การใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษ (punctuation)

การใช้เครื่องหมายวรรคตอน

หมายวรรคตอน (punctuation)

สิ่งสำคัญในการเขียนภาษาอังกฤษที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการรู้แกรมม่าร์ รู้ศัพท์ เข้าใจโครงสร้างประโยค ก็คือการใช้เครื่องหมายวรรคตอนให้ถูกต้อง เพราะมันอาจทำให้ความหมายในประโยคเปลี่ยนได้ หรือบ่งบอกทักษะการเขียน ของคุณได้เลย เพราะการเขียนในภาษาอังกฤษมันไม่ใช่แค่การรู้คำศัพท์แล้วเอาศัพท์นั้นมา เรียงต่อๆกันให้เป็นประโยคเพียงเท่านั้น มันมีกฎเกณฑ์ และรายละเอียดที่ลึกซื้งลงไปมากกว่านั้นค่ะ
เอาล่ะค่ะ!! จะขออธิบายแค่เครื่องหมายวรรคตอนที่สำคัญๆนะคะ

1.  full stop / period (.)

ปกติเราใช้ full stop ในกรณีดังนี้
1.1 ไว้เวลาเราเขียนจบประโยค ยกเว้นประโยคคำถามและอุทาน
1.2 เขียนไว้หลังอักษรย่อ หรือคำย่อ เช่น etc. a.m.

2. comma (,)

เครื่องหมายนี้มีการใช้ที่เยอะพอสมควรและสำคัญไม่น้อย มาดูกันค่ะ

2.1 ใช้แยกคำหรือกลุ่มคำที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ส่วนมากก็จะเป็นการยกตัวอย่างต่างๆ หรือการแจงรายละเอียด รายการต่างๆ เช่น

  • My favorite hobbies are reading novel, watching movies, listening to music and sleeping.
  • You should concentrate and participate in class, take note, and study hard before exam in order to get good marks.

2.2 ใช้คั่นหน้าและหลังกลุ่มคำหรืออนุประโยคที่ขยายคำนามข้างหน้า เช่น

  • Barack Obama, President of the United States, will come to Thailand next month.
    (กลุ่มคำ President of the United States เป็นคำขยายนาม Barack Obama ว่าเป็นใคร)
  • The Royal Hotel, which was built in 1990, will be reconstructed next year.
    (อนุประโยค which was built in 1990 มาขยายคำนาม The Royal Hotel) ในกรณีนี้ต้องเป็นคำนามเฉพาะเจาะจงนะคะ ถ้าเป็นนามทั่วไป ไม่ต้องใส่ comma ค่ะ

2.3 ใช้คั่นประโยค 2 ประโยคที่มีคำเชื่อม co-ordinate conjunction (and, but, or, so, for, yet,…) เช่น

  • It’s raining, so I won’t go out.

แต่ถ้าเป็นประโยคสั้นๆ ไม่ต้องใส่ก็ได้ เช่น

  • I went in and he went out.

ในกรณีที่คำเชื่อมเป็น subordinate conjunction (although, when, while, if, unless, etc.) ถ้ามันขึ้นต้นประโยคให้ใช้ comma คั่นตรงกลาง แต่ถ้าคำพวกนี้อยู่กลางประโยคไม่ต้องใส่ comma เช่น

  • If you call him, he may come. (if ขึ้นต้นประโยค ต้องใช้ comma คั่นตรงกลางระหว่าง 2 ประโยค)

แต่ถ้า if อยูตรงกลางแบบนี้  He may come if you call him. ไม่ต้องใส่ comma

3. semicolon (;)

3.1 เราใช้ semicolon ในการเชื่อมประโยคสองประโยค ที่ไม่มีคำเชื่อมใดๆมาเชื่อมและสองประโยคนี้ก็มีความหมายที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น
ยกตัวอย่างคล้ายประโยคก่อนหน้านี้ คือ

  • It’s raining; I won’t go out.  (ประโยคด้านบนมี so มาเชื่อมเราจึงใช้ comma แต่ประโยคนี้ไม่ได้ใส่คำเชื่อมใดๆเลย เราสามารถใส่ semicolon ได้ค่่ะ และเนื้อความของ 2 ประโยคนี้ก็เกี่ยวเนื่องเป็นเหตุเป็นผลกันด้วย)

4. colon (:)

4.1 เราใช้ colon ในการแจ้งรายการหรือรายละเอียด เราใส่ colon ไว้หน้าประโยคหลัก เพื่อนำเข้าสู่รายการหรือลำดับขั้นตอนต่างๆ เช่น

  • Our company has set three goals for this year: to spread the products to Europe market, to increase 5% in sale volume, and to develop new products.

4.2 ใช้ colon ก่อนประโยคอธิบาย เช่น

  • The situation in Ethiopia is very serious: many people died because of starve.
    (ประโยค many people died…มาอธิบายประโยคก่อนหน้าว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น)

*** จากรูปภาพ จะเห็นว่าแค่เปลี่ยนเครื่องหมายวรรคตอน ความหมายในประโยคก็เปลี่ยน

อาจารย์สอนภาษาอังกฤษเขียนประโยคนี้บนกระดานดำ
A woman without her man is nothing.
แล้วให้นักเรียนออกไปใส่เครื่องหมายวรรคตอนให้ถูกต้อง
นักเรียนชายออกไปเขียนว่า
A woman, without her man, is nothing.
ผู้หญิงที่ปราศจากผู้ชายจะมีความหมายอะไร
(ใช้ comma คั่นหน้าหลัง กลุ่มคำ without her man เพื่อขยายคำนาม A woman)

แต่นักเรียนหญิงออกไปเขียนว่า
A woman: without her, man is nothing.
ผู้หญิงน่ะนะ หากปราศจากเธอ ผู้ชายก็ดูไร้ค่า

เห็นมั๊ยคะ!! ว่า punctuation มีความสำคัญขนาดไหน ^^

** ยาวไปหน่อย แต่อยากให้อ่านกันนะคะ สำหรับใครที่กำลังฝึกเขียนภาษาอังกฤษอยู่ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา