Tag Archives: ภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวัน

most กับ most of ต่างกันอย่างไร

most กับ most of ต่างกันอย่างไร

# most กับ most of ต่างกันอย่างไร

most เนี่ยเราแปลว่า ที่สุด มากที่สุดก็ได้ หรือจะแปลว่า ส่วนใหญ่ก็ได้ แต่ในที่นี้เราจะใช้ความหมายที่แปลว่า ส่วนใหญ่ ค่ะ

ถ้า most ในความหมายว่า “ส่วนใหญ่” ก็มักจะอยู่นำหน้าคำนาม แต่เราจะเห็นมันมีทั้ง most แล้วก็ most of
ความแตกต่างของสองตัวนี้มีนิดเดียวค่ะ

most + noun จะใช้ในความหมายทั่วๆไป เช่น

  • Most children love candy.
    เด็กๆส่วนใหญ่ชอบลูกกวาด (หมายถึงเด็กทั่วๆไปส่วนใหญ่)
  • Most novels usually have a happy ending.
    นิยายส่วนใหญ่มักจะจบอย่างมีความสุข (หมายถึงนิยายทั่วๆไปส่วนใหญ่)

แต่การใช้ most of จะแตกต่างออกไปเล็กน้อย
most of + determiners + noun

** ขออธิบายคำว่า determiner หน่อยนะคะ determiner ก็คือ คำที่ใช้นำหน้าคำนาม เช่น article (ในที่นี้จะใช้ the เพื่อให้เฉพาะเจาะจง)
demonstrative adjective (this, that, these, those) ,  possessive adjective (my, his, your, etc.)

most of จะใช้ในความหมายเฉพาะเจาะจง เช่น

  • Most of these children live in downtown.
    เด็กๆพวกนี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในตัวเมือง (หมายถึงเด็กส่วนใหญ่โดยเจาะจงว่าเป็นเด็กพวกนี้ กลุ่มนี้)
  • Most of my writing is inspirational writing.
    งานเขียนของฉันส่วนใหญ่เป็นงานเขียนที่ให้แรงบันดาลใจ (เจาะจงว่าเป็นส่วนใหญ่ของงานเขียนของฉันเท่านั้น ไม่ได้รวมงานเขียนของคนอื่นด้วย)

ถ้าเป็นคำนามที่มีวลีหรือข้อความมาขยายอยู่ด้านหลัง ต้องใช้โครงสร้าง most of นะคะ เช่น

  • Most of the people who’s working here are from Asian countries.
    คนส่วนใหญ่ที่ทำงานอยู่ที่นี่มาจากประเทศแถบเอเชีย

** ข้อควรจำ **
*** หลัง most จะเป็นนามนับได้ที่เป็นพหูพจน์ หรือ นามนับไม่ได้ก็ได้
*** หลักเกณฑ์ในการให้ความหมายว่าเป็นทั่วๆไปหรือเจาะจง ยังสามารถใช้ได้กับ คำบอกปริมาณตัวอืนๆได้อีก เช่น

  • all, all of
  • some, some of
  • each, each of etc.

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวนที่ใช้ make

สำนวนที่ใช้ make

มาดูสำนวนที่ใช้ make กันค่ะ

1. สำนวนแรกคือ ‘make someone do something’

สำนวนนี้แปลว่า “บังคับให้ใครทำอะไร” เช่น

  • They make us work for 12 hour a day.
    พวกเขาบังคับให้เราทำงานวันละ 12 ชั่วโมง
  • I made my brother eat all of his food yesterday.
    เมื่อวานนี้ฉันบังคับให้น้องชายกินอาหารให้หมด

**** สังเกตนะคะว่า กริยาตัวที่สองที่อยู่หลัง make ต้องเป็น Verb ธรรมดาไม่ผัน คือไม่เติม s หรือ es และไม่มี to อยู่หน้ากริยาเหล่านี้ และไม่ผันเป็น V2 หรือ Ving ไม่ว่า Tense จะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าจะผันกริยาเป็นอดีตหรือทำให้เป็น tense ที่กำลังเกิดขึ้น ให้ผันที่กริยา make ซึ่งเป็น Verb แท้ในประโยคนะคะ

  • Jerry’s mother is making him clean his room. His room is such a mess.
    แม่ของเจอร์รี่กำลังบังคับให้เขาทำความสะอาดห้องอยู่ ห้องเขารกสุดๆไปเลย
  • I can’t make you love me.
    ฉันบังคับให้คุณรักฉันไม่ได้หรอก
  • Don’t make me do this.
    อย่าบังคับให้ฉันต้องทำอย่างนี้

2. สำนวนที่สอง make do

ไม่ต้องแปลกใจนะคะ ว่าทำไมเอา make กับ do มาเขียนติดกันแบบนี้ ไม่ได้เขียนผิดหรอกค่ะ แต่มันเป็นสำนวนแปลว่า
“สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่น้อยนิด หรือสามารถทดแทนได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่ แม้ว่าสิ่งที่เราต้องการจะไม่มีก็ตาม” เช่น

  • I was broke last month but I made do with instant noodle.
    เดือนที่แล้วฉันถังแตกไม่มีเงินเลย แต่ฉันก็รอดมาได้ด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่ล่ะ
  • I usually make do with a cup of coffee for breakfast.
    ฉันมักจะดื่มกาแฟแทนการกินอาหารเช้า
  • We don’t have right color now, so we have to make do with what we have.
    เราไม่สีที่ต้องการตอนนี้ ดังนั้นเราจึงต้องใช้สีที่เรามีมาใช้แทน

3. สำนวน make someone + ตำแหน่ง

แปลว่า “แต่งตั้งให้เป็น, แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง”

  • We made him captain of the team.
    เราแต่งตั้งให้เขาเป็นกัปตันทีม
  • They made Jim head teacher after Mike left.
    พวกเขาแต่งตั้งให้จิมเป็นหัวหน้าครูหลังจากที่ไมค์ออกไป

*** ไม่ต้องใส่ article a, an, the นำหน้าตำแหน่งนั้นๆนะคะ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ภาษาอังกฤษดอทคอม!

เรียนภาษาอังกฤษยังไงให้พูดได้?

ว่ากันถึงภาษาแล้ว “ภาษา” เป็นสิ่งมนุษย์ประดิษฐ์ประดอยขึ้นหรืออาจจะเรียกว่าสิ่งที่มนุษย์สมมุติขึ้น เพื่อเป็นสื่อกลางในการสื่อสารกันเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งเดียวกันได้ ทักษะการใช้ภาษาเกิดขึ้นจากความคุ้นเคยในการใช้ภาษานั้นๆ นั่นคือ เมื่อได้ยินบ่อยๆ ได้ฟังบ่อยๆ ได้อ่านบ่อยๆ ได้ดูบ่อยๆ หรือได้เขียนบ่อยๆ เราก็จะค่อยๆซึมซับภาษานั้นไปเอง มีข้อสังเกตุได้ว่าไม่มีใครบอกว่าภาษาตนเองยาก นั่นเป็นเพราะคนๆนั้นเกิดความคุ้นเคยในการใช้ภาษานั้น แม้แต่คนที่โง่ที่สุดก็ยังสามารถพูดภาษาของตนเองได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นภาษาไม่ใช่คนที่ฉลาดเท่านั้นที่จะเรียนรู้ได้ แต่อยู่ที่การเปิดใจยอมรับการเรียนรู้ และไม่ไปคิดว่าการเรียนภาษานั้นเป็นเรื่องยาก แต่ให้คิดว่าเป็นเรื่องน่าสนุก เป็นเรื่องที่ท้าทาย เป็นช่องทางและโอกาสที่จะเปิดให้เราไปสู่โลกกว้าง โลกที่ไร้พรมแดน สำหรับภาษาอังกฤษนั้นเราจะสื่อสารกันด้วยคำและโครงสร้าง มีรูปแบบในการใช้ที่แน่นอน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องเรียนรู้โครงสร้างของภาษาอังกฤษให้คุ้นเคยถึงวิธีการใช้งาน เพื่อที่จะนำไปใช้งานได้อย่างถูกต้องอย่างเข้าใจถึงที่มาที่ไป และเกิดทักษะความชำนาญขึ้นมา เมื่อนั้นเราก็เข้าสู่จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้อันไม่มีที่สิ้นสุด หรือการแสวงหาความรู้ตลอดชีวิต(lifelong pursuit)

…แล้วเราจะนำเสนอความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษออกมาอย่างต่อเนื่อง โปรดติดตามนะครับ