Category Archives: ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

as กับ like ต่างกันอย่างไร

as กับ like ต่างกันอย่างไร

as กับ like ต่างกันอย่างไร

As กับ like สองตัวนี้มีความหมายหลายความหมายด้วยกันทั้งสองตัว แต่ถ้าใช้ในเชิงเปรียบเทียบจะแปลว่า “เหมือนกับ” หรือ “ราวกับ” แต่ทั้งสองตัวนี้มีวิธีการใช้ที่แตกต่างกันดังนี้ค่ะ

1. มาดูการใช้ like กันก่อนค่ะ like มักจะตามด้วยคำนามหรือคำสรรพนาม โครงสร้างประโยคใช้ like คือ

     verb + like + noun / pronoun

  •  It’s very hot in this room. It’s like an oven.
    ห้องนี้ร้อนมากๆ เหมือนกับเตาอบ
  • He jumped to his feet like a crazed man.
    เขายืนขึ้นอย่างเร็วเหมือนกับคนบ้า

2. การใช้ as จะตามหลังด้วยประโยค โครงสร้างคือ

     as + clause (subject + verb)

  •  As I told you, the trip was cancelled because of the rain.
    อย่างที่บอกเลย ทริปนี้ถูกยกเลิกเพราะฝนตก
  • She studies hard as her sister does.
    เธอเรียนหนักเหมือนกับพี่สาวเธอ

** ข้อควรระวังคือ ในบางกรณี as จะตามหลังด้วยคำนามได้ ในกรณีที่เกี่ยวกับบทบาทหรืองานของบุคคล โดยหมายถึง “ในฐานะที่เป็น”

เช่น

  • I used to work as a guard at the swimming pool in the village.
    ฉันเคยทำงานเป็นยามเฝ้าที่สระว่ายน้ำในหมู่บ้าน

** ในกรณีนี้เวลาแปลต้องระวังนิดนึง ถ้าหากมีการใช้as กับ like ในตำแหน่งเดียวกัน เช่น

  • As your teacher, I have warned you not to cheat on the test.
    ในฐานะที่เป็นครู ชั้นขอเตือนเลยว่าอย่าลอกข้อสอบ     (คนพูดเป็นครู)
  • Like your teacher, I have warned you not to cheat on the test.
    เหมือนกับคุณครูของเธอ ฉันขอเตือนเธอว่าอย่าลอกข้อสอบ (คนพูดเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ครู แต่เตือนคุณไม่ให้ลอกข้อสอบ

** เวลาจะเลือกใช้ as กับ like ก็ระวังนิดนึงนะคะ ดูโครงสร้างว่าต้องตามหลังด้วยอะไร^^

relative clause แบบที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ

relative clause

relative clause แบบที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ

ก่อนอื่นขอย้อนไปถึง adjective clause ก่อนว่าคือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่ขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้ามัน เช่น

  • I would like to talk to that girl [who is standing near your cousin].
    ฉันอยากคุยกับผู้หญิงคนนั้นที่กำลังยืนอยู่ใกล้ลูกพี่ลูกน้องคุณ

ปกติแล้วถ้าเราต้องการขยายคำนามที่เป็น

คน ให้ใช้ relative pronoun ที่เป็น who หรือ whom หรือ that
สิ่งของ ให้ใช้ relative pronoun ที่เป็น which หรือ that

แต่ในที่นี้จะขอเสนอประโยค relative clause ที่แสดงความเป็นเจ้าของ

การแสดงความเป็นเจ้าของ ในประโยค relative clause มี 2 แบบ คือ

1. เมื่อใช้กับคน จะใช้ whose โดยมีโครงสร้างประโยคดังนี้

     ….whose + noun + (subject) + verb

เช่น

  • Is there anybody here whose name hasn’t been called?
    มีใครบ้างมั้ยที่นี่ที่ยังไม่ได้ถูกเรียกชื่อ
  • He’s the man whose sister I’m going to marry.
    เขาคือผู้ชายคนที่ฉันกำลังจะแต่งงานกับน้องสาวของเขา

2. เมื่อเป็นสัตว์หรือสิ่งของ จะใช้ได้ 2 แบบ คือ

2.1 ใช้ of which

  • I like the house of which yard is quite large.
    ฉันชอบบ้านที่สนามค่อนข้างใหญ่
  • I have the cat of which the tail is very long.
    ฉันชอบแมวที่หางของมันยาวๆ
  • The cabinet of which drawer is broken has already been repaired.
    ตู้ที่ลิ้นชักเสียมีคนมาซ่อมแล้วนะ

2.2 ใช้ with + nounซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่าใช้ of which เช่น

แบบใช้ of which

  • I like the house of which yard is quite large.

แบบใช้ with + noun

  • I like the house with large yard.

แบบใช้ of which

  • The cabinet of which the drawer is broken has already been repaired.

แบบใช้ with + noun

  • The cabinet with a broken drawer has already been repaired.

หลักการใช้ one เพิ่มเติม (ตอนที่ 2)

การใช้ one

หลักการใช้ one  เพิ่มเติม (ตอนที่ 2)

oneและ ones ใช้แทนคำนามที่กล่าวถึงมาแล้ว เช่น

  • Do you have any trousers? I’d like brown ones.
    คุณมีกางเกงขายาวบ้างมั้ย ฉันอยากได้กางเกงสีน้ำตาล

นอกจากนี้ยังอาจใช้แทนในความหมายว่า “ใครก็ได้” หรือ anybody ก็ได้ เมื่อพูดถึงบุคคลโดยทั่วๆไป ไม่เจาะจงลงไปเฉพาะตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ   ตัวอย่างเช่น

  • One should respect the elderly.
    เราควรที่จะให้ความเคารพผู้สูงอายุ
  • One can’t make an omelet without breaking eggs.
    ไม่มีใครที่จะทำไข่เจียวแล้วไม่ตอกไข่

One ถ้าหากทำหน้าที่เป็นประธาน เมื่อต้องใช้สรรพนามแทนมักจะใช้he, his, หรือ him หรือ himself แทนเพศของ one เช่น

  • One can succeed if he tries hard.
    เราจะประสบความสำเร็จได้ถ้าพยายามอย่างหนัก
  • One should introduce himself properly in an interview.
    เราควรแนะนำตัวเองให้ครบถ้วนสมบูรณ์เวลาไปสัมภาษณ์

นอกจาก one จะเป็นประธานแล้ว ยังสามารถเป็นกรรมของประโยคได้ด้วย เช่น

  • He talks to one like a boss.
    เขาพูดกับใครคนหนึ่งราวกับว่าเป็นเจ้านาย

One เมื่อใช้ในการแสดงความเป็นเจ้าของ ก็ใช้apostrophe s ได้เลย เช่น

  • Age does not reflect one’s knowledge.
    อายุไม่ได้บอกความรู้ของคนๆนึงเสมอไป
  • One’s time should be spent wisely.
    เวลาของเราควรใช้อย่างฉลาด

ถ้าเป็นแบบ reflexive pronoun อาจจะใช้เป็น oneself ก็ได้ เช่น

  • One should treat others as one would like others to treat oneself.
    เราควรปฏิบัติกับคนอื่นเหมือนกับที่เราอยากให้คนอื่นปฏิบัติกับเรา

** เราสามารถละ คำว่า one (s) ได้ หากอยู่หลังคำเปรียบเทียบแบบ superlative (ขั้นสุด) หลัง this, that, these, those, which เช่น

  • A: Which (ones) do you want?
    อันไหนบ้างที่คุณต้องการ
  • B: I want those (ones).
    ฉันอยากได้แบบนั้น
  • My cat is the cutest (one).
    แมวของฉันคือตัวที่น่ารักที่สุดตัวนั้น

หลักการใช้ one (ตอนที่ 1)

การใช้ one

หลักการใช้ one (ตอนที่ 1)

ความหมายของ one ในที่นี้จะไม่ได้หมายถึงจำนวนนับที่แปลว่า “หนึ่ง” แต่เราจะพูดถึง one ที่เป็นคำสรรพนามแทนคำนามที่กล่าวถึงมาแล้ว ถ้าเป็นนามนับได้เอกพจน์ก็จะใช้ one แทน แต่ถ้าเป็นนามนับได้พหูพจน์ก็ใช้ onesแปลว่า “คนคนนั้น หรือ ของชิ้นนั้น” เช่น

  • I’m making a pancake. Would you like one?
    ฉันกำลังทำแพนเค้ก เธออยากจะได้แพนเค้กสักชิ้นมั้ย
    ( one ในประโยคหลังแทนคำนาม pancake ในประโยคแรก)
  • My bag is the biggest one on the table.
    กระเป๋าของฉันคือใบที่ใหญ่ที่สุดที่วางอยู่บนโต๊ะ
    (the biggest one = the biggest bag)

แต่ถ้าเป็นคำนามพหูพจน์ ก็จะเติม s หลัง one เป็น ones เช่น

  • Do you want white shoes or pink ones?
    คุณอยากได้รองเท้าสีขาวหรือสีชมพู   ( ones แทน shoes )

** oneกับ ones สองคำนี้แทนคำนามทั่วไปค่ะ แต่ถ้าเป็นนามชี้เฉพาะเราใส่ the เข้าไปข้างหน้า one กับ ones ได้เลยค่ะ เป็น the one (แทนนามชี้เฉพาะที่เป็นพหูพจน์) และ the ones (แทนนามชี้เฉพาะที่เป็นเอกพจน์)  

ตัวอย่างประโยคค่ะ

A: Can you get me the book, please?    ช่วยหยิบหนังสือเล่มนั้นให้หน่อยได้มั้ย
B: Which one?        เล่มไหนล่ะ
A: The one on that shelf.           เล่มที่อยู่บนชั้นนั้นน่ะ
A: Can you get me two pens, please?     ช่วยหยิบปากกาให้หน่อยได้มั้ย
B: Which ones?       อันไหนล่ะ
A: The ones in my pencil case.   สองอันที่อยู่ในกระเป๋าดินสอฉันน่ะ

** หลักการใช้ one และ ones

1. one และ ones ใช้กับคำนามนับได้เท่านั้น จะไม่ใช้ one และ ones แทนคำนามที่นับไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องกล่าวซ้ำก็ให้พูดคำนามนั้นซ้ำได้เลย เช่น

  • If you haven’t got whole wheat bread, you can use white bread. (ถูก)
  • If you haven’t got whole wheat bread, you can use white one. (ผิด)

2. one และ ones ถ้าใช้กับ adjective หรือคำคุณศัพท์ ถ้าหากว่าไม่คำนำหน้า เช่น that, this ต้องใส่ article a, an, the

               article (a, an, the) + adjective + one (s)

  •  I’d like one on the table.
    ฉันอยากได้อันที่อยู่บนโต๊ะ
  • I’d like the big one on the table.
    ฉันอยากได้อันใหญ่ๆอันนั้นที่อยู่บนโต๊ะ

ใช้ only ยังไงให้ความหมายไม่เพี้ยน

This weekend only

ใช้ only ยังไงให้ความหมายไม่เพี้ยน

หลายคนยังสับสนกับการใช้ only เพราะไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนในประโยค หลักง่ายๆในการใช้ only คือ “ต้องการขยายคำไหน ให้วาง only ไว้ใกล้ๆกับคำนั้น”

ลองเปรียบเทียบประโยคข้างล่างดูนะคะ

  • Only I hit him in the eye yesterday.
    ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ตีเขาที่ตาเมื่อวานนี้ (ไม่มีคนอื่นทำนอกจากฉัน)
  • I only hit him in the eye yesterday.
    ฉันตีเขาเท่านั้นที่ตาเมื่อวานนี้ (ฉันตีอย่างเดียว ไม่ได้ต่อย ไม่ได้ตบเขา)
  • I hit only him in the eye yesterday.
    ฉันตีแค่เขาเท่านั้นที่ตาเมื่อวานนี้ (ฉันไม่ได้ตีคนอื่นนอกจากเขา)
  • I hit him only in the eye yesterday.
    ฉันตีเขาแค่ด้านในตาเท่านั้นเมื่อวานนี้ (ไม่ได้ตีที่นอกตา ตีด้านในตาเขาเท่านั้น)
  • I hit him in only the eye yesterday.
    ฉันตีเขาที่ตาเท่านั้นเมือวานนี้ (ไม่ได้ตีที่ส่วนอื่นของร่างกาย)
  • I hit him in the eye only yesterday.
    ฉันตีเขาที่ตาแค่เมื่อวานเท่านั้น (วันอื่นไม่ได้ตี)
  • I hit him in the eye yesterday only.
    ฉันตีเขาที่ตาเมื่อวานนี้เท่านั้น (วันอื่นไม่ได้ตี มีความหมายใกล้เคียงกับประโยคด้านบน)

** เห็นมั้ยคะว่าถ้าวางตำแหน่งไม่เหมือนกัน ส่วนที่ไปขยายก็ไม่เหมือนกันแล้ว ฉะนั้นเวลาจะเลือกใช้ก็ระวังนิดนึงนะคะ

เพิ่มเติมนิดนึงคือ ถ้า only อยู่แทรกกลางระหว่าง คำแสดงความเป็นเจ้าของ กับ คำนาม จะแปลว่า “มีเพียงหนึ่ง” เช่น

  • My only child           ลูกเพียงคนเดียวของฉัน
  • His only hope          ความหวังเดียวของเขา
  • Their onlyhouse      บ้านหลังเดียวของพวกเขา

** การใช้ onlyขยายคำนาม + adj. clause
การใช้ only ที่ขยายคำนาม แล้วตามด้วย adjective clause นั้นมีสองกรณีคือ

1. เมื่อ only ทำหน้าที่แยกคำนามนั้นออกจากนามอื่นๆ จะไม่ใส่ comma หน้าและหลัง adjective clause หรือ relative clause และใช้ that เป็น relative pronoun เช่น

  • He is the only student that I saw here.
    เขาเป็นนักเรียนแค่คนเดียว(จากนักเรียนคนอื่นๆ) ที่ฉันเห็นที่นี่

2. ถ้า only ขยายคำนามนั้นเพื่อแสดงว่า มีเพียงหนึ่ง จะใช้ that เป็น relative clause ไม่ได้ และต้องใส่ comma หน้าและหลัง relative clause นั้น เช่น

  • My only child, who works in Bangkok, is going to get married.
    ลูกคนเดียวของฉันที่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ กำลังจะแต่งงาน

การใช้ hope (hope กับ wish ต่างกันอย่างไร)

hope กับ wish ต่างกันอย่างไร

การใช้ hope (hope กับ wish ต่างกันอย่างไร)

Hope เป็นคำนามก็ได้แปลว่า ความหวัง แต่ถ้าเป็นกริยาจะแปลว่า หวัง   บางคนก็อาจจะคิดว่า hope กับ wish มันใช้แทนกันได้ แต่จริงๆแล้วมันมีข้อแตกต่างในการใช้ 2 ตัวนี้อยู่เล็กน้อยค่ะ

ปกติ wish เราจะใช้แสดงความปรารถนาหรือต้องการที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ หรือ เป็นไปได้น้อยมากๆ หรือแสดงความปรารถนาในอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้วว่าอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นไปไม่ได้ และรูปประโยคที่ใช้ก็จะเป็นรูปอดีตเสียส่วนใหญ่

แต่ hope จะเป็นการแสดงความหวังหรือความปรารถนา ในอนาคตซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูงกว่าการใช้ wish และรูปโครงสร้างประโยคที่ใช้ก็จะเป็น present tense หรือ future tense ซึ่ง wish มักจะไม่ใช้คู่กับ present tense

ลองเปรียบเทียบ 2 ประโยคนี้นะคะ

  • I wish I could go to your wedding party.
  • I hope I can go to your wedding party.

สองประโยคนี้ความหมายที่สื่อออกมาจะต่างกัน

ประโยคแรกใช้ wish ความหมายที่ออกมาจะเป็นเชิงลบคือ ฉันอยากจะไปงานแต่งงานของคุณ แต่ไม่สามารถไปได้เพราะติดธุระบางอย่าง

แต่ประโยคที่สองที่ใช้ hope นั้นคือการแสดงความปรารถนาหรือความหวังว่าฉันจะสามารถไปงานแต่งงานของคุณที่กำลังจะจัดขึ้นได้ ซึ่งดูแล้วมีความเป็นไปได้สูงว่าจะไปได้เพราะไม่มีธุระที่ไหนหรือติดงานสำคัญอะไร

ลองมาดูโครงสร้างการใช้ hope กันบ้าง

1.  hope + to infinitive
เช่น

  • I hope to get a scholarship to study abroad.
    ฉันหวังว่าฉันจะได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ
  • I hope to hear from you soon.
    ฉันหวังว่าจะได้รับข่าวจะคุณเร็วๆนี้

2. hope + (that) + clause (ประโยค)
เช่น

  • I hope that it will not happen again.
    ฉันหวังว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
  • I hope she accept my apology.
    ฉันหวังว่าเธอจะรับคำขอโทษจากฉัน
  • I hope that everything goes well.
    ฉันหวังว่าทุกอย่างจะไปได้สวย

3. hope + for + Noun
เช่น

  • I hope for your kind consideration.
    ฉันหวังว่าจะได้รับการพิจารณาจากคุณ
  • I’m hoping for picture from my mom.
    ฉันกำลังรอรูปจากแม่

** สังเกตมั้ยคะว่า tense หลัง hope จะเป็น present tense หรือ future tense ทั้งนั้น ไม่มีรูปอดีตเลย

การใช้ wish แสดงความปรารถนา

การใช้ wish แสดงความปรารถนา

การใช้ wish แสดงความปรารถนา

Wish ใช้ได้ในสองสถานการณ์หลักๆ คือ แสดงความปรารถนา และ การอวยพร แต่ในที่นี้เราจะมาอธิบายการใช้wish เพื่อแสดงความปรารถนาของผู้พูด โดยความปรารถนาที่จะพูดถึงนี้ก็มีหลายรูปแบบด้วยกันดังนี้ค่ะ

1. Wish+ to + V(infinitive) : ใช้พูดแสดงความต้องการ มีความหมายเหมือนกับ want หรือ would like to แต่มีความสุภาพมากกว่า เช่น

  •  Do you wish to move the seat?
    คุณอยากจะเปลี่ยนที่นั้งมั้ย
  • I wish to see your boss.
    ฉันอยากจะพบเจ้านายของคุณ

2. Wish + past simple :   ใช้แสดงความปรารถนาที่ตรงข้ามกับความจริงในปัจจุบัน ซึ่งเราอยากให้เป็นอย่างที่เราฝัน แต่มันเป็นไปได้ยากเหลือเกิน เช่น เราเห็นเพื่อนได้ไปทำงานในอเมริกา แล้วเราก็อยากไปบ้าง แต่มีโอกาสน้อยมากๆที่เราจะได้ไป เราก็บอกว่า

  • I wish I could work in America.

ตัวอย่างอื่นๆ

  • I wish I were a superman.
    (ปกติแล้วหลัง I ต้องเป็น was ใช่มั้ยคะ แต่ถ้าตามหลังwish ให้ใช้ were ค่ะ)
  • I wish it were Sunday today so I could sleep more.
    ฉันอยากให้วันนี้เป็นวันอาทิตย์ฉันจะได้นอนยาวๆ

3. Wish + past continuous : ใช้แสดงความปรารถนาว่าตอนนี้เรากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ แต่เราไม่ได้กำลังทำอยู่ เช่น วันนี้ติดประชุมเลยไม่ได้ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อน คุณเลยบอกเพื่อนว่า

  • I wish I was having dinner with you at The Moroccan restaurant.
    ฉันได้แต่หวังว่าจะได้ไปกินข้าวที่ร้านThe Moroccan กับคุณตอนนี้ (ตอนนี้ไปไม่ได้ ติดประชุมอยู่)
  • I wish we were enjoying the trip in Japan.
    ฉันได้แต่หวังว่าพวกเราจะกำลังสนุกกับทริปในญี่ปุ่น (แต่ตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะอาจจะกำลังติดงานหรือติดธุระอยู่ เลยไม่ได้ไป)

4. Wish + past perfect : ใช้แสดงความปรารถนาที่เป็นไปไม่ได้ในอดีต คือหวังว่าเราน่าจะได้ทำอย่างนั้นแต่ไม่ได้ทำ กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เช่น

  • I wish we hadn’t known each other.
    ฉันอยากให้เราไม่ต้องมารู้จักกันเลยจะดีกว่า (ตอนนี้ได้รู้จักไปแล้ว และเขาก็ได้ทำไม่ดีกับเรา)
  • I wish I had told him about Jenny.
    ฉันน่าจะบอกเขาไปเรื่องเจนนี่ (แต่ไม่ได้บอก)
  • Sometimes I wish I had never been born.
    บางทีฉันก็คิดนะว่าฉันไม่น่าเกิดมาเลย (ตอนนี้เกิดมาแล้ว)

5. Wish + would / could : ใช้แสดงความไม่พอใจกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน คาดหวังให้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น

  •  I wish he could speak louder.
    ฉันอยากจะให้เขาพูดดังกว่านีหน่อย (ตอนนี้พูดเบาไป ไม่ได้ยิน)
  • I wish you would stop smoking.
    ฉันหวังให้คุณเลิกสูบบุหรี่ซะที

Get Passive คืออะไร?

Get Passive คืออะไร

Get Passive คืออะไร?

การใช้ get ในอีกรูปแบบหนึ่งที่เรามักจะเจอบ่อยๆก็คือ get + past participle (V3)

ซึ่งถ้าเจอในโครงสร้างแบบนี้จะเป็นโครงสร้างเหมือน passive voice คือ ถูกกระทำนั่นเอง พูดง่ายๆคือ get จะแทน verb to be ที่อยู่หน้า past participle ในประโยค passive voice

ลองเปรียบเทียบประโยคที่เป็น passive voice แบบใช้ verb to be และ get ดูนะคะ

Verb to be :Helen’s car was hit this morning.
Get :             Helen’s car got hit this morning.

Verb to be :My ring was stolen last night.
Get :             My ring got stolen last night.

สองประโยคตัวอย่างนี้สังเกตว่า ความหมายแบบใช้ verb to be และแบบใช้ get ไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย แต่อย่างเพิ่งดีใจไปนะคะว่ามันจะใช้แทนกันได้ทุกกรณี มีบางกรณีของ passive voice ที่เราจะไม่ใช้ get แทน verb to be มีดังนี้ค่ะ

1. เรามักใช้ get กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบกระทันหันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เช่น

  • The thieves got caught by the cop yesterday.
    โจรถูกจับได้โดยตำรวจเมื่อวานนี้
  • My friend got fired this morning.
    เพื่อนของฉันโดนไล่ออกเมื่อเช้านี้

2. เราจะไม่ใช้ get ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว หรือผู้พูดตั้งใจหรือมีการวางแผนเตรียมการกันมาก่อนล่วงหน้า เช่น

  • This house was built since I was 5.
    บ้านหลังนี้สร้างขึ้นตอนที่ฉันยังอายุ 5 ขวบ
  • The shop is closed on Sunday.
    ร้านปิดวันอาทิตย์

