Category Archives: ภาษาอังกฤษทั่วไป

เสียง T เจ้าปัญหาในภาษาอังกฤษ

เสียง T เจ้าปัญหาในภาษาอังกฤษ

เสียง T เจ้าปัญหาในภาษาอังกฤษ

ทำไมถึงบอกว่าเป็นตัว T เจ้าปัญหา  เพราะตัว T เนี่ย ฟังบางทีก็ไม่ออก T แต่กลายเป็น D ซะงั้น  บางทีมีเสียง T แต่ก็ไม่ออกเสียงเพราะอะไร?

ในบางครั้งการออกเสียงแบบ American English ถ้าหากว่าเสียง T มันไปอยู่ระหว่างสระ มันก็จะออกเสียงเป็นเสียง soft D  เช่น  ที่มักได้ยินบ่อยคือคำว่า

  • water  ก็จะออกเสียงเป็น  wader
  • city ก็จะออกเสียงเป็น  cidy

หรือถ้าหากมันเป็นในรูปประโยค  เช่น

  • See you later.  เราอาจจะได้ยินคนอเมริกันออกเสียงว่า ซี ยู เล๊เด่อร์

หรือประโยค

  • What a beautiful lady!  ก็อาจจะออกเสียงเป็น ว้อท อะ บิ๊วดี้ฟูล เล๊ดี้

ในกรณีที่สอง  ถ้าหากว่าคุณไปเจอเสียง T ที่ตามหลัง ตัว N แล้วล่ะก็ คนอเมริกันเขาก็จะทิ้งเสียง T ไปเลย  เวลาฟังมันเลยอาจจะไม่คุ้นหูคำๆนั้นซักเท่าไหร่  ก็แหมเล่นตัดเสียง t ทิ้งไปเลยทั้งๆที่ตอนเรียนมาก็ออกเสียง T ชัดกันอย่างกับอะไรดี  จะให้ไม่งงได้ไงจริงมั้ย?  เช่น

  • Twenty   คำนี้เรียนมายังไง๊ยังไงมันก็ต้องออกเสียงว่า ทเว็นที่ แต่พอได้ฟังจริงๆพี่อเมริกันเขาออกว่า ทเว็นนี่

หรือคำว่า  counter  บางครั้งเขาก็ออกเสียงกันว่า เค๊าเน่อ แทนที่จะเป็น เค๊าเท่อ

Printer  บางครั้งก็ดันไปออกเสียงว่า พริ้นเน่อ  แทนที่จะเป็น พริ้นเท่อ

แต่ไม่ต้องตีโพยตีพายไปค่า  เพราะเขาไม่ได้พูดแบบนี้กันทุกคนหรอก  มันเป็นสไตล์ของแต่ละคน  บางคนที่ชอบออกเสียงรัวๆเร็วๆด้วยความอยากให้ประโยคมันต่อเนื่องหรือด้วยความขี้เกียจอะไรก็ตามแต่  ที่จะต้องตัดเสียง T ทิ้งไป  มันก็ไม่ได้เป็นกันทุกคนค่า  ในกรณีนี้คือเผื่อไว้ว่าไปเจอกรณีของคนที่เค้าตัดเสียง T ทิ้งจะได้ไม่สับสนเนอะ

ในกรณีที่สาม  ถ้าหากว่าคำๆนั้นมีเสียง T มาก่อน เสียง N  จะได้ยินคนอเมริกันเค้าออกคล้ายๆกับ เอิ่น   มันเหมือนกับกร่อนเสียงไปเหลือแค่ เอิ่น  เช่น

คำว่า written  ปกติต้องอ่านว่า  ริทเทิ่น  ใช่มั้ยคะ   เรียนมาตั้งแต่ประถมจนจบมัธยมก็เคยได้ยินแต่  ริทเทิ่น   อยู่มาวันหนึ่งได้ยินฝรั่งเค้าพูดว่า  ริทเอิ่น  ก็งงไปสิจ๊ะ มันคือคำว่าอะไรหนอ  แต่ฟังจากบริบทยังไง๊ยังไงมันก็น่าจะเป็นคำว่า ริทเทิ่น  นี่แหละ    ที่เป็นแบบนี้คือเราจะไม่ได้ยินเสียง T เพราะถูกหยุดไว้นั่นเอง  ตัวอย่างคำอื่นๆเช่น

