ประโยค If-clause

ประโยค If-clause

ประโยค If-clause

ประโยค If-clause ก็คือประโยคเงื่อนไข คือถ้าทำอย่างนั้น ผลจะเกิดเป็นอย่างนี้  ประโยค If-clause ที่ร่ำเรียนกันมา  หรือที่ควรจะรู้จักก็มีอยู่ 3 แบบ ด้วยกันค่ะ  เกณฑ์ในการแบ่งก็ตามเงื่อนไขและเวลา  แต่ก่อนจะไปดูว่า 3 แบบนี้มีอะไรบ้าง เราลองมาทำความรู้จักกับหน้าตาของประโยค If-clause กันก่อน ประโยค If-clause ประกอบด้วยสองส่วนคือส่วนที่มี If  หรือประโยคที่เป็นเหตุ  และอีกส่วนจะไม่มี if คือประโยคที่เป็นผล  เช่น

  • If my son passes his exam, I will buy him a guitar.

ประโยคที่มี If คือประโยคเหตุ  “ถ้าลูกชายสอบผ่าน”  ส่วนที่สองคือประโยคผล “ฉันจะซื้อกีตาร์ให้ลูก”   นี่คือเงื่อนไขที่ผู้พูดได้สร้างไว้
สองส่วนนี้สามารถสลับตำแหน่งกันได้  แต่ถ้า If อยู่ด้านหน้า จะต้องมีเครื่องหมายคอมมา  (,) คั่นตรงกลาง  แต่ถ้าเอาส่วนที่เป็นผลขึ้นก่อน (คือส่วนที่ไม่มี if)ก็ไม่ต้องใส่คอมมา เช่น

  • I will buy my son a guitar if he passes his exam.

1. ประโยค If-clause แบบที่ 1 คือ  ประโยคเงื่อนไขที่อาจจะเป็นไปได้ในปัจจุบัน  เวลาพูด If-clause แบบที่ 1 นี้ ส่วนใหญ่โอกาสจะเป็นไปได้สูง  เงื่อนไขเวลาคือปัจจุบันดังนั้น tense ที่จะมาเกี่ยวข้องก็หนีไม่พ้น  present simple tense แน่นอนค่ะ เพราะมันเป็น tense ที่บอกข้อเท็จจริง   present simple จะไปใช้ในประโยคที่มี if หรือประโยคเหตุ  ส่วนประโยคผลเราใช้ เป็น future simple ค่ะ  โครงสร้างเป็นแบบนี้

If + Present simple, Subject + will + V1

เช่น

  • If I finish my work before 6 o’clock, I will pick you up.
    ถ้าฉันทำงานเสร็จก่อนหกโมง ฉันจะไปรับ
  • What will you do if she refuses your proposal?
    คุณจะทำยังไงถ้าเธอปฏิเสธการขอแต่งงาน

** ในส่วนของประโยคที่มี if  อาจจะใช้ present tense อื่นๆก็ได้  เช่น present continuous ตามแต่สถานการณ์  เช่น

  • If you’re trying to be normal, you will never know how amazing you can be.

2.  ประโยค If-clause แบบที่ 2  คือ  ประโยคเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากในปัจจุบัน  พูดง่ายๆคือสิ่งที่เราสมมติหรือมโนขึ้นมาเอง  เช่น ถ้าฉันเป็นเธอ หรือ ถ้าฉันเป็นนก หรือ ถ้าฉันมีเงินพันล้าน  อะไรประมาณนี้ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ หรือเป็นไปได้ยากมากๆ  ก็เข้าข่ายแบบที่ 2  นี้เลยค่ะ  ส่วน tense ที่จะใช้ใน If-clause แบบที่ 2 นี้ก็คือ past simple ค่ะ  ที่ใช้ tense ที่เป็นอดีต  เพราะเหตุการณ์นี้เราพูดในปัจจุบันแทนที่จะเป็น present simple  แต่มันดันเป็นความจริงในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้ก็เลยทำให้ความจริงผิดเพี้ยนไป  จึงใช้ past simple แทน  เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันคือสิ่งที่เพี้ยนไปจากความเป็นจริงนั่นเอง!!

โครงสร้างของ If-clause แบบที่ 2 คือ

If + past simple , Subject + would + V1

เช่น

  • If I had a private jet, I would go to Switzerland.
    ถ้าฉันมีเครื่องบินส่วนตัว ฉันจะสวิซเซอร์แลนด์
  • If you were the Prime Minister, what would you change about this country?
    ถ้าคุณเป็นนายกรัฐมนตรี คุณจะเปลี่ยนอะไรในประเทศนี้

**  มีข้อยกเว้นนิ๊ดนึงตรงที่  ถ้าหากว่าประธานเป็น I, she, he กริยาจากที่เคยใช้ I was, she was, he was ก็จะเปลี่ยนเป็น I were, she were, he were นะคะ   เฉพาะในประโยคเงื่อนไขเท่านั้น  (จำง่ายๆว่า  ไหนๆมันก็เป็นเรื่องสมมติแล้ว เราก็สมมติให้ were ใช้กับ I, she, he ได้ก็แล้วกัน เพื่อแสดงว่าสิ่งที่เราพูดมันตรงข้ามกับความเป็นจริง)

  • If Leon’s mother were alive, she would still be a professor in Oxford University.

3. If-clause แบบที่ 3 นี้ คือ ประโยคเงื่อนไขที่แสดงความเป็นไปไม่ได้ในอดีต หรือเป็นการสมมติเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น หรือถ้ามันเกิดขึ้นก็สมมติว่ามันไม่เกิดขึ้น Tense ที่ใช้เราจะใช้ past perfect tense  โครงสร้างหน้าตามันเป็นแบบนี้

If + past perfect, Subject + would have + V3

เช่น

  • If I had set my alarm clock, I wouldn’t have got up late.
  • I and Jack wouldn’t have known each other if he hadn’t been my brother’s friend.

** วิธีการจำว่า If-clause แต่ละแบบใช้ tense อะไรให้เรานึกถึงหลักความเป็นจริงคือ แบบที่ 1 เป็นไปได้ในปัจจุบัน ใช้ present simple ธรรมดา  แต่แบบที่ 2 และ 3 เป็นเรื่องสมมติขึ้นมา ฉะนั้นเราจะถอย tense ไปหนึ่ง tense เพื่อแสดงว่ามันคือการสมมติ คือ  แบบที่ 2 เป็นไปไม่ได้ในปัจจุบัน  จาก present เราเปลี่ยนเป็น past simple  และ แบบที่ 3  เป็นไปไม่ได้ในอดีต  จากคำว่า อดีตมันควรจะเป็น past simple เราก็ถอยไปเป็น past perfect ซะ  ลองเอาไปใช้ดูค่ะ ^^