Category Archives: ประโยคสนทนาภาษาอังกฤษ

กำลังไป พูดเป็นภาษาอังกฤษได้ว่ายังไง

กำลังไป พูดเป็นภาษาอังกฤษได้ว่ายังไง

“กำลังไป”  พูดเป็นภาษาอังกฤษได้ว่ายังไง

เวลาที่เรานัดกับเพื่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเพื่อนชาวต่างชาติ แล้วเพื่อนเกิดโทรมาถามว่า อยู่ไหนแล้ว ถึงหรือยัง  เราก็อยากตอบกลับไปว่า  กำลังไป  เราจะใช้คำว่า I’m going to  ได้หรือเปล่า  หรือต้องใช้คำว่าอะไรมาดูกันค่ะ

ถ้าเราอยากจะบอกว่า “กำลังไป”  ให้ใช้คำว่า I’m coming ค่ะ  เอ๊ะ! แปลกมั้ย ทำไมใช้ come  มันแปลว่า มา ไม่ใช่เหรอ  ใช้ผิดหรือป่าว   ไม่ผิดหรอกค่ะ  ใช้ I’m coming นี่แหละถูกแล้ว  แต่ถ้าหากคุณใช้ว่า  I’m going แล้วล่ะก็  คนที่คุณนัดเขาอาจจะไม่รอคุณแล้วก็ได้นะคะเพราะเขาคิดว่าคุณกำลังจะไปที่อื่น  หลักการในการจำคือ ให้เอาสถานที่ที่เรานัดหมายเป็นตัวตั้ง  ถ้าเราบอกว่า I’m coming จะหมายถึง ชั้นกำลังจะมาที่ที่เรากำลังนัดหมาย ก็คือกำลังจะมาเจอคนที่นัด  แต่ถ้าใช้คำว่า I’m going นั่นหมายถึงว่า ชั้นกำลังจะออกไปจากที่นัดหมายนั่นเองค่ะ  ไปก็คงไม่เจอแล้ว

หรือถ้าไม่อยากใช้คำว่า I’m coming ก็มีคำอื่นให้ได้ใช้กันอีกนะคะ  เช่น ใช้คำว่า  I’m on the way หรือ I’m on my way ก็ได้ค่ะ  แปลตรงๆตัวว่า  ชั้นกำลังอยู่ระหว่างทาง  หรือก็คือกำลังไปนั่นเองค่า   ถ้าแบบย่อๆ ก็แค่พูดว่า  on the way ก็ได้ค่ะ

ถ้าจะบอกว่าใกล้ถึงแล้ว  ก็สามารถใช้ประโยคว่า I’m almost there.  แปลว่า ชั้นเกือบจะถึงที่นั่นแล้ว  ก็ได้ค่ะ  หรือถ้าอยากบอกให้ละเอียดว่าจะถึงที่หมายภายในกี่นาทีก็ใช้ประโยคนี้ได้เลยค่ะ  I’ll be there in 10 minutes ให้คนรอได้ใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่าจะถึงภายในกี่นาทีค่ะ^^  หรือใช้ประโยคนี้ก็ได้ค่ะ   See you in 5 minutes.  เจอกันในอีก 5 นาทีนี้นะ  ประมาณนี้ค่ะ   ลองมาดูตัวอย่างบทสนทนากันสักหน่อยค่ะ

  • Richard: I’ve arrived at the place for 5 minutes. Where are you now?
    เรามาถึงประมาณ 5 นาทีแล้ว  แกอยู่ไหนตอนนี้
  • Montree: I’m coming. See you in 5 minutes.
    กำลังไป  เจอกันอีก 5 นาทีนะ

แต่ในกรณีนี้ดูเหมือนจะสายนะคะ  ถ้าในกรณีที่เราจะสายหรือรู้ล่วงหน้าว่าจะสายเราสามารถบอกได้ก่อนเลยว่า เราอาจจะไปสายนะ กี่นาทีกี่นาทีก็ว่าไป  เช่น Continue reading

สมมติว่า… จะพูดเป็นภาษาอังกฤษได้ว่าอย่างไร

สมมติว่า… จะพูดเป็นภาษาอังกฤษได้ว่าอย่างไร

“สมมติว่า…” จะพูดเป็นภาษาอังกฤษได้ว่าอย่างไร

ถ้าเราอยากจะพูดว่า “สมมติว่า…”  เช่น สมมติว่าเราเป็นซุปเปอร์แมน  สมมติว่าเรายังไม่เลิกกัน  อะไรแบบนี้เราจะพูดว่าอะไรได้บ้าง มาดูกันค่ะ

คำแรกที่ง่ายๆเลย มักพูดเป็นภาษาพูดแบบไม่เป็นทางการนัก คือคำว่า Let’s say ค่ะ  เช่น

  • Let’s say you were my dad, what would you say to me?
    สมมติว่าเธอเป็นพ่อของชั้น เธอจะพูดว่ายังไงกับชั้น

ลองสังเกตให้ดีนะคะว่า tense ที่ใช้ตามหลังคำว่า let’s say เป็น tense ในอดีต  เป็นกริยาช่องที่ 2     เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เหตุการณ์ในอดีตแต่ทำไมเราใช้กริยาช่องที่ 2 เพราะมันเป็นการสมมติค่ะ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง  เราเลยใช้กริยาช่องที่ 2 ค่ะ  ลองดูตัวอย่างอีกสักประโยคนะคะ

  • Let’s say my mom allowed me to work abroad, that would be great.
    สมมติว่าแม่อนุญาตให้ชั้นไปทำงานเมืองนอกได้นะ มันจะเยี่ยมสุดๆไปเลย

นอกจากคำว่า let’s say แล้ว เรายังสามารถใช้คำว่า  suppose ได้ด้วยค่ะ  ใช้ suppose ตามด้วย subject + verb2 ได้เลย  เช่น

  • Suppose I were a superman, how cool would that be.
    สมมติว่าชั้นเป็นซุปเปอร์แมน มันคงจะเจ๋งสุดๆไปเลยแหละ

อีกคำนึงที่อาจจะนำมาใช้ได้ คือคำว่า imagine ปกติแล้วคำว่า imagine แปลว่า จินตนาการ หรือ วาดฝัน หรือ นึกคิด  แต่มันก็มีความใกล้เคียงกับคำว่า สมมติเหมือนกัน  เช่นในกรณีที่เราต้องการบอกว่า  Continue reading

ตอนที่ 40 : ทำยังไงไม่ให้ใช้ very พร่ำเพรื่อ

ทำยังไงไม่ให้ใช้ very พร่ำเพรื่อ

ทำยังไงไม่ให้ใช้  very พร่ำเพรื่อ

เวลาจะบอกว่า  ดีมาก   ร้อนมาก  หิวมาก  เหนื่อยมาก  กลัวมาก  เล็กมาก  ใหญ่โตมโหฬารมาก  คำที่ปิ๊งขึ้นมาในหัวก็คือ  very  โดยเอา very นำหน้าคำคุณศัพท์  และเราก็จะใช้ very  veryvery กันอยู่อย่างนี้ แต่รู้หรือไม่คะว่าเรามีคำที่เรียกว่า extreme adjective ซึ่งก็คือคุณศัพท์ที่บอกถึงความที่สุด  เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้ very ซ้ำไปซ้ำมา  และแสดงให้เห็นว่าเรารู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษหลากหลาย  มาดูตัวอย่างคำศัพท์กลุ่มนี้กันค่ะว่ามีอะไรบ้าง

very good     =        superb, excellent
very big        =        immense, gigantic
very afraid    =        terrified
very angry    =        furious
very happy    =        jubilant
very worried  =        anxious
very valuable =       precious
very small     =        tiny
very old        =        ancient
very quiet     =       silent
 very fast      =       quick
very tired      =       exhausted
very ugly       =       hideous
very hungry   =       starving
very hot         =      boiling
very crowded  =     packed
very clever    =      brilliant
very roomy   =       spacious
very stupid    =      idiotic
very wicked   =      villianous
very cold       =      freezing
very beautiful =    exquisite

เห็นมั้ยคะว่ามีหลายคำเลยที่ใช้แทน very……. ได้  ลองมาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ Continue reading

ตอนที่ 36 : มารู้จักคำศัพท์เกี่ยวกับ “เวลา” กัน

เวลาในภาษาอังกฤษ

มารู้จักคำศัพท์เกี่ยวกับ “เวลา” กัน

ในเกือบทุกประโยคส่วนใหญ่มักจะมีคำขยายเกี่ยวกับเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง  เพื่อบอกว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่  ตอนไหน  แต่ถ้าเป็นคำทั่วๆไปเช่น  today  tomorrow yesterday  อันนี้แน่นอนว่าทุกคนรู้จักกันอยู่แล้ว  แต่ที่จะนำมาพูดถึงคือวลีหรือสำนวนเกี่ยวกับเวลาที่บางคนอาจจะไม่ค่อยรู้จัก  บางคำอาจจะเป็นคำที่เราอยากจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่าอะไร  มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง

ปกติถ้าเราจะพูดว่าทุก ๆวัน  ก็จะใช้ every day ใช่มั้ยคะ  แต่ก็มีคำอื่นอีกที่หมายถึงทุกๆวัน คือ  every single dayที่เพิ่ม single เข้ามาก็เพื่อเป็นการเน้นว่าทุกๆวันโดยไม่ขาดแม้แต่วันเดียว  single ยังใช้กับอย่างอื่นเพื่อเป็นการเน้นได้ด้วย เช่น  every single minute(ทุกๆนาที) หรือ every single episode (ทุกๆตอน)  ตัวอย่างประโยค เช่น

  • You must hand in the report every single day.
    คุณต้องส่งรายงานทุกๆวัน

คำต่อมาคือคำว่า day after day แปลว่า  วันแล้ววันเล่า, ทุกวี่ทุกวัน  ในทำนองว่าเป็นอยู่เช่นนั้นทุกๆวันไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะแฝงความนัยว่าซ้ำซากน่าเบื่อก็ได้  เช่น

  • I have to live alone day after day.
    ฉันต้องอยู่คนเดียวแบบนี้วันแล้ววันเล่า

ซึ่งเราสามารถใช้ day in day outก็ได้เช่นกันคือ   I have to live alone day in day out.

โดยจะให้ความหมายเดียวกันค่ะ   แต่ถ้าอยากพูดว่า “วันเว้นวัน”  ให้ใช้คำว่า every other day เช่น   Continue reading

ตอนที่ 33 : การใช้ also, as well, too ใช้ต่างกันอย่างไร

การใช้ also, as well, too

การใช้  also, as well, too  ใช้ต่างกันอย่างไร

also, as well และ too สามคำนี้มีความหมายเหมือนกันคือ  “อีกด้วย หรือ ด้วยเหมือนกัน” แต่มีวิธีใช้ที่ต่างกันค่ะ

— also —-

โครงสร้างประโยคของ also  เรามักจะวาง also ไว้หน้าคำกริยาแท้ในประโยค  เช่น

  • I hate you but I also love you.
    ฉันเกลียดคุณแต่ฉันก็ยังรักคุณด้วย  (ฉันทั้งรักทั้งเกลียดคุณ)
  • Jeffry speaks English. He also speaks Spanish.
    เจฟฟรี่พูดภาษาอังกฤษ  แล้วเขาก็ยังพูดภาษาสเปนอีกด้วย

แต่ถ้าในประโยคนั้นมี  verb to be ให้วางไว้หลัง verb to be เช่น Continue reading

ตอนที่ 32 : But แปลว่า “แต่” แค่นั้นหรือ?

ความหมายของ But

But แปลว่า “แต่”  แค่นั้นหรือ?

คำว่า but หลายคนรู้จักในความหมายว่า “แต่”  ที่เป็น conjunction หรือคำเชื่อมประโยคที่มีความหมายขัดแย้งกัน  แต่เรายังสามารถใช้ but ในความหมายอื่นได้อีกค่ะ  ไม่ธรรดาเหมือนกันนะคะคำนี้  มาดูกันค่ะว่า but ใช้อย่างไรได้บ้าง

—- butเป็นคำเชื่อมประโยค มีความหมายว่า “แต่” —-

butในกรณีนี้จะเชื่อมสองประโยคเข้าด้วยกัน โดยบ่งบอกว่าเนื้อความมีความขัดแย้งกัน  ตัวอย่างเช่น

  • I want to visit Japan but I don’t have enough money.
    ฉันอยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นนะแต่ว่าตังค์ไม่พอ
  • I can speak Chinese but I can’t speak Spanish.

** butในกรณีนี้อาจจะเติมหรือไม่เติม comma หน้า but ก็ได้ แต่ถ้าหากเป็นประโยคยาวๆและเพื่อป้องกันการสับสนเราอาจจะใส่ comma เพื่อแยกประเด็นให้ชัดเจนก็ได้    และในภาษาเขียนที่เป็นทาการเราจะไม่นิยมใช้ but นำหน้าประโยค  แต่จะนิยมใช้ however มากกว่า   ส่วนในภาษาพูดเราอาจจะได้ยิน but ขึ้นต้นประโยคก็ได้

—- butใช้ในความหมายว่า “ยกเว้น” หรือ “นอกจาก” —-

butในความหมายนี้มักตามหลัง  all, none, every…., any….., no…… เช่น everything, everybody, nobody etc.

  • He eats nothing but hamburgers.
    เขาไม่กินอะไรเลยนอกจากพิซซ่า
  • Everybody comes but her.
    ทุกคนมายกเว้นหล่อน

** คำที่ตามหลัง but จะเป็น object pronoun (me, her, him, them, etc.) แต่ถ้าเป็นชื่อเฉพาะก็ใช้ได้เลย

** และถ้าหลัง but เป็นคำกริยาก็จะเป็นกริยาที่เป็น infinitive without to เช่น Continue reading

ตอนที่ 31 : “What” แปลได้มากกว่าคำว่า “อะไร”

What ในภาษาอังกฤษ

“What” แปลได้มากกว่าคำว่า “อะไร”

เจอบ่อยกันใช่มั้ยคะ คำว่า what เนี่ย  อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าถ้าพูดถึง what ก็ต้องนึกถึงประโยคคำถาม  แต่บางประโยคเนี่ยอ่านยังไง๊ยังไงมันก็ไม่น่าใช่ประโยคคำถามนี่สิคะคุณขา  แล้ว what ในประโยคพวกนี้คืออะไรล่ะ  มันต้องแปลว่าอย่างไรเหรอถึงจะเข้าใจประโยคได้อย่างชัดเจนเห็นแจ้ง  เรามีคำตอบค่ะ  มาดูกันค่ะว่า  what ใช้อย่างไรได้บ้าง

—- what ทำหน้าที่เป็น question word เพื่อสร้างประโยคคำถาม —-

อันนี้ใครๆก็รู้ใช่มั้ยคะ  แต่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้เพราะถือเป็นหน้าที่หลักๆของ what เลยทีเดียว  ซึ่งการตั้งคำถามด้วย what ก็ต้องเป็นคำถามประเภทที่ต้องการรายละเอียด โดยโครงสร้างหลักในการสร้างคำถามประเภทที่ใช้ what ก็มีดังนี้ค่ะ

          What + กริยาช่วย + ประธาน + กริยา +……..?

เช่น

  • What does your brother have for lunch?
  • What are you listening to?

          What + V.to be + Noun?

เช่น Continue reading

ตอนที่ 18 : การตอบรับเป็นภาษาอังกฤษเมื่อมีใครบอกข่าวดีหรือข่าวร้าย

ภาษาอังกฤษ ข่าวดี หรือ ข่าวร้าย

การตอบรับเป็นภาษาอังกฤษเมื่อมีใครบอกข่าวดีหรือข่าวร้าย

เวลาที่ต้องพูดภาษาอังกฤษ สิ่งที่เป็นปัญหาอย่างนึงของคนไทยที่สังเกตได้คือ การตอบรับ (response)ต่อสถานการณ์ต่างๆ  ไม่รู้ว่าจะพูดตอบกลับไปว่าอย่างไร บางคนก็พูดไปง่ายๆเท่าที่รู้ คือ Yes  No  Ok  หรือยึดติดกับคำเดิมๆเป็นแพทเทิร์นที่จำมาตั้งแต่ประถม เช่น  How are you?  พอได้ยินคำถามนี้ก็เหมือนถูกตั้งโปรแกรมไว้ว่าต้องตอบว่า I’m fine.  ทั้งๆที่ก็ตอบอย่างอื่นได้อีกหลายแบบ จะดีกว่ามั้ยถ้าเราสามารถตอบได้หลายๆรูปแบบเพื่อให้การใช้ภาษาอังกฤษของเรามีความเท่ไปอีก  ในตอนนี้จะขอแนะนำการตอบรับในสถานการณ์ที่เมื่อได้รับรู้ข่าวดี หรือ ข่าวร้าย

เมื่อมีใครมาเล่าข่าวดีให้ฟัง  เช่น  เรียนจบแล้ว กำลังจะแต่งงาน  ได้งานทำ  ได้เลื่อนขั้น  หรือได้รับรางวัลต่างๆ เราสามารถแสดงความยินดีด้วยประโยคต่อไปนี้ค่ะ

  • That’s fantastic.
    wonderful.    —————--> ยอดเยี่ยมมาก
    terrific.
    great.
  • I’m so happy to hear that.
    ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น
  • I’m so happy with you.
    ดีใจกับคุณด้วย
  • That’s a great news.
    เป็นข่าวที่เยี่ยมมาก
  • Congratulations!
    ยินดีด้วย

เมื่อมีข่าวดี ก็ต้องมีข่าวร้าย  เช่นอาจจะมีเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า  ตกงาน  พ่อป่วยเข้าโรงพยาบาล   งานไม่ราบรื่น  เราอาจจะพูดประโยคแสดงความเสียใจได้ดังนี้ค่ะ Continue reading

ตอนที่16 – การใช้ will

การใช้ will

การใช้ will

พอพูดถึง will เรามักจะคิดถึงเหตุการณ์ที่เป็นอนาคต  และก็ความหมายมันก็แปลว่า “จะ”  ชั้นจะทำโน่น ทำนี่  จะไปที่นั่นที่นี่  แต่รู้หรือไม่?? เราต้องแยกประเด็นว่า ภายใต้คำว่า “จะ”นั้น มันเป็นเหตุการณ์ที่เราได้วางแผนเอาไว้แล้ว  หรือ  มันเป็นเหตุการณ์ที่เราคิดแบบปัจจุบันทันด่วน ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า  เพราะเราจะใช้ will ในกรณีที่เราคิดตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลย  ไม่มีการวางแผนอะไรทั้งนั้น  ซึ่งถ้าเป็นเหตุการณ์ที่ตั้งใจ หรือมีการวางแผนเอาไว้แล้วเรามักจะใช้  to be going to ค่ะ  เอ้า!! มาดูความต่างกันค่ะ

  • I’m going to Spain tomorrow. My flight is at 7 pm.
    ฉันจะไปสเปนพรุ่งนี้  เที่ยวบินตอนทุ่มนึง

(**เห็นมั้ยคะว่า มีการวางแผนไว้แล้ว จองตั๋วไว้ด้วย ไปแน่ๆชัวร์ๆไม่มั่วนิ่มนะ)

  • The flights to London are all reserved, so I will go by the train.
    เที่ยวบินไปลอนดอนถูกจองเต็มแล้ว ชั้นก็เลยจะไปด้วยรถไฟแทน

(**ไม่ได้คิดมาล่วงหน้า เพราะเป็นการตัดสินใจโดยทันที)

และนั่นหรือประเด็นแรกในการใช้ will  ประเด็นต่อมา  will ยังใช้ในการให้คำสัญญาได้ด้วย ว่าชั้นจะไม่ทำอย่างนั้นนะ  อย่างนี้นะ  เช่น

  • I’ll be back soon.
    เดี๋ยวฉันจะกลับมาเร็วๆนี้

ใช้ในรูปปฏิเสธบ้างก็ได้ เช่น

  • I won’t keep you waiting long.
    ผมจะไม่ปล่อยให้คุณต้องรอนานๆอีก

นอกจากให้สัญญาแล้ว เราอาจจะใช้ในการคาดการณ์ หรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคตก็ได้ ซึ่ง!! ต้องขอย้ำว่าเป็นการคาดการณ์จากความรู้สึกไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนอะไร  ในกรณีนี้เราจะใช้ will โลดดดดค่ะ   แต่ถ้าหากเป็นการคาดการณ์แบบมีหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าจะเกิดแน่ๆเราก็จะกลับไปใช้บริการ  to be going to อีกเช่นเคยค่ะ เช่น Continue reading

หลากหลายวิธีการใช้ keep

หลากหลายวิธีการใช้ keep

หลากหลายวิธีการใช้  keep

Keep  นอกจากจะแปลว่า “เก็บ,รักษา”  แล้ว ยังแปลเป็นอย่างอื่นได้อีกด้วยมีรูปแบบการใช้ที่หลากหลายอีกร้อยแปดพันแบบค่ะ  เคยเจอ keep ในประโยคมั้ยคะ แล้วแบบคิดไม่ออกว่าจะแปลว่าอะไรดี??

1. keep แรก แปลว่า “เก็บ,รักษา”—- ถึงจะรู้อยู่แล้วแต่ก็ต้องพูดซะหน่อย  เพราะบางทีมันก็ใช้บ่อยกับบางคำ  เช่น keep a secret   keep a promise  เช่น

  • I must keep a promise I made.
    ฉันต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้

2. keep ต่อมาคือ keep + Ving—-keep แบบนี้มีความหมายว่า ทำสิ่งๆนั้นต่อไปเรื่อยๆ  เช่น

  • Even if our team has lost, we will keep playing soccer.
    แม้ว่าทีมเราจะแพ้ เราก็จะเล่นฟุตบอลต่อไป

3. ใช้ keep on + Ving ก็ให้ความหมายเดียวกันค่ะ

4. keep someone doing something—- ในโครงสร้างจะหมายถึง ให้ใครบางคนทำสิ่งนั้นๆ เช่น Continue reading