Category Archives: เรียนภาษาอังกฤษกับ English 360 องศา

arrive กับ reach ต่างกันอย่างไร

arrive กับ reach ต่างกันอย่างไร

# arrive กับ reach ต่างกันอย่างไร

arrive กับ reach มีความหมายว่า “มาถึง” เหมือนกัน
แต่สองคำนี้มีวิธีใช้ต่างกันเล็กน้อยค่ะ

** มาดูที่ arrive กันก่อนค่ะ
arrive เป็น verb แปลว่า “มาถึง”
แต่พอเวลาจะใช้เคยสับสนกันมั๊ยคะ จะใช้กับบุพบทอะไรดี จะ in จะ at จะ to หรือจะ arrive เฉยๆ
จริงๆแล้ว arrive ใช้ได้กับบุพบท in กับ at ค่ะ

in – จะใช้กับการมาถึง เมือง, เมืองหลวง, ประเทศ
at – จะใช้กับการมาถึงสถานที่เล็กๆกว่านั้น เช่น โรงเรียน, หมู่บ้าน สนามบิน ฯลฯ
เช่น

  • I’ve just arrived in Bangalore.
    ฉันเพิ่งมาถึงบังกาลอร์
  • She’s already arrived at school.
    เธอมาถึงโรงเรียนแล้ว

** คำว่า reach แปลว่า “มาถึง, เอื้อมถึง”
ถ้าจะใช้ reach ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เล็กหรือใหญ่ไม่ต้องใส่บุพบทใดๆเลย ให้ตามด้วย object ได้เลยค่ะ เช่น

  • They haven’t reached home yet.
    พวกเขายังไม่ถึงบ้านเลย
  • Finally, we reached the top of the mountain.
    ในที่สุด พวกเราก็มาถึงยอดเขากันจนได้
  • Can you reach that book for me?
    คุณช่วยเอื้อมหยิบหนังสือนั่นให้หน่อยได้ั๊มั๊ย?

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การใช้ need

I need new shoes

การใช้ need

need เป็นคำกริยาที่ดูเหมือนจะใช้ไม่ยากนะคะ แต่เจ้ากริยา need เนี่ย ความพิเศษของมันก็คือ มันเป็นได้ทั้งกริยาหลัก (main verb) และ กริยาช่วย (modal verb) มาดูรูปแบบการใช้ need กันค่ะ

1. ใช้ need อย่างกริยาหลัก ในประโยค

* need + คำนาม = ต้องการอย่างมากหรือจำเป็น เช่น

  • I need a toilet!! I can’t hold it anymore.
    ชั้นอยากเข้าห้องน้ำ อั้นจะไม่ไหวแล้ว

* need + to + V1 (need to do something)
แปลว่า ต้องการหรือจำเป็นต้องทำอะไร เช่น

  • You need to attend the meeting.
    คุณต้องเข้าประชุม

** ข้อควรระวัง ถ้าใช้ need อย่าง main verb เวลาทำเป็นรูปปฏิเสธหรือคำถาม ต้องใช้ verb to do เข้ามาช่วย เช่น

  • You don’t need to go there.
    คุณไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น

2. ใช้ need อย่าง กริยาช่วยหรือ modal verb

* need + V1
ถ้าใช้แบบนี้ไม่ต้องใส่ to ค่ะ เช่น

  • You need sleep.
    คุณจำเป็นต้องนอน

* ถ้าใช้อย่างกริยาช่วยไม่จำเป็นต้องเอา verb to do เข้ามาช่วยค่ะ เติม not หลัง need ได้เลย และเวลาตั้งคำถามก็สามารถใช้ need ขึ้นต้นประโยคได้เลยค่ะ เช่น

  • She need not buy a car.
    หล่อนไม่จำเป็นต้องซื้อรถ
  • Need you stay up tonight?
    คืนนี้คุณต้องอยู่ดึกมั๊ย?

3. การใช้ need อีกแบบคือ ใช้ในโครงสร้าง
need + Ving (need doing something)
แปลว่า จำเป็นต้องได้รับการทำอะไร เป็นโครงสร้างถูกกระทำค่ะ กรณีที่ประธานของประโยคไม่ได้ทำเอง เช่น

  • Your room needs cleaning.
    ห้องเธอน่ะต้องทำความสะอาดมั่งนะ
  • Does the engine need checking?
    เครื่องยนต์จำเป็นต้องได้รับการตรวจสภาพมั๊ย?

*** จะใช้ need แต่ละทีก็เลือกใช้ให้ถูกนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน leave no stone unturned

สำนวน leave no stone unturned

สำนวน leave no stone unturned

สำนวนนี้แปลว่า “พยายามอย่างสุดความสามารถ, พยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้” อาจจะเพื่อค้นหาบางอย่างหรือเพื่อให้บางอย่างได้ผลลัพธ์ออกมาตามต้องการ

ถ้าแปลตรงตัวก็คือ จะไม่ปล่อยให้มีก้อนหินก้อนไหนไม่ถูกพลิก ก็ประมาณว่า จะพยายามทำอย่างเต็มที่เหมือนกับพลิกก้อนหินหามันทุกก้อนยังไงอย่างงั้นเลย

ตัวอย่างประโยคค่ะ

  • The police left no stone unturned in search for the missing pupil.
    ตำรวจพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะค้นหาเด็กหาย
  • Both sides have vowed to leave no stone unturned in the search for peace.
    ทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นสัญญาว่าจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดสันติภาพ
  • We must leave no stone unturned to raise ten thousand dollars to open the orphanage.พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหาเงินให้ได้ 10,000 ดอลล่าร์เพื่อเปิดบ้านเด็กกำพร้า

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน stand someone up

สำนวน stand someone up

# สำนวน stand someone up

ปกติ stand up แปลว่า ยืนขึ้น
แต่ stand someone up จะแปลว่า “นัดแล้วก็ไม่มาตามนัด” หรือพูดง่ายๆก็คือ เบี้ยวนัด นั่นเอง เช่น

You stood me up.
แกเบี้ยวนัดชั้น

A: Why the long face?
เป็นไร หน้าบูดเชียว
B: He stood me up again!
เขาปล่อยให้ชั้นรอเก้ออีกแล้ว

** ใช้เป็นรูปนี้ก็ได้นะคะ
to get stood up แปลว่า โดนปล่อยให้รอเก้อ
เช่น

A: How was your date last night?
เดทเมื่อคืนเป็นไงมั่ง
B: I got stood up! That jerk stood me up.
ชั้นก็คอยเก้อไง ตาทึ่มนั่นนัดแล้วไม่มา

** ปกติมันก็จะอยู่ในรูปอดีต คือ stood เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว เราถึงค่อยเอามาบ่น เอามาเล่าให้ฟัง ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

This is our society! นี่คือสังคมของเรา

This is our society! นี่คือสังคมของเรา
our_society
This is our society!
  • Two people on donkey’s back. Poor animal
    สองคนบนหลังลา เจ้าลาผู้น่าสงสาร
  • How cruel he is by letting his wife walk!
    เขาใจร้ายจังที่ปล่อยให้ภรรยาต้องเดิน
  • How stupid he is by letting his wife take the ride alone!
    เขาช่างโง่สิ้นดีที่ปล่อยให้ภรรยาขี่ลาอยู่คนเดียว
  • Fool! Don’t even know how to utilize the donkey!
    โง่เสียจริง ไม่รู้จักจะใช้ลาให้เป็นประโยชน์

** ไม่ว่าเราจะทำแบบไหน ก็ไม่เคยทำได้ถูกใจมนุษย์ทุกเรื่องหรอกค่ะ เขาต้องคอยบ่นนั่น ตินี่ อยู่เสมอ
ฉะนั้นถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นดีแล้ว และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ทำไปเถอะค่ะ เสียงรอบข้างก็แค่นกแค่กา ว่ามั๊ย ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน Bring it on!

สำนวน Bring it on!

# สำนวน Bring it on!

สำนวนนี้ แปลว่า “เอาเลย, เข้ามาเลย, มีทีเด็ดอะไรก็งัดมาโชว์เลย” จะออกแนวท้าทายฝ่ายตรงข้าม บอกเป็นนัยๆว่า ชั้นไม่กลัวแกหรอก
ดูตัวอย่างค่ะ

  • A: Are you afraid I’m gonna beat you this game?
    แกกลัวว่าเกมนี้ชั้นจะชนะแกใช่มั๊ย?
    B: Dream on! Bring it on!
    ฝันไปเหอะ แน่จิงก็เอาเลย เข้ามา

ในบางสถานการณ์ก็ใช้ได้อาจจะไม่ใช่การต่อสู้ หรือ เกม เช่น

  • A: I’m gonna fire you!
    ชั้นจะไล่แกออก!
    B: OK, just bring it on.
    เอาเลย ทำเลย!
  • A: I disagree with you in this point. I’ve got better idea.
    ผมไม่เห็นด้วยกับคุณเรื่องนี้นะ ผมมีไอเดียที่ดีกว่านี้
    B: Let’s hear them. Bring it on.
    ก็เอาซิ ว่ามาเลย

** หากสถานการณ์ตึงเครียด สำนวนนี้อาจจะดูแรงๆไปนิด ถ้าคิดจะใช้สำนวนนี้ คุณก็ต้องพร้อมที่จะไฟท์แล้วแหละ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวนภาษาอังกฤษ “It’s not that bad.”

สำนวน It's not that bad.

สำนวน It’s not that bad.

It’s not that bad. ประโยคนี้แปลว่า “มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
เราใส่ that ไปเพื่อเน้นว่า ก็ไม่ขนาดนั้น
ดูตัวอย่างอื่นกันค่ะ

  • How can you put up with him for so long?
    เธอทนกับเขาได้นานขนาดนี้ได้ยังไงน่ะ
  • Come on. He’s not that bad.
    ไม่เอาน่า เขาก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก
  • It’s not that cold today. Why don’t you take a bath?
    วันนี้ก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้นซะหน่อย แล้วทำไมแกไม่อาบน้ำ!!
  • I don’t give a damn. You are not that important to me.
    ชั้นไม่สนหรอก เธอไม่ได้สำคัญกับชั้นขนาดนั้นสักหน่อย
  • This movie is not that lame. At least, I like the ending scene.
    หนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ห่วยขนาดนั้นน่ะ อย่างน้อยฉันก็ชอบฉากจบ

** จำไว้เสมอนะคะว่า English is not that difficult. ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน out of question

สำนวน out of question

#  สำนวน out of question
out of question  แปลว่า  “เป็นไปไม่ได้, ไม่มีทาง” นะคะ  เช่น

  • To get up early in the cold day is out of question.
    การตื่นเช้าในวันหนาวๆเนี่ยมันเป็นไปไม่ได้เอาซะเลย
  • meeting with him is out of question because of his tight schedule.
    ไม่มีทางที่จะนัดพบเขาได้เลย เพราะตารางงานเขาแน่นเอี๊ยด
  • I’m afraid that’s absolutely out of question.
    ฉันเกรงว่านั่นมันจะไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

Is it cold there?

Is it cold there?

Is it cold there? ที่นั่นหนาวมั๊ย

cold

หน้าหนาวปีนี้ หนาวกันถ้วนหน้าเลย แม้แต่ที่ไทยก็มีสะเก็ดความหนาวมาให้ขนแขนสแตนด์อัพกันบ้างเหมือนกัน  มาอัพเดตความหนาวให้ชาวโลกได้รู้กันค่ะ นอกจากคำว่า cold แล้วเนี่ย ยังมีคำอื่นที่ใช้บอกความหนาวเย็นได้อีกนะคะ

Cool (adj….) มาดูเลเวลแรกของความเย็นกันค่ะ cool แปลว่าเย็น ออกไปทางแนวเย็นสบายๆ มากกว่า ไม่ถึงกับหนาวมาก เช่น

  • The water in this stream is cool and refreshing.
    น้ำในลำธารนี่เย็นแล้วก็ทำให้สดชื่นมากเลย

Chilly (adj.) คำนี้ก็แปลว่า หนาวเย็น ได้ค่ะ เช่น

  • Sitting in the sun, I still felt chilly.
    ขนาดนั่งกลางแดดแล้วนะ ฉันยังรู้สึกหนาวอยู่เลย

Cold (adj.) คำนี้คงรู้จักดี แปลว่า หนาว สภาพอากาศที่หนาวเย็น แต่ถ้าบอกว่า I have a cold. หมายถึง ฉันเป็นหวัด

  • Do you feel cold? คุณหนาวมั๊ย
  • This morning is very cold. There is so much fog out there.
    เช้านี้อากาศหนาวมาก ข้างนอกนั่นมีหมอกเยอะเลย

Freezing (adj.) คำนี้แปลว่า หนาวเย็นแบบ เย็นยะเยือก เย็นจนเกือบแข็ง

  • Hurry up! I’m freezing. เร็วๆสิ ชั้นหนาวจนจะแข็งแล้ว

** หรือใช้ freezing cold ก็ได้ค่ะ

  • Your hands are freezing cold!! มือเธอเย็นจัดเลย

** อัพเดตความหนาวกันหน่อยมั๊ย ที่ไหนหนาวเลเวลไหนกันแล้วลองเลือกไปใช้ดูนะคะ ส่งท้ายด้วยประโยคนี้ละกันค่ะ

  • “Winter must be cold for those with no warm memories.”
    หน้าหนาวมันคงจะหนาว สำหรับคนที่ไม่มีความทรงจำอันอบอุ่น

# ใครบางคนกล่าวไว้  “ลองนึกถึงความทรงจำอันอบอุ่น เผื่อจะหายหนาว”  ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

because VS because of ต่างกันอย่างไร

because และ because of

#  because VS because of
สองตัวนี้แปลว่า “เพราะว่า” เหมือนกัน แต่ลองสังเกตสองประโยคนี้ดีๆ นะคะ

  • We stopped playing football because it rained.
  • We stopped playing football because of the rain.

สองประโยคนี้แปลได้เหมือนกันคือ “พวกเราหยุดเล่นฟุตบอลเพราะฝนตก” เห็นความแตกต่างระหว่างสองประโยคนี้มั๊ยคะ??…
ประโยคแรก หลัง because เป็นประโยค
ประโยคที่สอง หลัง because of เป็น  คำนาม

** because เป็นคำเชื่อม (conjunction)  ที่ใช้เชื่อมประโยคสองประโยค หรือ clause 2 clause เข้าด้วยกัน ฉะนั้นต้องตามด้วยประโยค
** because of เป็นคำบุพบท (preposition) ต้องตามด้วยคำนาม หรือ นามวลี เท่านั้นค่ะ

*** สรุปคือ

  • because + ประโยค
  • because of + นาม, นามวลี

ตัวอย่างอื่นนะคะ

  • I bought this shirt because it is cheap. I bought this shirt because of its cheap price.
  • I am late because the traffic was bad. I am late because of the bad traffic.

** เวลานำไปใช้อย่าสับสนนะคะ ^^
…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา