Category Archives: ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

ตอนที่ 44 : การใช้ when กับ while

การใช้  when กับ while

การใช้  when กับ while

เราจะมาพูดถึง When และ While ในฐานะที่เป็นคำเชื่อมประโยคกันค่ะTense ที่มักจะเจอตัวเชื่อมสองตัวนี้บ่อยๆคือ  past simple และ past continuous โดยสอง tense นี้จะใช้คู่กันเพื่อบอกสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต (Past continuous tense) แล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งมาขัดจังหวะ (Past simple tense)    วิธีการนำไปใช้ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเท่าไหร่  ดังนี้ค่ะ

When  มีความหมายว่า  “ตอนที่, เมื่อ”ถ้าใช้ในสถานการณ์ที่มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นแล้วอีกเหตุการณ์หนึ่งมาขัดจังหวะ  เรามักจะใช้ when ตามหลังด้วยเหตุการณ์ที่มาขัดจังหวะ  หรือพูดง่ายๆก็คือ When ตามหลังด้วย past simple tense นั่นเองค่ะ เช่น

  • I was surfing the web when he sent me a message.
    ฉันกำลังเล่นเน็ตอยู่เลยตอนที่เขาส่งข้อความมา
  • He wasn’t sleeping when I arrived.
    เขาไม่ได้นอนอยู่ตอนที่ฉันมาถึง

และ when ก็ยังใช้ในสถานการณ์ปกติได้เช่นกัน ในความหมายว่า  “ตอนที่…. หรือ เมื่อ….”   เช่น Continue reading

ตอนที่ 43 : การใช้ due to

การใช้ due to

การใช้ due to

ปกติแล้ว  due คำเดียว เป็นคำคุณศัพท์แปลว่า  ถึงกำหนดชำระ  ที่ค้างชำระ  ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง  ค่าธรรมเนียม  ค่าสมาชิก  แต่ถ้าเป็น due to แล้วละก็มันจะกลายเป็นคำเชื่อมแปลว่า  “เพราะว่า”  เอาไว้บอกเหตุผล  มีความหมายเหมือนกับ because ค่ะ  เช่น

  • The train was delayed due to the bad weather.
    รถไฟมาช้าเพราะสภาพอากาศไม่ดี
  • Due to my clumsiness, I tripped over the dog.
    เพราะความซุ่มซ่ามฉันเลยสะดุดสุนัขล้มลง

**คำถามคือdue to กับ because ใช้แทนกันได้มั้ยข้อนี้คนไทยมักจะใช้กันผิดอยู่บ่อยๆ  ถ้าสังเกตจากประโยคด้านบนคำที่ตามหลัง due to จะเป็นคำนามหรือนามวลีเพราะ to ใน due to เป็นคำบุพบท  และคำบุพบทก็จะต้องตามด้วยคำนามเท่านั้นค่ะ  แต่คำว่า because ต้องตามด้วยประโยค  ถ้าเราลองใช้ because แทน due to ในประโยคด้านบนจะได้ประโยคที่ว่า

  • The train was delayed because the weather was bad.
  • Because I was clumsy, I tripped over the dog.

แต่ถ้าเป็น because of  ก็สามารถตามด้วย คำนามได้เช่นเดียวกับ due to เช่น

  • Because of the delay, I nearly missed the meeting.
    เพราะความล่าช้าผมเกือบจะพลาดการประชุม

นอกจากคำว่า due to แล้ว ยังมีคำอื่นๆที่ใช้แทน due to และใช้ในลักษณะเดียวกันคือตามด้วยคำนามอยู่อีกหลายคำ ดังนี้ค่ะ Continue reading

ตอนที่ 42 : คำนี้ใช้เมื่อไหร่ต้องเติม s เสมอ

คำนี้ใช้เมื่อไหร่ต้องเติม s เสมอ

คำนี้ใช้เมื่อไหร่ต้องเติม s เสมอ

การออกเสียง s ท้ายคำถือเป็นเสน่ห์ในการพูดภาษาอังกฤษเลยก็ว่าได้  เพราะมันฟังดูแล้วเหมือนเรามี accent ของเจ้าของภาษาใช่มั้ยคะ  แต่คุณขา!! บางคนก็เติม s เยอะไปโดยไม่จำเป็น บางคำไม่มีเสียง s แต่ก็เติมเข้าไป  ทว่าบางคำต้องมี s  แต่กลับไม่ออกเสียงซะงั้น  ในภาษาอังกฤษจะมีคำบางคำที่ต้องเติม  s  เสมอซึ่งจะมีทั้งคำนามที่เมื่อเติมแล้วมีความหมายเป็นพหูพจน์ถึงแม้ว่าจะมีแค่ชิ้นเดียว  และคำที่ต้องเติม s เสมอแต่ไม่ได้มีความหมายเป็นพหูพจน์แต่เพราะเป็นส่วนหนึ่งของคำนั้นอยู่แล้ว  คำดังกล่าวมีดังนี้ค่ะ

คำนามที่ต้องเติม s เสมอถึงแม้ว่าจะหมายถึงของแค่ชิ้นเดียว  ซึ่งก็มักจะเป็นพวกกางเกง  กรรไกร หรืออะไรที่มักจะมาเป็นคู่  เช่น

jeans-กางเกงยีนส์            scissors-กรรไกร 

trousers-กางเกงขายาว   shorts-กางเกงขาสั้น 

glasses-แว่นตา                goods-สินค้า 

clothes-เสื้อผ้า                 pants-กางเกง

โดยที่คำนามเหล่านี้ก็จะถือว่าเป็นพหูพจน์และใช้กับกริยาพหูพจน์ด้วย เช่น Continue reading

ตอนที่ 38 : การสร้างประโยคคำถามและประโยคคำสั่งที่เป็น passive voice

ประโยคคำสั่งที่เป็น passive voice

การสร้างประโยคคำถามและประโยคคำสั่งที่เป็น passive voice

ประโยคคำถามบางคำถามก็ต้องใช้รูปประโยคแบบ passive voice เหมือนกัน  ซึ่งหลักการสร้างประโยคคำถามแบบ passive voice ก็ไม่ได้แตกต่างจากประโยคแบบ active voice มากนัก   ในประโยคคำถามที่เป็น Wh-question  ก็จะมีโครงสร้างประโยคดังนี้ค่ะ

                    Wh-question + กริยาช่วย + ประธาน + V.3 (past participle)

เช่น

Active: Where did you see the snake?

Passive: Where was the snake seen?

Active:  How do you make this soup?

Passive: How is this soup made?

Active:  Why did he tear the report?

Passive: Why was the report torn?

Wh-question word สามารถใช้ได้เลยยกเว้นคำว่า who ถ้าหากจะทำเป็นpassive voice ให้ใช้ by whom เช่น

Active: Who wrote “Harry Potter”?

Passive: By whom was “Harry Potter” written?

แต่ถ้าประโยคคำถามนั้นมี modal verb ก็เขียนได้แบบนี้ค่ะ Continue reading

ตอนที่ 37 : ประโยค passive voice ของ modal verb

ประโยค passive voice ของ modal verb

ประโยค  passive voice ของ modal verb

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าประโยคในภาษาอังกฤษจะแบ่งออกเป็น active voice (ประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำ)  และประโยค passive voice ซึ่งก็คือประโยคที่ต้องการเน้นประธานว่าเป็นผู้ถูกกระทำ โดยอาจจะใส่ผู้กระทำก็ได้หรือไม่ใส่ผู้กระทำเนื่องจากเป็นที่เข้าใจโดยทั่วไปว่าใครทำหรือไม่รู้แน่ว่าใครทำ ในบางครั้งประโยค passive voice สร้างปัญหาให้กับเราๆอย่างมากเพราะโครงสร้างประโยคภาษาไทยไม่มีแบบ passive voice นั่นเอง  ดังนั้นเวลาใช้จึงต้องแยกแยะให้ออกว่าประโยคแบบไหนของไทยที่จะต้องเขียนเป็นแบบ passive voice ในภาษาอังกฤษ

ประโยค passive voice   จะมีโครงสร้างที่ผันไปตาม tense ทุก  tense โดยโครงสร้างหลักของ passive voice คือ

Verb to be + V.3 (past participle)

แต่ในที่นี้จะพูดถึง  passive voice  ในประโยคที่มี  modal verb  (will, would, can, could, shall, should, must, etc.)  โครงสร้าง passive voice ของ modal verb  ก็ง่ายแสนง่ายค่ะ  ตามนี้เลย

                    Subject + modal verb + be + V.3

ตัวอย่างประโยค

  • My house should be renovated soon. It’s all run down.
    บ้านฉันควรจะได้รับการปรับปรุงใหม่ในเร็วๆนี้ มันทรุดโทรมหมดแล้ว
  • The car can’t be repaired.
    รถคันนี้ซ่อมไม่ได้แล้ว
  • Our flight will be cancelled because of the bad weather.
    เที่ยวบินของพวกเราจะถูกยกเลิกเพราะสภาพอากาศไม่ดี

ในอีกกรณีหนึ่งของ passive voice ที่อาจจะเจอก็คือ การใช้ to infinitiveในกรณีนี้ก็จะเป็น  Continue reading

ตอนที่ 28 : Past participle (V3) ใช้ยังไงได้บ้าง

Past participle (V3)

Past participle (V3)  ใช้ยังไงได้บ้าง

Past participle ชื่อนี้เราอาจจะไม่ค่อยรู้จัก  แต่ถ้าบอกว่าverb ช่อง 3 เมื่อไหร่ล่ะก็คงร้องอ๋อกันแน่นอน  แต่จริงๆแล้วกริยา 3 ช่องที่คนไทยรู้จัก  ฝรั่งเค้าจะเรียก กริยาช่อง 1 ว่า base form เรียกกริยาช่อง 2 ว่า  past simple tense  เรียกกริยาช่อง 3 ว่า  past participle  ในที่นี้จะพูดถึง past participle ว่าใช้ในสถานการณ์แบบไหนได้บ้าง  ดังนี้ค่ะ

1. ใช้ใน perfect tense

ในโครงสร้างของ  perfect tense ไม่ว่าจะเป็น present perfect, past perfect หรือ

future perfect จะมี past participle เป็นส่วนประกอบ

Present perfect tense :  S + have/has + V3.

Past perfect tense : S+ had + V3.

Future perfect tense  : S + will have + V3.

ตัวอย่างประโยค

  • She’s never been there before.
    เธอไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน
  • We will have slept by the time our parents arrive.
    พวกเราคงหลับไปแล้วตอนที่พ่อแม่มาถึง

2. ใช้ในประโยค passive voice

Passive voice คือ ประโยคที่ประธานถูกกระทำโครงสร้างของประโยคpassive voice คือ Continue reading

ตอนที่ 27 : โครงสร้างประโยคที่มี have

โครงสร้างประโยคที่มี have

โครงสร้างประโยคที่มี have

have ก็เป็นอีกคำที่มีการใช้ได้หลากหลายมากกว่าความหมายหลักๆของมันที่แปลว่า “มี หรือ กิน”  แถมยังเป็นกริยาช่วยได้ด้วยใน present perfect tense  (have + V3)  บางครั้งเวลาเจอ have เราจะไม่สามารถแปลประโยคนั้นๆให้เข้าใจได้โดยแปลว่า มีหรือกิน  ลองไปดูกันค่ะว่า have ใช้ในโครงสร้างประโยคอย่างไรได้บ้าง

—- S + have + object —-

haveในประโยคนี้ใช้ในความหมายว่า “มี” หรือ “กิน”  เช่น

  • She has no time.
    เธอไม่มีเวลา
  • They have something in common.
    พวกเขามีอะไรบางอย่างคล้ายๆกัน
  • I’m having lunch.
    ฉันกำลังทานอาหารกลางวัน
  • She is having baby.
    เธอกำลังตั้งครรภ์

( have สามารถทำเป็น continuous tense ได้แต่จะหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น)

—- S + have + object + adverb —-

Adverb ที่นำมาใช้ต่อท้าย object ส่วนใหญ่จะเป็นคำบอกตำแหน่งและมีพยางค์เดียว เช่น Continue reading

ตอนที่ 26 : มารู้จัก Verb to be ในโครงสร้างประโยคเหล่านี้กัน

verb to be

มารู้จัก  Verb to be  ในโครงสร้างประโยคเหล่านี้กัน

Verb to be (is, am, are, was, were) เรียกได้ว่าเป็น กริยาสารพัดประโยชน์จริงๆ  เป็นกริยาช่วยก็ได้  เป็นกริยาแท้(ในความหมายว่า เป็น,อยู่,คือ) ก็ได้อีก  อะไรมันจะสรรพคุณแซ่บขนาดนี้  ก็อย่างที่บอกค่ะด้วยความที่ verb to be มันสารพัดประโยชน์  ดังนั้นการรู้จักโครงสร้างประโยคที่มักจะมี verb to be เข้ามาเกี่ยวข้องก็น่าจะเป็นการช่วยเพิ่มความแก่กล้าให้ภาษาอังกฤษเราได้มากขึ้นไปอีก…จะรอช้าอยู่ใย  มาดูกันค่ะว่าโครงสร้างประโยคที่พูดถึงนี้มีหน้าตาเป็นยังไงกันบ้าง

—- S + V.to be + Adj. —-

เป็นโครงสร้างพื้นฐานระดับรากหญ้ากันเลยทีเดียวสำหรับรูปแบบประโยคแบบนี้  ใครไม่รู้จักถือว่าเชยมาก  มี Adjective ที่ไหน  เจ้า Verb to be ก็มักจะไปเสนอหน้าที่นั่น  เช่น

  • The test was pretty hard.
    ข้อสอบยากจัง
    (มีมาคั่นกลางด้วย prettyก็ไม่ใช่อะไร  เป็นคำขยายแปลว่า “ค่อนข้าง”  นะคะ)
  • My shoes are wet.
    รองเท้าฉันเปียก

—- S + V. to be + Adv. —–

Adverb ก็มาไม่น้อยหน้า Adjective นะคะ  ใช้กับVerb to be ได้ด้วย เช่น Continue reading

ตอนที่ 25 : If-clause แบบ Mixed Type คืออะไร?

If-clause แบบ Mixed Type

If-clause แบบ Mixed Type คืออะไร?

ปกติแล้ว ถ้าพูดถึง If-clause ที่เรารู้จักจะมี 3 แบบ หรือบางคนก็บอกว่ามี 4 แบบโดยแบ่งตาม. “ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น”  บางคนก็รู้จักตั้งแต่  Zero conditional – Third conditional  แต่บางคนก็รู้จักแค่ First conditional – Third conditional โดย

Zero conditional จะกล่าวถึง  เหตุการณ์ที่เป็นจริงเสมอ

  • If you mix white and red, you get pink.

First conditional จะพูดถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

  • If he invites me, I will go to his birthday party.

Second conditional จะพูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากในปัจจุบัน

  • If I were a millionaire, I would give money to the poor.

Third conditional จะพูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ในอดีต

  • If you had accepted his marriage proposal, you would have got married with him.

แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงการใช้ประโยคเงื่อนไขหรือ If-clause แบบ Mixed Type หรือแบบผสมนะคะ  เอาล่ะสิ!!  มันจะผสมกันแบบไหนมาดูกันค่ะ  ลองดูตัวอย่างประโยคนี้ก่อนนะคะ  Continue reading

ตอนที่ 23 : หลักการเติม -er/-estหรือ more/mostในคำคุณศัพท์

การเติม -er, -est หรือ more, most

หลักการเติม -er/-estหรือ more/mostในคำคุณศัพท์

ในการเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ขั้นกว่า  และ ขั้นสูงสุด  จะมีการเติม –erหรือการเติม –estที่หลังคำคุณศัพท์  หรือบางคำเติม more หรือ most ที่ด้านหน้าคำศัพท์ โดยก่อนที่จะพูดถึงกฎการเติมดังกล่าวนี้  จะขอยกตัวอย่างประโยคที่เป็นการเปรียบเทียบคุณศัพท์ขั้นกว่า และ ขั้นสูงสุดก่อนนะคะ

การเปรียบเทียบขั้นกว่า คือ การเปรียบเทียบสิ่งของ 2 สิ่ง

  • This room is dirtier than that room.
    ห้องนี้สกปรกมากกว่าห้องนั้น

การเปรียบเทียบขั้นสูงสุด คือ การเปรียบเทียบสิ่งของหลายๆสิ่ง

  • This room is the most dirtiest in the building.

มาดูกฎการเติมกันค่ะ

  1. ถ้าคำคุณศัพท์มี 1-2 พยางค์ ให้เติม erหรือ estเช่น

tall                         taller                      tallest

small                      smaller                   smallest

clever                     cleverer                  cleverest

  1. ถ้าคำคุณศัพท์มี มากกว่า 2 พยางค์ให้เติม more หรือ most หน้าคุณศัพท์นั้นๆ เช่น

dangerous               more dangerous                most dangerous

interesting              more interesting                most interesting

expensive               more expensive                 most expensive Continue reading