Participle ตอนที่ 2 (Past participle)

Past participle (V3)

Participle ตอนที่ 2 (Past participle)

participle นั้นมี 2 แบบ คือ present participle และ past participle  ตอนที่แล้วได้อธิบายถึงการใช้ present participle ไปแล้ว  ฉะนั้นจากนี้ไปจะอธิบายถึงการนำ past participle ไปใช้กันต่อค่ะ  past participle ก็คือ กริยาช่องที่ 3  ไม่ว่าจะอยู่ในรูป V-ed หรือ เปลี่ยนรูปก็ตาม  มีวิธีใช้ดังนี้ค่ะ

1.  ใช้ใน perfect tense  คือวางไว้หลัง กริยาช่วย have/has  เช่น

  • He hasn’t finished his work yet.    เขายังทำงานไม่เสร็จ
  • They have gone to Chiangmai.    พวกเขาไปเชียงใหม่แล้ว

2.  วางไว้หลัง verb to be จะกลายเป็นรูปประโยคแบบ passive voice (ประธานถูกกระทำ) เช่น

  • No one is promoted this year.     ไม่มีใครได้เลื่อนตำแหน่งในปีนี้
  • I wasn’t told anything.        ไม่มีใครบอกอะไรฉันเลย

3.  วางไว้หน้าคำนามที่ขยาย ทำหน้าที่เสมือน adjective จะให้ความหมายเป็น passive voice คือ นามนั้นถูกกระทำ  เช่น

  • My father is fixing the broken table.       พ่อกำลังซ่อมโต๊ะที่หักอยู่
  • The stolen bag has been found.                  กระเป๋าที่ถูกขโมยหาเจอแล้ว

4.  ใช้ในการลดรูปของ adjective clause ซึ่งคือประโยคย่อยที่ขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้า โดยใช้ในความหมายที่ถูกกระทำ  เช่น

  • The man who was stabbed last night has already died.
    =    The man stabbed last night has already died.
    ผู้ชายที่ถูกแทงเมื่อวานตายแล้ว
  • This is the bag which was made in Korea.
    =    This is the bag made in Korea.
    นี่คือกระเป๋าที่ผลิตในเกาหลี

5.  ใช้ในการลดรูป adverb clause  (adverb clause คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่เหมือน adverb คือขยายกริยา โดยมากมักมี conjunction นำหน้า เช่น when, though, since, etc. ) หรือเมื่อรวมประโยคสองประโยคเข้าด้วยกัน เช่น

  • Since the dog was kicked by that boy, it barked angrily.
    =    Kicked by that boy, the dog barked angrily.
    เพราะถูกเด็กชายคนนั้นเตะ เจ้าสุนัขตัวนั้นจึงเห่าอย่างโกรธเกรี้ยว
  • She was admired by her teacher. She felt happy.
    =    Admired by her teacher, she felt happy.
    ตอนที่เธอได้รับคำชมจากครู เธอรู้สึกมีความสุข

** ข้อควรระวังในการใช้ประโยคลักษณะนี้คือ  ประธานของทั้งสองส่วนนี้จะต้องเป็นคนเดียวกัน  เช่นในประโยคแรก ตัวที่เห่าและตัวที่โดนเตะก็คือสุนัขตัวเดียวกัน  และประโยคที่สอง คนที่ได้รับคำชมและคนที่มีความสุขคือคนๆเดียวกัน