  • Button ออกเสียงเป็น   บั๊ทเอิ่น
  • Forgotten  ออกเสียงเป็น  ฟอร์ก๊อทเอิ่น
  • Mountain  ออกเสียงเป็น  เม๊าเอิ่น

แหม! แค่เสียง T ตัวเดียวถึงกับทำให้การฟังภาษาอังกฤษของเรายากขึ้นไปอีกขั้นเลยนะคะ  แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะพูดแบบนี้เหมือนกันหมดนะ  มันอยู่ที่สไตล์การพูด  บางคนยังคงออกเสียงเหมือนกับที่เราเคยเรียนมาในห้องเรียนนั่นแหละค่ะ  แต่ให้รู้ไว้เผื่อว่าไปเจอจะได้ถึงบางอ้อว่าทำไมเขาออกเสียงแบบนี้กันนะคะ ^^

คำเปรียบเปรยใช่ว่าจะมีแต่ภาษาไทย ภาษาอังกฤษเขาก็มี

คำเปรียบเปรยในภาษาอังกฤษ

คำเปรียบเปรยใช่ว่าจะมีแต่ภาษาไทย ภาษาอังกฤษเขาก็มี

ถ้าพูดถึงเรื่องคำเปรียบเปรยแน่นอนว่า ภาษาไทยมีคำเปรียบเปรยเยอะมากๆ และเราก็คุ้นเคยกันดี  เช่น ขยันอย่างมด  โง่เหมือนลา  เป็นต้น  การเล่นคำให้เกิดความหมายเชิงลึกทางภาษาแบบนี้ ภาษาอังกฤษเขาก็มีนะคะ

การเปรียบเปรยในภาษาอังกฤษจะมี 2 ลักษณะหลักๆที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ  Simile กับ Metaphor  ค่ะ  ใครอยากเขียนเก่งๆหรืออ่านวรรณกรรมหรืองานเขียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจต้องรู้จักสองตัวนี้ค่ะ  สำหรับ simile และ metaphor นั้นมีความต่างกันเล็กน้อย  simile คือการเปรียบเทียบระหว่างสิ่งของสองสิ่งโดยการใช้คำพูดให้เห็นภาพ และมีคำว่า like หรือ as เข้ามาในประโยค  เช่น  อยากจะบอกว่าเขากล้าหาญเหมือนสิงโต  He is as brave as a lion.  หรือคนที่ขยันทำงาน ทำงานเก่ง หรือทำงานหลายๆอย่าง เราก็มักจะเปรียบเทียบกับผึ้ง เช่น

She is as busy as a bee.

ในการเปรียบเทียบแบบ simile เรามักจะเห็นว่ามีการนำเอาพฤติกรรมสัตว์มาใช้เปรียบเทียบกับพฤติกรรมของคนในบางเรื่อง

Last night, you slept like a log.  (เมื่อคืนคุณหลับเป็นตายเลย)  เปรียบเทียบคนนอนขี้เซาเหมือนท่อนซุง คือนอนแน่นิ่ง เสียงอะไรก็ทำให้ตื่นไม่ได้ ประมาณนี้ แต่ของไทยเราเปรียบเหมือนคนตาย  เวลาแปลคำเปรียบเปรยลักษณะเช่นนี้ก็อาจจะต้องแปลให้ออกมามีความหมายแบบไทย  ถ้าเราแปลว่า คุณนอนหลับเหมือนท่อนซุง  คนอ่านหรือคนฟังก็อาจจะไม่เข้าใจอุปมาอุปไมยที่คนพูดหรือคนเขียนต้องการสื่อก็ได้

อีกลักษณะหนึ่งคือการอุปมาอุปไมยแบบ metaphor  ซึ่งลักษณะแบบนี้จะมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นมา  มีความหมายในเชิงลึกและบางครั้งต้องอาศัยการตีความ   เช่น Continue reading

ภาษาอังกฤษกับโซเชียลต่างๆ

social media ภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษกับโซเชียลต่างๆ

เดี๋ยวนี้อะไรๆก็ออนไลน์  ขายของออนไลน์  เรียนผ่านออนไลน์  สื่อสารกันทางออนไลน์ในโลกโซเชียล ก่อนอื่นเลยเราก็มารู้คำนี้กันก่อนคือ social media กับ social network  หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันต่างกันอย่างไร  ถ้าจะบอกแบบสั้นๆให้เข้าใจง่ายเลยคือ social network มันก็คือส่วนประกอบของ social media นั่นเอง  social media คือ สื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเขาก็จะมีการแบ่งประเภทออกเป็นหลายๆอย่าง เช่น ประเภทสิ่งพิมพ์คือ Wikipedia หรือ blogger ประเภทสื่อแลกเปลี่ยน คือ พวก Youtube,  Slideshare,  Flickr  และประเภทสื่อสนทนาคือ พวก Skype, Google Talk, Facebook, Google+ เป็นต้น  ส่วน social network คือ เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เชื่อมต่อผู้คนให้มีปฏิสัมพันธ์กัน  ซึ่งก็คือ Facebook, Line, Twitter พวกนี้นั่นเอง จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของ social media ค่ะ

ถ้าเกิดเราอยากจะถามชาวต่างชาติว่าคุณมีเฟสบุ๊คหรือเปล่า หรือเล่นเฟสบุ๊คหรือเปล่า เราจะถามว่ายังไงดี  หลายคนก็แปลไปตรงๆตัวเลยว่า play Facebook ซึ่งถ้าบอกออกไปแบบนี้ฝรั่งอาจจะงงไปเลย เพราะคนไทยใช้คำว่า เล่นกับหลายๆสถานการณ์ที่ไม่ใช่แค่เล่นกีฬา  แต่ฝรั่งเค้าไม่ใช้ค่ะ  ในกรณีของ Facebook เราใช้คำว่า use  ค่ะ   เราอาจจะใช้คำถามว่า

Do you use Facebook?
Are you on Facebook?

บางคนอาจจะถามว่าคุณมีเฟสบุ๊คหรือเปล่า ในกรณีนี้อย่าไปถามว่า Do you have Facebook นะคะ เพราะเราไม่ได้เป็นคนสร้างเฟสบุ๊ค  แต่ให้ถามว่า Continue reading

ภาษาอังกฤษ กับ โทรศัพท์มือถือ

ใช้โทรศัพท์มือถือ

“ภาษาอังกฤษ” กับ ” โทรศัพท์มือถือ”

เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยที่ 5 เลยทีเดียว  ทีนี้พอต้องสื่อสารกับชาวต่างชาติโดยต้องมีเรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือเข้ามาเกี่ยวข้อง  มันก็จะเริ่มจะงงๆละ เพราะไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี เวลาที่จะบอกว่า “ตังในโทรศัพท์หมด”    “สัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยดี”  “แบตใกล้จะหมดแล้ว”  แบบนี้เป็นต้น   เอาล่ะ  เรามาดูกันว่า  ประโยคเหล่านี้จะพูดเป็นภาษาอังกฤษได้ว่าอย่างไร

โทรศัพท์มือถือ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า mobile phone หรือทางฝั่งอเมริกาเขาก็ใช้คำว่า  cell phone  ค่ะ   ทีนี้พอต้องคุยกับชาวต่างชาติทางโทรศัพท์แล้วเกิดสัญญาณไม่ดีขึ้นมาเราจะต้องพูดว่าอย่างไร   ถ้าพูดถึงสัญญาณ  เรามักจะคุ้นกับคำว่า signal  ใช่มั้ยคะ  เราก็พูดได้ว่า

  • I don’t have a signal.  “โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ”

นอกจากนี้ยังใช้คำอื่นได้อีก  เช่น คำว่า service หรือ reception  เช่น

  • I’m sorry I don’t have any reception.
  • I don’t have any service. หรือ
  • my cell phone doesn’t have good reception

หรืออาจจะพูดประมาณนี้ก็ได้ค่ะ ลองดูตัวอย่างประโยคด้านล่างนี้นะคะ

A: I’m sorry I can’t hear you properly.  โทษทีนะ ฉันได้ยินคุณพูดไม่ชัดเลย

B: Oh! The signal might not be good.   อ้อ สัญญาณอาจจะไม่ดี

อีกประโยคหนึ่งที่ใช้บ่อยคือ  แบตโทรศัพท์หมดแล้ว  ในภาษาอังกฤษก็อาจจะใช้ประโยคนี้  Continue reading

It Its It’s มันใช้ไม่เหมือนกันนะ

It Its It’s มันใช้ไม่เหมือนกันนะ

It  Its  It’s  มันใช้ไม่เหมือนกันนะ

เคยเป็นกันไหมที่บางทีเราก็เขียน Its  กับ It’s  สลับกัน  หรือเผลอลืมเติม apostrophe s ไป ทำให้กลายเป็น Its  ซึ่งมันใช้ต่างกันเลย

It  ตัวธรรมดาตัวนี้เป็นคำสรรพนาม  ใช้แทน สัตว์หรือสิ่งของหรือสถานที่  ซึ่งเราก็มักจะใช้กันบ่อยๆอยู่แล้ว  เช่น

  • That shirt is very nice, but it is too expensive.

นอกจากนี้ it ยังใช้เป็นคำขึ้นต้นประโยคที่พูดถึงเรื่องสภาพอากาศ  หรือใช้ในโครงสร้าง

It is + adjective เช่น

  • It is quite cold today.
  • It is not easy to live alone.

หรือใช้ในประโยคที่เป็น passive voice เช่น

  • It is said that……………
  • It’s believed that…………..

ต่อมาคำว่า Its  เพิ่ม s เข้ามาตัวนึง  จะกลายเป็นคำแสดงความเป็นเจ้าของ แปลว่า “ของมัน”  เช่น       Continue reading

ตอนที่ 51 คำศัพท์ชวนสับสน Good, Well, Nice, Fine ใช้ต่างกันอย่างไร

Good, Well, Nice, Fine ใช้ต่างกันอย่างไร

คำศัพท์ชวนสับสน Good Well Nice Fine ใช้ต่างกันอย่างไร

คำว่า good   well  nice  fine  ก็ให้ความหมายในเชิงบวกที่แปลว่าด้วยกันทั้งนั้น แต่มันกลับใช้แทนกันไม่ได้นะคะ แต่ละตัวก็จะมีรายละเอียดการใช้ที่ต่างกันออกไปเล็กน้อย  อันนี้เจ้าของภาษาเค้าสามารถใช้กันได้อย่างถูกต้องแบบไม่ต้องพึ่งการจดจำ เพราะมันเป็นความเคยชินว่า สถานการณ์แบบนี้ต้องใช้คำนี้  แต่คนที่เรียนภาษาที่สองอย่างเราๆ ก็ต้องมาทำความเข้าใจกันสักเล็กน้อยนะคะ ว่าใช้ต่างกันอย่างไร

คำแรกคำว่า good เป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า ดี  ใช้ขยายคำนามได้ทุกอย่างเลยในความหมายว่าดี นอกจากนี้ยังถ้าพูดถึงอาหารยังหมายถึงอร่อยได้ด้วย เช่น

  • This soup tastes good. / This soup is good.      ซุปถ้วยนี้อร่อย

ถ้า good มี  at ตามหลังมาจะหมายถึง เก่งเรื่องอะไรเช่น

  • My sister is good at cooking.   น้องสาวทำอาหารเก่ง
  • I’m not good at math.     ฉันไม่เก่งคณิต

ต่อมาคำว่า well คำนี้เป็นได้ทั้งคุณศัพท์ (adjective) กริยาวิเศษณ์ (adverb)  เช่น

  • I’m not feeling well.          ฉันรู้สึกไม่ดี
  • She’s not well.                  เธอไม่ค่อยสบาย

แต่สำหรับ well ที่เป็น adverb นั้น อาจจะต้องระวังกันนิดนึงนะคะ เพราะหลายคนจะใช้สับสนกันระหว่าง good กับ well เช่น ถ้าเราจะบอกว่าเขาพูดภาษาอังกฤษได้ดี  ประโยคนี้จะใช้ good ไม่ได้นะคะ เพราะคำว่าดีในที่นี้ขยายกริยาค่ะ Continue reading

เจาะลึกการใช้ done แบบเจ้าของภาษา

การใช้ done

เจาะลึกการใช้  done  แบบเจ้าของภาษา

ส่วนใหญ่เราจะรู้จัก  done  ว่าเป็นกริยาช่องที่  3 ของ do แต่คุณขา!! มันเป็นคำคุณศัพท์ได้ด้วยค่ะ แปลเก๋ๆว่า  “(ทำบางอย่าง) เสร็จ หรือ (ใช้บางอย่าง)เสร็จ”  ในความหมายนี้มักจะใช้กับบุพบท with  นะคะ   เช่น

  • I’m done with my dinner.
    ทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว
  • Tell me when you’re done with your work.
    บอกฉันละกันตอนที่งานคุณเสร็จแล้ว

การพูดภาษาอังกฤษ  บางครั้งน้ำเสียงที่ใช้ก็สำคัญ  ถ้าน้ำเสียงปกติ  I’m done ก็จะหมายถึงว่า ทำอะไรเสร็จแล้ว  แต่ถ้าน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายหรือรำคาญ  ก็อาจจะแปลว่า “พอแล้ว  ไม่เอาแล้ว”  ก็ได้  เช่น Continue reading

correlative conjunction คำเชื่อมคู่

คำเชื่อมคู่

correlative conjunction

Conjunction คือ คำสันธานหรือคำเชื่อมในภาษาอังกฤษ โดยปกติ conjunction จะแบ่งออกเป็น coordinating conjunction และ subordinating conjunction แต่มีคำเชื่อมอีกประเภทหนึ่งคือ correlative conjunction ซึ่งคือ คำเชื่อมคู่หรือคำเชื่อมที่ประกอบด้วยคำสองคำ โดยใช้เชื่อมประโยคที่มีระดับเท่ากันคือเป็น Independent clause ทั้งคู่ ตัวอย่างของ correlative conjunction มีดังนี้

1. either…or แปลว่า “ไม่…ก็” (ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง) โดยปกติระหว่าง either…or จะเป็น นามวลี หรือ ประโยคก็ได้ เช่น

  • Either the government or relevant organizations must be responsible for this matter.
    ไม่รัฐบาลก็องค์กรที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้
  • Either you’ll leave my house or I’ll call the police.
    คุณจะออกจากบ้านของฉันหรือจะให้ฉันเรียกตำรวจ
  • You must tell either your dad or your mom.
    คุณต้องบอกไม่พ่อก็แม่ของคุณ

2. neither…or แปลว่า “ไม่…และ” คือ ไม่ทั้งสองอย่าง ใช้ในความหมายที่เป็นปฏิเสธ เช่น

  • If the service is terrible, the customer will neither come nor buy products at your shop.
    ถ้าบริการไม่ดี ลูกค้าก็จะไม่มาและก็ไม่ซื้อสินค้าที่ร้านค้าคุณ
  • I normally neither do exercise nor eat healthy food, so I become overweight.
    ปกติฉันก็ไม่ได้ทั้งออกกำลังกายและกินอาหารที่มีประโยชน์ ฉันจึงอ้วน

** ประโยคที่มี neither…nor มีความหมายเป็นปฏิเสธอยู่แล้ว จึงไม่ต้องใส่คำที่แสดงความปฏิเสธลงไปซ้ำอีก
*** ลองเปรียบเทียบการใช้ either…or และ neither…nor จากสองประโยคนี้ค่ะ

  • Either Izumi or Nana will come with us.
    ไม่อิซูมิก็นานะจะไปกับเราด้วย
  • Neither Izumi nor Nana will come with us.
    ทั้งอิซูมิและนานะจะไม่ไปกับเรา

ข้อควรระวังในการใช้สองคำนี้คือกริยาจะต้องผันตามคำนามที่อยู่หลัง or หรือ nor เช่น

  • Either you or he is the representative of the school.
    ไม่คุณก็เขาที่จะเป็นตัวแทนของโรงเรียน

3. not only…but also แปลว่า   “ไม่เพียงแต่…แต่ยังอีกด้วย”

  • Parents not only want their children to be smart, but also to be good.
    พ่อแม่ไม่เพียงแต่ต้องการให้ลูกๆเป็นคนเก่งแต่ต้องการให้เป็นคนดีด้วย

4. Both…and แปลว่า “ทั้ง…และ”

  • Both my sister and my brother can speak French very well.
    ทั้งน้องชายและน้องสาวของฉันพูดฝรั่งเศสได้ดีทั้งคู่

5. whether…or แปลว่า “หรือไม่”

  • The meeting will be held whether you are free or not.
    การประชุมจะถูกจัดขึ้นไม่ว่าคุณจะว่างหรือไม่
  • I don’t know whether my boss is satisfied with my work.
    ฉันไม่รู้ว่าเจ้านายจะพอใจงานฉันหรือป่าว

** ตัวอย่างของ correlative conjunction ที่ยกตัวอย่างมานี้จะเป็นคำที่เจอบ่อย และแต่ละตัวก็มีความหมายแตกต่างกันไป ลองฝึกใช้ดูค่ะ

คำอุทานในภาษาอังกฤษ!

คำอุทานในภาษาอังกฤษ

คำอุทานในภาษาอังกฤษ

หลายคนเมื่อต้องอ่านหนังสือภาษาอังกฤษโดยเฉพาะจำพวกนิยาย หรือเรื่องเล่าต่างๆ ก็มักจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำอุทาน หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า interjection เท่าไหร่ เพราะฝรั่งเค้าไม่ได้ออกเสียงอุทานเหมือนบ้านเรา เวลาอ่านหนังสือเลยจับความรู้สึกของตัวละครไม่ได้ซึ่งทำให้ขาดอรรถรสในการอ่าน สิ่งที่จะมานำเสนอต่อไปนี้คือคำอุทานที่มักจะพบเจอบ่อยพร้อมความหมายและแนวทางการใช้ มาดูกันเลยค่ะ

  1. Argh! – เป็นเสียงโวยวาย แสดงความไม่พอใจเหมือนกับคำว่า อ๊ากกก หรือ ย๊ากกก ในภาษาไทย
  2. Boo! – เสียงจ๊ะเอ๋ให้ตกใจ หรือเป็นเสียงแสดงความไม่เห็นด้วยก็ได้ แล้วแต่สถานการณ์
  3. Oops! – อุ๊ย แสดงอาการตกใจเล็กน้อย
  4. Whoa! – โว่, โฮ่ เป็นการบอกให้พอ หรือหยุดก่อน
  5. Eureka! / Bingo! – สำเร็จแล้ว, ชนะแล้ว, ทำได้แล้ว
  6. Ouch! – อ่านว่า เอ้าช์ แสดงอาการเจ็บปวด มีความหมายเหมือน โอ๊ยยย ในภาษาไทย
  7. Bravo! – ไชโย้ แสดงอาการดีใจ
  8. Ew!/ Ugh! / Yuck – อ่านออกเสียงว่า อิ้ววว / เอิ๊ก / ยั๊ค แสดงอาการรังเกียจ
  9. Er, Erm – ใช้เวลานึกว่าจะพูดว่าอะไร ยิ่งลากเสียงยาวมากก็จะเป็นการถ่วงเวลาเอาไว้คิด
  10. Hm! – อ่านว่า หืมมมม   แสดงความสงสัย ความไม่แน่ใจ ลังเล สับสน
  11. Hee Hee! – ฮี่ๆๆ ใช้แสดงความเจ้าเล่ห์ ประมาณว่ามีแผนร้ายในใจ
  12. Uh-huh – เออเฮอะ อ่าฮะ แสดงความเห็นด้วย หรือเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
  13. Yay! – เย่ แสดงความยินดี หรือดีใจ
  14. Yoo-hoo – ใช้เรียกให้คนหันมาสนใจหรือเสียงทักทายให้คนหันมา
  15. Ssh! Sh! – ชูว์ว์ว์ เป็นการบอกให้เงียบหรือเบาเสียงลงหน่อย
  16. Whoopee! – วู้ปี้ แสดงความยินดีปรีดา
  17. Oh God! / My God! / Gosh! – โอ้พระเจ้า   แสดงความประหลาดใจ แปลกใจหรือกลัวตกใจกลัว ก็ได้
  18. Whew! / Phew! – วิ้ววว ฟิ้วววว แสดงอาการโล่งใจ เบื่อ เหนื่อย ตกใจ แปลกใจแล้วแต่สถานการณ์
  19. Terrific! – แปลว่า ยอดเยี่ยม วิเศษ
  20. Yummy! – แปลว่า อร่อย
  21. Alas! – อนิจจา พุทโธ่ แสดงอาการเศร้า หรือเสียใจ
  22. Hooray! – แสดงความยินดี หรือมีความสุข
  23. Hey! – ใช้เรียกคนอื่น เฮ้ (แต่จะไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่)   ใช้แสดงอาการตกใจหรือแสดงความยินดีก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

** นี่เป็นเพียงคำอุทานที่เราพบได้บ่อยๆเท่านั้นนะคะ แต่ทั้งหมดนี้ก็สามารถช่วยให้เราอ่านนิยายได้สนุกขึ้นแล้วล่ะค่ะ ^^

การใช้ May & Wish ในการอวยพร

การใช้ May & Wish ในการอวยพร

การใช้ May & Wish ในการอวยพร

ช่วงเทศกาลทีไร ก็เป็นช่วงที่หลายคนหาซื้อของขวัญ ของฝากกันให้วุ่น และที่จะลืมไม่ได้เลยคือ “คำอวยพร” ที่ต้องแนบไปพร้อมกับของขวัญชิ้นงามๆ นั้น แต่!! ก็อีกนั่นแหละ จะอวยพรใครทั้งทีก็นึกคำอวยพรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มยังไง และบ่อยครั้งที่เคยเห็นใช้ผิดกัน
เวลาอวยพร ซึ่งอาจจะอวยพรแบบทางการสักหน่อย เรามักจะเห็นคำว่า Wish และ May แต่สองคำนี้มีโครงสร้างประโยคในการใช้ที่แตกต่างกันค่ะ
มาดูที่ wish กันก่อนค่ะ ที่เห็นผิดบ่อยๆคือ มักจะเขียนกันว่า I wish you are happy. I wish you are successful. ซึ่งมันผิดค่ะ!! เวลาใช้ wish จะมีสูตรโครงสร้างดังนี้

I + wish + คน + Noun / Noun phrase (คน ในที่นี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็น you)

เช่น

  • I wish you a happy birthday.
  • I wish you success throughout the year.
  • I wish you a wonderful holiday.

บางที่อาจจะใช้คำว่า wishing ก็ได้ค่ะ โครงสร้างเหมือนกับ wish เลย เช่น

  • Wishing you happiness and prosperity.
  • I’m wishing you all the best in your life.

มาดูทางฝั่ง May กันบ้าง เรามักจะใช้ May ขึ้นต้นประโยค สูตรโครงสร้างเป็นแบบนี้ค่ะ

May + you + V1
เช่น

  • May you be happy and joyful. (ประโยคนี้ V1 คือ be)
  • May you succeed in your life. (ประโยคนี้เราใช้ succeed ที่เป็นคำกริยา ไม่ใช้ success ที่เป็นคำนาม)
  • May you have a happy married life.

หรือบางคนอาจจะเคยได้ยินว่า May god bless you. ก็ใช้โครงสร้างเดียวกันค่ะ

** ขอแถมอีกคำที่ใช้ได้ในการอวยพร คือคำว่า hope แปลว่า “ขอให้คุณ…..” เราใช้ hope โครงสร้างเดียวกับการใช้ may คือ

hope + present simple tense
เช่น

  • I hope you have a great wedding day.
  • I hope you have a wonderful holiday.
  • Hope you have a good journey.
  • I hope you are happy and joyful.

** ในการอวยพรแบบไม่เป็นทางการ เรามักจะใช้ Have หรือ Enjoy ค่ะ เช่น

  • Have a good trip.
  • Have a safe flight.
  • Have a nice party.
  • Enjoy your holiday.
  • Enjoy your class.

ใกล้เทศกาลอีกแล้ว! เตรียมเขียนคำอวยพรกันไว้ได้เลยค่ะ ^^