3. Get จะใช้ในกรณีที่ผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำเป็นคนเดียวกัน เช่น

  • She always gets dressed before 7 o’clock.
    เจ้าหล่อนมักจะแต่งตัวก่อน 7 โมง
  • After they had argued for 2 years, they decided to get divorced.
    หลังจากที่พวกเขาทะเลาะกันมา 2 ปี ก็ตัดสินใจหย่ากัน

การใช้งาน get แบบนี้มักเป็นภาษาพูดหรือภาษาไม่ทางการเท่าไหร่ ถ้าเป็นภาษาที่ทางการมากๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ get นะคะ

through, though, thought มันยังไงกันแน่ สามคำนี้??

through, though, thought ในภาษาอังกฤษ

through, though, thought   มันยังไงกันแน่ สามคำนี้??

สามคำเจ้าปัญหานี้ through, though, thought ใครเจอพร้อมๆกันเป็นต้องมึน เพราะแต่ละตัวความหมายนี่ไม่เหมือนกันเลย อ่านออกเสียงก็ยังไม่เหมือนกันอีก มาดูกันสิว่าแต่ละคำมันหมายถึงอะไรและออกเสียงว่ายังไงกันบ้าง

Through :อ่านออกเสียงว่า “ธรู” แปลว่า “ทะลุผ่าน, ผ่าน, โดยตลอด, ตั้งแต่ต้นจนจบ, เสร็จสมบูรณ์”
เช่น

  • That old lady guided us through the castle.
    หญิงชราคนนั้นพาเราเยี่ยมชมปราสาททั้งหลัง
  • I’ve sat through this boring meeting for 2 hours.
    ฉันนั่งอยู่ในการประชุมที่แสนน่าเบื่อนี้มาตลอด 2 ชั่วโมงแล้ว
  • This shop is open ten to six daily through the year.
    ร้านนี้เปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็นทุกวัน ตลอดทั้งปี

Though :อ่านออกเสียงว่า “โด” แปลว่า “ถึงแม้ว่า” มีความหมายเหมือนกับ although, even though
เช่น

  • Though I studied hard, I can’t pass the test.
    แม้ว่าฉันจะขยันอ่านหนังสือหนักแค่ไหน ก็ยังสอบไม่ผ่านอยู่ดี
  • I still love him though he never loves me back.
    ฉันยังรักเขาแม้ว่าเขาจะไม่เคยรักฉันเลย
  • Losing weight is very hard, I have to lose it though.
    ถึงแม้ว่าการลดน้ำหนักจะยากแต่ฉันก็ต้องลดให้ได้

Thought :อ่านออกเสียงว่า “ธ๊อด”   แปลว่า “คิด” เป็นกริยาช่องที่ 2 ของ think
เช่น

  • I thought I was a good play.
    ฉันคิดว่ามันเป็นการแสดงที่ดี
  • I’ve never thought that this happened to me.
    ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นกับฉัน
  • She thought she could win the game.
    หล่อนคิดว่าหล่อนจะสามารถเอาชนะได้

เอาไปใช้ที่ไหน ก็ระวังตัวสะกดนึดนึงนะคะ หรือ ถ้าไปเจอที่ไหนคราวนี้ก็คงไม่สับสนเรื่องการออกเสียงและการใช้แล้วนะคะ ^^

การแบ่งเพศของคำนามในภาษาอังกฤษ (Gender of noun)

Gender of noun

การแบ่งเพศของคำนามในภาษาอังกฤษ (Gender of noun)

ภาษาอังกฤษ ไม่ถือว่าเป็นภาษาที่มีการแบ่งเพศอย่างชัดเจนเหมือน ภาษาฝรั่งเศส หรือ ภาษาอาหรับ หรือภาษาทางยุโรปอื่นๆ แต่ภาษาอังกฤษก็มีคำศัพท์ที่เป็นการแบ่งเพศอยู่เหมือนกันค่ะ

คำนามในภาษาอังกฤษ เมื่อจำแนกเพศออกมาจะแบ่งออกเป็น 4 เพศด้วยกันคือ

  1. Masculine gender   (เพศชาย) เช่น male, man, boy…etc.
  2. Feminine gender (เพศหญิง)   เช่น female, woman, girl…etc.
  3. Common gender (เพศรวม)       เช่น teacher, doctor, student…etc.
  4. Nature gender (ไม่มีเพศ)         เช่น door, pen, table…etc.

หลักการเปลี่ยนเพศในภาษาอังกฤษ มีดังนี้

  1. เปลี่ยนคำ จากเพศชาย เป็นเพศหญิง– มีคำศัพท์ที่ตายตัวอยู่แล้วว่า คำนี้หมายถึงสิ่งนี้ที่เป็นเพศชายและสิ่งนี้ที่เป็นเพศหญิง เช่น

man              ผู้ชาย                      woman                   ผู้หญิง
sir                 คุณผู้ชาย                 madam                   คุณผู้หญิง
son               ลูกชาย                              daughter                 ลูกสาว
husband        สามี                        wife                        ภรรยา
father           พ่อ                          mother                   แม่
groom           เจ้าบ่าว                              bride                       เจ้าสาว
gentleman    สุภาพบุรุษ                lady                        สุภาพสตรี
friar              นักบวช                              nun                         แม่ชี
cock              ไก่ตัวผู้                     hen                         ไก่ตัวเมีย
buck             สัตว์ตัวผู้ (กระต่าย,     doe  สัตว์ตัวเมีย   กวาง, แพะ)
ram              แกะตัวผู้                   ewe                        แกะตัวเมีย
wizard          พ่อมด                      witch                      แม่มด
tailor            ช่างตัดเสื้อผู้ชาย       dressmaker             ช่างตัดเสื้อผู้หญิง

  1. เติม –essเข้าไปที่คำศัพท์เพศชาย ก็จะกลายเป็นเพศหญิงได้ เช่น

prince           เจ้าชาย                    princess                  เพศหญิง
waiter           พนักงานเสริฟชาย      waitress                  พนักงานเสริฟหญิง
god               เทพเจ้าชาย              goddess                  เทพเจ้าหญิง
Baron           บารอนชาย               Baroness                 บารอนหญิง
Count           ท่านเค้าน์ชาย           Countess                 ท่านเค้าน์หญิง
master          เจ้านายผู้ชาย            mistress                  เจ้านายผู้หญิง
actor             นักแสดงชาย             actress                    นักแสดงหญิง

  1. เอาคำที่เป็นเพศมาเติมข้างหน้าหรือข้างหลัง นาม เช่น

boyfriend      แฟน(ผู้ชาย)             girlfriend                 แฟน(ผู้หญิง)
landlord        เจ้าของบ้านชาย        landlady                  เจ้าของบ้านหญิง
grandfather   ปู่, ตา                      grandmother           ย่า, ยาย
manservant   คนรับใช้ชาย             maidservant            คนรับใช้หญิง
peacock        นกยูงตัวผู้                 peahen                   นกยูงตัวเมีย

** คำบางคำในภาษาอังกฤษนั้นจะไม่บอกเพศชัดเจน เมื่อกล่าวถึงก็จะเป็นการรวมเพศคือหมายถึงได้ทั้งชายหรือหญิง เช่น

father                             mother                       parent
boy                                girl                              child
son                                daughter                    child
man                               woman                        person
king                               queen                          monarch
schoolmaster             schoolmistress                teacher
stallion                          mare                           horse
ram                               ewe                             sheep
** นอกจากนี้ คำศัพท์ที่เป็นสิ่งของ บางอย่างก็แยกเพศเหมือนกัน เช่น

shirt              เสื้อเชิ้ตผู้ชาย            blouse          เสื้อเชิ้ตผู้หญิง
wallet           กระเป๋าตังค์ผู้ชาย      purse            กระเป๋าตังค์ผู้หญิง
chest            หน้าอกผู้ชาย            breast           หน้าอกผู้หญิง