Category Archives: เรียนภาษาอังกฤษกับ English 360 องศา

สำนวนภาษาอังกฤษ : no sooner…than

สำนวน no sooner...than

สำนวน no sooner…than

วันนี้มาดูการใช้สำนวนนี้กันสักหน่อยค่ะ
no sooner…than
สงสัยมั๊ยคะว่ามันแปลว่าอะไร เช่น
ถ้ามันอยู่ในประโยคนี้

  • I had no sooner reached home than the rain fell down.

ในประโยคนี้มีสองเหตุการณ์ คือ ถึงบ้าน กับ ฝนตก แล้วคุณรู้มั๊ยว่า มันเกิดขึ้นพร้อมกัน?? หรือเหตุการณ์ไหนเกิดก่อน?? เกิดหลัง??
ถ้ามีคนถามคุณว่า คนๆนี้เปียกฝนมั๊ย? ถึงบ้านทันเวลาหรือป่าว
คำว่า no sooner…than จะทำให้คุณตอบเขาได้ค่ะ

เพราะสำนวนนี้แปลว่า
ทันทีที่…ก็… หรือ
พอ…ก็…
ฉะนั้น ประโยคนี้แปลว่า “ทันที่เขาถึงบ้าน ฝนก็ตก”
(ดังนั้นเขาไม่เปียกฝน เพราะถึงบ้านพอดี)

ประโยคที่มี no sooner จะเกิดก่อน เราใช้ past perfect tense
ส่วนประโยคที่ตามหลัง than จะเกิดทีหลัง ใช้ past simple tense นะคะ

มาดูตัวอย่างอื่นกันค่ะ

  • I had no sooner finished the dinner than my guests came.
    พอทำอาหารเย็นเสร็จ แขกของฉันก็มาพอดี
  • They had no sooner showed up than there was a loud clap.
    ทันทีที่พวกเขาปรากฎตัว ก็มีเสียงตบมือดังขึ้นมา

** บางครั้งคุณอาจจะเจอรูปแบบประโยคแบบนี้ค่ะ

  • No sooner had they showed up than there was a loud clap.
    (No sooner ขึ้นต้นประโยค แล้วตามด้วยกริยาช่วย had แล้วค่อยตามด้วย ประธาน หรือ subject ของประโยคค่ะ)

ถ้าไปเจอประโยคแบบนี้ก็อย่าเพิ่งคิดว่าเขาเขียนผิดนะคะ
เพราะลักษณะแบบนี้เราเรียกว่า การ inversion ค่ะ คือการสลับตำแหน่งในประโยค ซึ่ง no sooner สามารถทำได้ค่ะ

** สำหรับใครที่เคยเจอ no sooner ครั้งแรกก็อาจจะงง นิดหน่อยนะคะ แต่ค่อยๆทำความรู้จักกับมัน เดี๋ยวก็ชินกับมันไปเอง ^^
ส่งท้ายด้วยประโยคนี้ค่ะ

  • ” No sooner said than done – so acts your man of worth.”
    พูดแล้วทำเลย เป็นการกระทำของคนที่น่ายกย่อง

*** พูดอะไรไว้ก็ทำซะเลย อย่าผลัดวันประกันพรุ่งนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ศัพท์ภาษาอังกฤษ : Spoil

ศัพท์ภาษาอังกฤษ Spoil

ความหมายของ spoil

วันนี้ขอเสนอศัพท์ที่น่าสนใจคำนี้ค่ะ คำว่า spoil
เวลาได้ยินคนพูดว่า สปอย หรือ สปอยหนัง รู้มั๊ยว่าเค้าหมายถึงอะไรกัน??

spoil ถ้าเป็นคำนามจะหมายถึง ของที่ปล้นมา หรือ ของที่เสีย
แต่ถ้าเป็น verb จะแปลได้หลายอย่างค่ะ

1. ทำลายคุณค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือพูดง่ายๆ คือทำให้เสียอรรถรส หรือหมดสนุก เช่น เวลาคนมาเล่าหนังเรื่องที่เราอยากดูซะละเอียดเลย หรือสปอยหนัง พอเวลาเราไปดูจริงๆมันก็ไม่สนุกแล้ว เพราะรู้หมดแล้วว่าจบยังไง

  • Don’t spoil the movie.
    อย่าทำให้หนังหมดสนุกซิ

2. แปลว่า ทำให้เสียคน หรือตามใจมากเกินไป เช่น

  • His mother is spoiling him.
    แม่เขากำลังทำให้เขาเสียคน

แต่ตามใจอาจจะเป็นในแง่ดีก็ได้ ตามใจแบบเอาใจใส่ เช่น

  • Sometimes you just have to spoil yourself.
    บางทีคุณก็ต้องตามใจตัวเองบ้าง

3. ถ้าใช้กับอาหาร จะแปลว่า อาหารนั้น บูด หรือเน่าเสีย เช่น

  • We’d better eat that cake before it spoils.
    เราน่าจะกินเค้กนั่นก่อนที่มันจะเสีย

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน run into

สำนวน run into

# สำนวน run into

run into เป็น phrasal verb หรือกริยาวลีค่ะ แล้วก็อย่างที่รู้ๆกัน phrasal verb เนี่ย ความหมายมันมักจะแตกต่างจากศัพท์เดิมไปเลย บางทีก็แบบต่างกันจนคิดว่ามันแปลอย่างนี้ได้ยังไง เวลาอ่าน หลายๆคนจึงมักจะปวดเฮดกับกริยาวลีพวกนี้
เอาล่ะค่ะ มาดู run into ของเราดีกว่า
ถ้าแปลตรงตัว จะแปลว่า พุ่งเข้าชน เช่น

  • The truck almost ran into me. It’s a close call.
    รถบรรทุกเกือบจะพุ่งชนฉันแล้ว เส้นยาแดงผ่าแปดเลย

ถ้าเป็นสำนวน
run into + someone จะหมายถึงเจอใครโดยบังเอิญค่ะ เช่น

  • Guess who I ran into last night. I ran into my ex!!
    เดาซิ เมื่อคืนชั้นเจอใคร ชั้นก็เจอแฟนเก่าโดยบังเอิญน่ะสิ

run into + something
แปลว่า พบเจอ เช่น

  • His business has run into troubles.
    ธุรกิจของเขาเริ่มเจอปัญหา

ถ้า run into + จำนวน
จะหมายความว่า ถึงจำนวนนั้นๆ เช่น

  • Flood damage has run into one million dollar.
    ความเสียหายจากน้ำท่วมสูงถึง 1 ล้านดอลล่าร์แล้ว

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน all ears

ำนวน all ears

# สำนวน all ears

มีคำว่า ears เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ต้องเกี่ยวกับหูแน่ๆเลย และหูก็ใช้ในการฟัง เพราะฉะนั้นสำนวนนี้แปลว่า “ตั้งใจฟัง พร้อมฟัง ฟังอยู่” เช่น

A: I need to vent!
อยากระบายว่ะ
B: I’m all ears.
ก็ฟังอยู่

A: Are you with me?
ฟังชั้นอยู่มั๊ยเนี่ย?
B: All ears!!
ก็ตั้งใจฟังอยู่!!

I was all ears as he told me the story.
ฉันฟังอย่างตั้งใจตอนที่เขาเล่าเื่รื่อง

** ปกติสำนวนนี้มักไม่ค่อยพูดถึงคนอื่น เช่น He’s all ears. หรือ They’re all ears. มักจะใช้พูดถึงตนเองมากกว่า

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การใช้ anyway

การใช้ anyway

# การใช้ anyway
คำนี้จะได้ยินบ่อยในบทสนทนา สงสัยกันมั๊ยมันแปลว่าอะไร??

** ใช้ในความหมายว่า “อย่างไรก็ตาม, ยังไงก็แล้วแต่, อยู่ดีนั่นแหละ”
เช่น

  • This dress is so expensive, but I bought it anyway.
    ชุดเดรสเนี่ยแพงเหลือเกิน แต่ยังไงฉันก็ซื้อมันอยู่ดี
  • I’m afraid I can’t come, but thanks for invitation anyway.
    ฉันเกรงว่าจะมาไม่ได้น่ะ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่เชิญ

** ใช้เพื่อบ่งบอกว่า เรื่องที่พูดมาเนี่ยไม่สำคัญ แปลเหมือนกับ “ช่างเถอะ, ช่างมันเถอะ” เช่น

  • My joke seems boring, anyway forget it.
    มุขตลกชั้นดูท่าจะน่าเบื่อ ช่างเหอะ ลืมมันซะ

** ใช้เพื่อบอกข้อมูลให้ชัดเจนลงไป เช่น

  • I can’t tell you. Not just now anyway.
    ฉันบอกคุณไม่ได้ ยังไงก็ไม่ใช่ตอนนี้
  • Think about it for a while, for a few days anyway.
    คิดเรื่องนี้สักหน่อยเถอะ สักสองสามวันก็ยังดี

** ใช้ในการเปลี่ยนเรื่องที่จะสนทนา หรือต้องการวกกลับมาคุยเรื่องที่คุยกันก่อนหน้า หรือต้องการจบบทสนทนา เช่น

สมมติว่าก่อนหน้านี้กำลังคุยกันว่า กลางวันนี้จะกินอะไรกันดี แล้วคุยกันยาวไปเรื่องอื่น สุดท้ายก็วกมาเรื่องข้าวกลางวันต่อ ก็พูดได้ว่า

  • Anyway, what’s for lunch today?
    เอาล่ะ แล้วตกลงกลางวันนี้จะกินอะไรดี
  • Anyway, I’ve got to go now.
    เอาล่ะ ฉันต้องไปแล้ว

*** บางคนอาจจะสงสัยว่าในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา จะใช้ by the way แทนได้มั๊ย
จริงๆ by the way จะใช้ต่างจาก anyway เล็กน้อยค่ะ
By the way จะใช้ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน และเป็นหัวข้อที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่คุยกันอยู่ก่อนหน้านี้เลย ประมาณแบบ เพิ่งนึกขึ้นได้ ก็รีบบอก เช่น
เจอเพื่อนบนรถไฟฟ้า ก็ทักเพื่อนว่า
Hi, where are you going?
คุยกันสักพักก็นึกได้เรื่องปาร์ตี้เลยบอกว่า
By the way, don’t forget to come to the party on Sunday.

*** English may not be your favorite subject, but you have to learn it anyway. ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน anything but…

สำนวน anything but

# สำนวน anything but…

ลองดูจากประโยคนี้นะคะ

  • I’m anything but ordinary.

ลองแปลแบบตรงตัว แบบที่ไม่เคยรู้จักสำนวน anything but มาก่อนก็จะแปลได้ว่า
“ฉันเป็นอะไรก็ตามแต่ธรรมดา”

ฟังดูงงๆมั๊ย แปลแล้วไม่ได้ใจความเอาซะเลย  ลองมาดูความหมายจริงๆของมันกันดีกว่าค่ะ
anything but แปลเทียบเคียงได้เหมือน not แหละค่ะ ดังนั้นประโยคข้างบนคนพูดเขาอยากจะบอกว่า
ข้าน่ะ ไม่ธรรมดานะจะบอกให้ ^^

ลองดูตัวอย่างอื่นกันค่ะ

  • The party was anything but fun.
    ปาร์ตี้นั่นน่ะไม่สนุกเอาซะเลย
    ( = The party was not fun)
  • He is kind of anything but polite.
    เขาค่อนข้างหยาบคายน่ะ

** สุดท้ายนี้ก็หวังว่า คุณผู้อ่านทั้งหลายจะไม่คิดว่า
This page is anything but boring. นะคะ ^____^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

whether ใช้ได้เหมือน if มั๊ย

whether ใช้ได้เหมือน if มั๊ย

จากโพสต์ที่แล้วได้อธิบายถึงเรื่องการใช้ if ที่แปลว่า ‘หรือไม่’ จึงเกิดคำถามว่า แล้ว whether ใช้ได้เหมือน if มั๊ย

Whether กับ if สามารถใช้แทนกันได้ในความหมายว่า “หรือไม่” ในบางกรณี รายละเอียดความแตกต่างในการใช้มี ดังนี้ค่ะ

1. ถ้าอยู่หลัง preposition จะใช้ whether เท่านั้นค่ะ เช่น

  • It depends on whether he improves his behavior.

2. เราจะใช้ whether เท่านั้น ในกรณีที่นำหน้า to infinitive เช่น

  • They can’t decide whether to get married now or wait.

3. ถ้าส่วนที่เป็นคำถามทำหน้าที่เป็นประธานหรือเป็นส่วนเติมเต็มในประโยค เราจะเลือกใช้ whether มากกว่าใช้ if เช่น

  • Whether the meeting is cancelled is still unknown.

4. ถ้าเป็นประโยคคำถามแบบให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะเลือกใช้ whether เช่น

  • The directors have not decided whether they will recommend a dividend or reinvest the profits.

** ขอเสริมนิดนึงนะคะ
Whether สามารถใช้ในความหมายว่า “ไม่ว่า…” ได้เหมือนกัน เช่น

  • You must come with me whether you want or not.
    คุณต้องมากับผมไม่ว่าคุณจะอยากมาหรือไม่ก็ตาม

การใช้ในลักษณะนี้ มักเติม or not เข้าไปด้วย

อ่านเพิ่มเติม การใช้ if เมื่อ if ไม่ได้แปลว่า “ถ้า”

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การใช้ if เมื่อ if ไม่ได้แปลว่า “ถ้า”

การใช้ if เมื่อ if ไม่ได้แปลว่า “ถ้า”

# เมื่อ if ไม่ได้แปลว่า “ถ้า”

ปกติเห็น if เมื่อไหร่ ต้องแปลว่า “ถ้า” แน่นอน ใช่มั๊ยคะ แต่รู้หรือไม่ if ใช้ในอีกความหมายนึงได้เหมือนกั
ลองดูประโยคนี้ค่ะ

  • I’m not sure if he keeps his promise.

ประโยคนี้ if ไม่ได้แปลว่า ถ้า นะคะ แต่แปลว่า หรือไม่ หรือเปล่า
ประโยคนี้จึงแปลได้ว่า  “ฉันไม่แน่ใจว่าเขาจะรักษาสัญญาหรือเปล่า”

If ในที่นี้จึงใช้ได้ในอีกกรณีนึงคือ ใช้แสดงคำถามแบบ indirect question ค่ะ หรือตั้งคำถามแบบอ้อมๆ เพราะผู้พูดไม่แน่ใจ ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้จะเป็นจริงหรือเปล่า

มาดูตัวอย่างอื่นกันค่ะ

  • I shouldn’t have said like that. I don’t know if he gets angry.
    ฉันไม่น่าจะพูดอย่างนั้นเลย ฉันไม่รู้ว่าเขาจะโกรธหรือเปล่า
  • She asked me if I can go right now.
    เธอถามฉันว่าจะไปตอนนี้เลยได้มั๊ย
  • I really wonder if it is worth to spend my entire life with him.
    ฉันสงสัยจริงๆเลยว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่าที่จะใช้ทั้งชีวิตของฉันไปกับเขา

** สังเกตนะคะว่าเวลาแปลออกมาจะมีลักษณะเหมือนประโยคคำถาม แต่เราจะไม่ใส่เครื่องหมายคำถามท้ายประโยคนะคะ

*** ฉะนั้น เจอ if ที่ไหน อย่าเพิ่งรีบแปลว่า ‘ถ้า’ นะคะ ดูบริบทรอบๆสักนิดนึง ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การใช้ to กับ for

การใช้ to กับ for

to กับ for ใช้สับสนกันป่ะ!!!

เป็นกันมั๊ย เวลาจะใช้ to หรือ for ก็เกิดคิดไม่ตก สับสนว่าจะใช้คำไหนดี
หลักการใช้สองคำนี้ มีว่าอย่างนี้ค่ะ

เราจะใช้ to กับการเคลื่อนย้าย จากจุดหนึ่งหรือสิ่งหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งหรืออีกสิ่งหนึ่ง หรือมีการโอนย้ายแลกเปลี่ยน
เช่น

  • I’ll drive you to school.
  • He sent this letter to you.
  • I wanna talk to you.

แต่การใช้ for ในการบอกวัตถุประสงค์ที่ทำด้วยความตั้งใจ หรือทำด้วยใจ เช่น

  • I sing this song for you.
  • She made this for you.

** ในประโยคนี้ “คุณสำคัญสำหรับฉัน”
หลายคนอาจจะเคยเขียนผิดเป็น  You are important for me.
เพราะแปลจากไทยเป็นอังกฤษแบบคำต่อคำ  “สำหรับ” ก็แปลว่า for ไง ใช่มั๊ย
แต่จริงๆแล้วต้องเขียนว่า You are important to me.

ถ้า important to + someone จะหมายถึง สำคัญกับใครในแง่ความรู้สึก

แต่ถ้า important for
จะหมายถึง สำคัญกับในแง่มีประโยชน์ เช่น

  • He is important for our organization.

**ประโยคนี้ก็ใช้ to เหมือนกันนะคะ

  • You are everything to me. ^^

อ่านเนื้อหาเพิ่มเติม For here or To go? “จะทานที่นี่หรือห่อกลับบ้าน?

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

Happy Children’s Day

Happy Children's Day

 

“Children close their ears to advice but open their eyes to example.”

“เด็กๆมักจะไม่รับฟังคำแนะนำ
แต่จะมองดูสิ่งที่คุณทำแล้วจำไว้แบบอย่าง”

** วิธีสอนเด็กที่ดีที่สุด ก็คือการทำเป็นแบบอย่างให้เขาเห็น  ก็คงเหมือนคำที่ว่า “สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น”

พวกเขาจะเติบโตมาแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆทำให้เขาดู ^^

Happy Children’s Day
สุขสันต์วันเด็ก ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา