เสียง T เจ้าปัญหาในภาษาอังกฤษ
ทำไมถึงบอกว่าเป็นตัว T เจ้าปัญหา เพราะตัว T เนี่ย ฟังบางทีก็ไม่ออก T แต่กลายเป็น D ซะงั้น บางทีมีเสียง T แต่ก็ไม่ออกเสียงเพราะอะไร?
ในบางครั้งการออกเสียงแบบ American English ถ้าหากว่าเสียง T มันไปอยู่ระหว่างสระ มันก็จะออกเสียงเป็นเสียง soft D เช่น ที่มักได้ยินบ่อยคือคำว่า
- water ก็จะออกเสียงเป็น wader
- city ก็จะออกเสียงเป็น cidy
หรือถ้าหากมันเป็นในรูปประโยค เช่น
- See you later. เราอาจจะได้ยินคนอเมริกันออกเสียงว่า ซี ยู เล๊เด่อร์
หรือประโยค
- What a beautiful lady! ก็อาจจะออกเสียงเป็น ว้อท อะ บิ๊วดี้ฟูล เล๊ดี้
ในกรณีที่สอง ถ้าหากว่าคุณไปเจอเสียง T ที่ตามหลัง ตัว N แล้วล่ะก็ คนอเมริกันเขาก็จะทิ้งเสียง T ไปเลย เวลาฟังมันเลยอาจจะไม่คุ้นหูคำๆนั้นซักเท่าไหร่ ก็แหมเล่นตัดเสียง t ทิ้งไปเลยทั้งๆที่ตอนเรียนมาก็ออกเสียง T ชัดกันอย่างกับอะไรดี จะให้ไม่งงได้ไงจริงมั้ย? เช่น
- Twenty คำนี้เรียนมายังไง๊ยังไงมันก็ต้องออกเสียงว่า ทเว็นที่ แต่พอได้ฟังจริงๆพี่อเมริกันเขาออกว่า ทเว็นนี่
หรือคำว่า counter บางครั้งเขาก็ออกเสียงกันว่า เค๊าเน่อ แทนที่จะเป็น เค๊าเท่อ
Printer บางครั้งก็ดันไปออกเสียงว่า พริ้นเน่อ แทนที่จะเป็น พริ้นเท่อ
แต่ไม่ต้องตีโพยตีพายไปค่า เพราะเขาไม่ได้พูดแบบนี้กันทุกคนหรอก มันเป็นสไตล์ของแต่ละคน บางคนที่ชอบออกเสียงรัวๆเร็วๆด้วยความอยากให้ประโยคมันต่อเนื่องหรือด้วยความขี้เกียจอะไรก็ตามแต่ ที่จะต้องตัดเสียง T ทิ้งไป มันก็ไม่ได้เป็นกันทุกคนค่า ในกรณีนี้คือเผื่อไว้ว่าไปเจอกรณีของคนที่เค้าตัดเสียง T ทิ้งจะได้ไม่สับสนเนอะ
ในกรณีที่สาม ถ้าหากว่าคำๆนั้นมีเสียง T มาก่อน เสียง N จะได้ยินคนอเมริกันเค้าออกคล้ายๆกับ เอิ่น มันเหมือนกับกร่อนเสียงไปเหลือแค่ เอิ่น เช่น
คำว่า written ปกติต้องอ่านว่า ริทเทิ่น ใช่มั้ยคะ เรียนมาตั้งแต่ประถมจนจบมัธยมก็เคยได้ยินแต่ ริทเทิ่น อยู่มาวันหนึ่งได้ยินฝรั่งเค้าพูดว่า ริทเอิ่น ก็งงไปสิจ๊ะ มันคือคำว่าอะไรหนอ แต่ฟังจากบริบทยังไง๊ยังไงมันก็น่าจะเป็นคำว่า ริทเทิ่น นี่แหละ ที่เป็นแบบนี้คือเราจะไม่ได้ยินเสียง T เพราะถูกหยุดไว้นั่นเอง ตัวอย่างคำอื่นๆเช่น
- Button ออกเสียงเป็น บั๊ทเอิ่น
- Forgotten ออกเสียงเป็น ฟอร์ก๊อทเอิ่น
- Mountain ออกเสียงเป็น เม๊าเอิ่น
แหม! แค่เสียง T ตัวเดียวถึงกับทำให้การฟังภาษาอังกฤษของเรายากขึ้นไปอีกขั้นเลยนะคะ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะพูดแบบนี้เหมือนกันหมดนะ มันอยู่ที่สไตล์การพูด บางคนยังคงออกเสียงเหมือนกับที่เราเคยเรียนมาในห้องเรียนนั่นแหละค่ะ แต่ให้รู้ไว้เผื่อว่าไปเจอจะได้ถึงบางอ้อว่าทำไมเขาออกเสียงแบบนี้กันนะคะ ^^