาะเจาะจง) เท่านั้นค่ะ เช่น

  • The car that he bought is very expensive.
    ลดรูปมาเป็น
    The car he bought is very expensive.
    รถที่เขาซื้อมันแพงมาก

* เราตัดคำว่า that ออกได้ เพราะคำนาม car ทำหน้าที่เป็นกรรมเพราะถูกเขาซื้อ

  • The man whom she quarrelled with was her ex-boyfriend.
    ลดรูปเป็น
    The man she quarrelled with was her ex-boyfriend.
    ผู้ชายที่หล่อนทะเลาะด้วยน่ะเป็นแฟนเก่าเธอเอง

* ตัด whom ออกได้ เพราะ man เป็นกรรม

*** วิธีที่ 2 การละ relative pronoun โดยใช้ participle แบ่งออกได้เป็นสองกรณีค่ะ

1. กรณีที่ประธานกระทำกริยานั้น (active relative clause)
ให้เราตัด relative pronoun ออก แล้วเปลี่ยน verb ให้เป็น present participle (V+ing) เช่น

  • She told me about the man who lives next door.
    ลดรูปเป็น
    She told me about the man living next door.
    หล่อนบอกฉันเรื่องของผู้ชายที่อยู่ข้างบ้าน

(man เป็นคนทำกริยา live)

Continue reading

relative clause ประโยคที่นำไปขยายคำนามหรือคำสรรพนามที่อยู่ข้างหน้า (ตอนที่1)

relative clause

# relative clause

เวลาที่เราอ่านภาษาอังกฤษ เราอาจเจอประโยค relative clause โดยไม่รู้ตัว เจ้าตัวนี้อยากจะบอกว่ามันสำคัญเหมือนกันนะเวลาอ่าน เพราะจะทำให้เราเข้าใจเนื้อความได้มากขึ้น

relative clause คือ ประโยคที่นำไปขยายคำนามหรือคำสรรพนามที่อยู่ข้างหน้า แบ่งออกเป็น 2 ชนิดด้วยกัน คือ

  1.  defining relative clause
  2.  non-defining relative clause

** defining relative clause หรือบางทีเขาก็เรียกว่า Identifying relative clause คือประโยคที่ไปขยายคำนามหรือสรรพนามที่อยู่ข้างหน้า เพื่อเจาะจงหรือระบุให้ชัดเจนลงไปว่า เป็นอันไหน คนไหน สิ่งไหน ถ้าหากเราไม่มีประโยค defining relative clause นี้แล้ว เราก็จะไม่รู้เลยว่านามที่ผู้พูดกำลังพูดถึงมันเป็นอันไหนกันแน่ เช่น สมมตินะคะว่า ทอมยืนอยู่กับผู้หญิงสามคน แล้วเราก็ถามใครสักคนนึงว่า

  • Do you know the girl who is talking to Tom?
    คุณรู้จักผู้หญิงคนที่กำลังคุยกับทอมอยู่มั๊ย

ประโยค who is talking to Tom เป็นประโยค defining relative clause ที่มาขยายคำนาม girl ค่ะ เพื่อเจาะจงลงไปว่าผู้หญิงคนไหนกันแน่เพราะมีตั้งสามคน
* สังเกตว่าเราใช้ who หลังคำนาม girl เราเรียก who ว่า relative pronoun เพื่อแทนคำนามที่อยู่ข้างหน้า เราแบ่งการใช้ relative pronoun ออกเป็นแบบนี้ค่ะ Continue reading

most กับ almost ไม่เหมือนกันนะ!!

most กับ almost ไม่เหมือนกันนะ!!

# most กับ almost ไม่เหมือนกันนะ!!

ยังมีหลายคนสับสนระหว่าง most กับ almost ว่ามันแปลเหมือนๆกัน ซึ่งจริงๆแล้วมันใช้แทนกันไม่ได้ค่ะ

** most ตัวนี้สารพัดประโยคมากๆเพราะเป็นได้ทั้ง adjective adverb และ pronoun เลยนะคะ แปลว่า “ที่สุด, มากที่สุด, ส่วนใหญ่” เช่น

  • Most Thai people are shy when they have to speak English.
    คนไทยส่วนมากจะอายเวลาที่ต้องพูดภาษาอังกฤษ (most นี้ใช้อย่าง adjective นำหน้านาม)
  • I like winter most.
    ฉันชอบหน้าหนาวมากที่สุด (most ใช้อย่าง adverb ขยายกริยา like)
  • All the victims were male, and most were working in this shop.
    เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดเป็นผู้ชายและส่วนใหญ่ก็ทำงานอยู่ที่ร้านนนี้  (most ใช้เป็น pronoun )

** almost เป็น adverb เท่านั้นค่ะ แปลว่า “เกือบจะ, จวนจะ, แทบจะ” เหมือนคำว่า nearly ค่ะ เช่น

  • We’re almost there.
    พวกเราเกือบจะถึงที่นั่นกันแล้ว
  • It’s almost a year since she died.
    มันก็เกือบๆจะ 1 ปี แล้วสินะที่เธอตาย

*** มีอีกคำแถมให้ค่ะ คือ almost all of the + นามหรือนามวลี  คำนี้แปลว่า แทบทุก… เช่น

  • Almost all (of) the committee members completely agreed with you.
    คณะกรรมการแทบทุกคนเห็นด้วยกับคุณเต็มที่เลย
  • Almost all (of) the students here are from Asia.
    นักเรียนที่นี่แทบทุกคนมาจากเอเชีย

** เราสามารถละ of ได้ค่ะ จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้
ส่งท้ายด้วยประโยคนี้ค่ะ

  • Most people choose to stop following their dream when it’s almost done.
    คนส่วนมากเลือกที่จะหยุดวิ่งตามความฝันตอนที่เกือบจะทำมันได้สำเร็จ

เป็นกำลังใจให้คนที่มีฝันค่ะ อย่าเพิ่งหยุดวิ่งตามมัน เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าที่ๆคุณยืนอยู่ ณ ตอนนี้อาจเหลือเพียงอีกก้าวเดียวก็จะถึงเส้นชัยแล้ว ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ความแตกต่างระหว่าง alone กับ lonely ความโดดเดี่ยวที่ “แตกต่าง”

alone กับ lonely

# alone กับ lonely ความโดดเดี่ยวที่ “แตกต่าง”

alone กับ lonely ฟังดูคล้ายๆกัน ว่ามะ? แต่เปล่าเลย มันไม่เหมือนกันนะจะบอกให้ ^^

**มาดูตัวแรกก่อน alone
alone เป็นได้ทั้ง adjective และ adverb แปลว่า “อยู่ตามลำพัง, อยู่คนเดียว, ไม่มีคนอื่น” เช่น

  • I usually travel alone.
    ฉันมักจะเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว (alone นี้เป็น adverb ค่ะ ขยาย travel)
  • Why are you alone?
    ทำไมเธออยู่คนเดียวล่ะ (alone ตัวนี้เป็น adjective)
  • You alone are my hope.
    คุณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นความหวังของผม (alone นี้เป็น adverb)

** มาดูทางฝั่ง lonely กันบ้าง
lonely เป็นคำ adjective ค่ะ แปลว่า “โดดเดี่ยว, เหงา, อ้างว้าง”  เช่น

  • Mary has nobody to talk with, but she doesn’t feel lonely.
    แมรี่ไม่มีคนให้คุยด้วยแต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกว้าเหว่
  • It’s so lonely to live alone.
    มันช่างเหงาเหลือเกินทีต้องอยู่คนเดียว

ลองเปรียบเทียบประโยคนี้นะคะ

  • I’m alone but not lonely, but sometimes I feel lonely even I’m not alone.
    ฉันอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหงา แต่บางครั้งฉันก็เหงาแม้ไม่ได้อยู่คนเดียว

*** พอจะเห็นความแตกต่างแล้วใช่มั๊ยคะ บางทีความเหงามันก็ไม่ได้เกี่ยวกับการอยู่คนเดียว แม้มีผู้คนรายล้อมมันก็เหงาได้เหมือนกันนะเออ ^^

  • Just because you’re not alone, it doesn’t mean that you’re not lonely.
    เพียงเพราะคุณไม่ได้อยู่คนเดียว ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่รู้สึกเหงา

จริงหรือเปล่าน้อ?? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

So what? แล้วไงล่ะ

So what

สำนวน So what?

สำนวน so what? เป็นสำนวนกึ่งสแลงค่ะ แปลสั้นๆง่ายๆว่า “แล้วไงล่ะ? , สำคัญด้วยเหรอ?” แปลเหมือนกับ Who care? “ใครจะไปสน” อะไรประมาณนี้ค่ะ เป็นภาษาพูดที่ออกจะกวนๆนิดๆ (เวลาพูดก็ควรระมัดระวังนิดนึงนะคะ ^^) แต่ใช้กันมากในหมู่อเมริกันชน
ใช้เพื่อต้องการสื่อว่า ไอ้สิ่งที่เธอพูดมาน่ะ ฉันไม่แคร์ และ ฉันก็ไม่สน หร๊อกกก เพื่อแสดงว่าสิ่งที่เขาพูดมาน่ะไม่ได้สำคัญอะไรกับฉันเลย หรือออกแนวไม่พอใจนิดๆก็ได้
ตัวอย่างค่ะ

A: Do you know that Jimmy is the new captain of our team?
แกรู้ป่ะว่าจิมมี่ได้เป็นกัปตันคนใหม่ของทีมเรา
B: So what?
แล้วไง?

A: Sorry I’m late! My car broke down.
โทษที รถผมเสีย เลยมาสายน่ะ
B: So what? You could have called me!
แล้วไงล่ะ? เธอน่าจะโทรมาบอกก่อน
(ประมาณว่า ใครจะไปสนล่ะว่ามาสายเพราะอะไร ทำไมไม่โทรมาบอกกันก่อน)

** แต่ถ้าอยากเพิ่มความเก๋ไก๋สไลเดอร์ก็ เพิ่ม if เข้าไปก็ได้ เช่น

  • So what if I’m old?
    ชั้นแก่แล้วไงล่ะ?
  • So what if he’s smarter?
    เขาจะหล่อกว่า เก่งกว่าแล้วไงล่ะ? ใครสนกัน

** เวลาใช้ก็ระวังกันนิดนึงนะคะ ถ้าไปใช้กับคนที่เพิ่งรู้จักอาจโดนเหวี่ยงเอาได้ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การใช้ as is [ตามสภาพจริง]

การใช้ as is

# การใช้ as is

as is เขียนติดกันอย่างนี้เลยค่ะ ไม่ได้เขียนผิดแต่อย่างใดนะคะ
as is เป็น adverb ค่ะ แปลว่า “ตามสภาพจริง” ตัวอย่างเช่น เวลาขายบ้าน ขายรถ หรือซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือซื้อขายอะไรก็ตาม เขาก็อาจจะมีการระบุว่า จะซื้อขายแบบไหน เช่น ขายรถตามสภาพจริงที่เป็นอยู่ ไม่มีการันตีใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ซ่อมไม่ปรับปรุง ขายตามสภาพที่เห็นเนี่ยแหละ ขับได้ก็ขับ ใช้ได้ก็ซื้อ ลองแล้วไม่โอเค ใช้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องซื้อ ประมาณนี้แหละค่ะ ถ้าคุณเกิดตัดสินใจซื้อไปแล้ว แต่ตอนหลังเกิดปัญหาขึ้น คุณก็จะมาให้เขารับผิดชอบซ่อมให้ไม่ได้แล้วล่ะคะ เพราะเขาได้บอกแล้วว่าจะขายแบบ as is ^^ เช่น

  • I will offer the car for sale as is without any repairs.
    ฉันจะเสนอขายรถตามสภาพปัจจุบันโดยไม่มีการซ่อม
  • We agreed to buy your house as is.
    พวกเราตกลงจะซื้อบ้านคุณตามสภาพจริงที่เป็นอยู่นี่แหละ

** เวลาจะซื้ออะไรก็สังเกตนิดนึงนะคะ ว่ามีวลี as is นี้อยู่ด้วยหรือป่าว เพราะเวลาเกิดปัญหาแล้วไปเคลมจะได้ไม่เสียเซลฟ์นะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ความหมายของ passion

ความหมายของ passion

passion

วันนี้อยากเสนอคำศัพท์คำนี้สักหน่อย คำว่า passion

ถ้าไปเปิดดิกชั่นนารี passion จะแปลว่า กิเลส, ตัณหา, ความลุ่มหลง, ความหลงใหล อะไรแบบนั้น
แต่ความหมายของ passion อีกอย่างก็อาจแปลได้ว่า “ความทะยานอยาก, การมีใจรักในอะไรสักอย่าง

หากคุณไปอ่านบทความหรือหนังสือแนวๆเกี่ยวกับการมุ่งสู่ความสำเร็จ อาจจะได้เห็นคำว่า passion ผ่านหูผ่านตามาบ้าง เพราะ หลายคนได้กล่าวไว้ว่า passion เป็น key word ตัวหนึ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ

ลองคิดดูสิ ในชีวิตเราต้องมีสักอย่างที่เราอยากทำ ชอบทำ และกระตือรือร้นที่จะทำมันให้สำเร็จ นั่นแหละค่ะ เขาเรียกว่ามี passion แล้วไอ้ตัว passion นี่แหละค่ะ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เราพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ภาษาอังกฤษเราใช้คำว่า driving force ค่ะ แปลว่า แรงขับเคลื่อน หากเราทำอะไรสักอย่างด้วยความรู้สึกเฉยๆ ทำเพราะเห็นว่ามันเป็นหน้าที่ ชีวิตนี้คงจืดชืดน่าดู เพราะหาความสุขจากการทำสิ่งนั้นไม่ได้เลย

ลองดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ

  • If you want to be successful, you need to have passion for your work.
    ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องมีความกะตือรือร้นในงานทึ่ทำ

** แต่ passion จะแปลว่าอะไรนั้นคงต้องดูบริบทในประโยคด้วย เพราะบางทีมันก็แปลว่า กิเลส ตัณหา ความหลงใหล ได้เหมือนกัน เช่น

  • We must control our passion.
    เราต้องควบคุมกิเลสของเราให้ได้

** เชื่อว่าหลายๆคนกำลังตามหาไอ้สิ่งที่เรียกว่า passion นี้อยู่ แอดมินก็เหมือนกัน การเขียนเพจนี้ก็เป็น passion อย่างหนึ่ง แล้วคุณล่ะ หา passion ในชีวิตเจอแล้วหรือยัง?? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา