Category Archives: เรียนภาษาอังกฤษกับ English 360 องศา

ขึ้นรถลงรถ ภาษาอังกฤษพูดว่าไง?? [get in, get on, get off]

ขึ้นรถลงรถ ภาษาอังกฤษพูดว่าไง

# ขึ้น – ลง รถ ภาษาอังกฤษพูดว่าไง??

เวลาจะบอกว่า ขึ้นรถ ลงรถ บางทีก็ใช้ get in บางทีก็ใช้ get on งงกันมั๊ยคะ?
จริงๆเวลาจะดูว่าใช้ get in หรือ get on ให้เราดูที่ขนาดของรถหรือยานพาหนะเป็นหลักนะคะ

** ถ้ารถที่มีขนาดใหญ่แบบ bus หรือ train เราจะใช้ “get on” ค่ะ รวมถึงเครื่องบิน (plane) ก็ใช้ get on เช่นกัน  เช่น

  • Let’s get on the bus. We’re going to leave.
    ไปขึ้นรถบัสกันเถอะ เรากำลังจะออกเดินทางแล้ว

นอกจากนี้ get on ยังใช้กับ พาหนะที่เราขึ้นไปขี่พวก มอเตอร์ไซค์ หรือ จักรยาน รวมถึงขี่ม้า ด้วยนะคะ เช่น

  • Get on the motorcycle. I’ll teach you how to ride.
    ขึ้นไปขี่มอเตอร์ไซค์สิ ฉันจะสอนเธอขี่มอเตอร์ไซค์เอง

เวลาจะบอกว่า ลงรถ ที่เป็นแบบรถบัส รถไฟ หรือมอเตอร์ไซค์ จักรยาน ให้ใช้ get off นะคะ เช่น

  • I’m getting off the train.
    ผมกำลังจะลงรถไฟ
  • Can you get off my bike?
    ช่วยลงจากรถจักรยานฉันได้มั๊ย?

** แต่ถ้าเป็นรถที่มีขนาดเล็กๆอย่างรถเก๋ง รถกระบะ รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก แบบที่ต้องก้มศรีษะเข้าไป พวกนี้เราใช้ “get in” นะคะ  เช่น

  • Get in the car. We’re about to be late.
    ไปขึ้นรถสิ เรากำลังจะไปสายแล้วนะ
  • Get in the car. I’ll drop you off at the train station.
    ขึ้นรถสิ ฉันจะขับรถไปส่งคุณที่สถานีรถไฟ

เวลาบอกว่า ลงรถ พวกนี้คือ รถเก๋ง รถแท็กซี่ เราใช้ get out of  เช่น

  • Don’t get out of the car until I come back.
    อย่าลงจากรถจนกว่าฉันจะมา

** วิธีจำง่ายๆก็คือ รถที่มีขนาดใหญ่อย่างพวกรถบัส รถไฟ หรือเครื่องบินเนี่ย เวลาเราขึ้นไปแล้วเรายังต้องเดินไปหาที่นั่ง คือมีพื้นที่ให้เราเดินได้โดยไม่ต้องก้มศรีษะ เราจึงใช้ get on ส่วนพวกจักรยาน คือเราขึ้นไปนั่งขี่บนนั้น เราจึงใช้ get on เช่นเดียวกัน  แต่รถเล็กๆ อย่าง รถเก๋ง รถกระบะ เนี่ย พอเราเข้าไปข้างในก็ถึงเบาะนั่งเลย ไม่มีพื้นที่ให้เดิน เราจึงใช้ get in

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษ (punctuation)

การใช้เครื่องหมายวรรคตอน

หมายวรรคตอน (punctuation)

สิ่งสำคัญในการเขียนภาษาอังกฤษที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการรู้แกรมม่าร์ รู้ศัพท์ เข้าใจโครงสร้างประโยค ก็คือการใช้เครื่องหมายวรรคตอนให้ถูกต้อง เพราะมันอาจทำให้ความหมายในประโยคเปลี่ยนได้ หรือบ่งบอกทักษะการเขียน ของคุณได้เลย เพราะการเขียนในภาษาอังกฤษมันไม่ใช่แค่การรู้คำศัพท์แล้วเอาศัพท์นั้นมา เรียงต่อๆกันให้เป็นประโยคเพียงเท่านั้น มันมีกฎเกณฑ์ และรายละเอียดที่ลึกซื้งลงไปมากกว่านั้นค่ะ
เอาล่ะค่ะ!! จะขออธิบายแค่เครื่องหมายวรรคตอนที่สำคัญๆนะคะ

1.  full stop / period (.)

ปกติเราใช้ full stop ในกรณีดังนี้
1.1 ไว้เวลาเราเขียนจบประโยค ยกเว้นประโยคคำถามและอุทาน
1.2 เขียนไว้หลังอักษรย่อ หรือคำย่อ เช่น etc. a.m.

2. comma (,)

เครื่องหมายนี้มีการใช้ที่เยอะพอสมควรและสำคัญไม่น้อย มาดูกันค่ะ

2.1 ใช้แยกคำหรือกลุ่มคำที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ส่วนมากก็จะเป็นการยกตัวอย่างต่างๆ หรือการแจงรายละเอียด รายการต่างๆ เช่น

  • My favorite hobbies are reading novel, watching movies, listening to music and sleeping.
  • You should concentrate and participate in class, take note, and study hard before exam in order to get good marks.

2.2 ใช้คั่นหน้าและหลังกลุ่มคำหรืออนุประโยคที่ขยายคำนามข้างหน้า เช่น

  • Barack Obama, President of the United States, will come to Thailand next month.
    (กลุ่มคำ President of the United States เป็นคำขยายนาม Barack Obama ว่าเป็นใคร)
  • The Royal Hotel, which was built in 1990, will be reconstructed next year.
    (อนุประโยค which was built in 1990 มาขยายคำนาม The Royal Hotel) ในกรณีนี้ต้องเป็นคำนามเฉพาะเจาะจงนะคะ ถ้าเป็นนามทั่วไป ไม่ต้องใส่ comma ค่ะ Continue reading

สำนวนเกี่ยวกับสี ในภาษาอังกฤษ

I'm feeling blue.

สำนวนภาษาอังกฤษ (Idioms) เกี่ยวกับสี

สีในภาษาอังกฤษนอกจากจะบ่งบอกถึงสีของตัวมันเองแล้ว ยังเอามาทำเป็นสำนวนได้นะคะ

สีต่างๆ ในภาษาอังกฤษ [colors]

 แถบสีภาษาอังกฤษภาษาไทย
Whiteสีขาว
blackสีดำ
grayสีเทา
khakiสีกากี
light blueสีฟ้า
blueสีน้ำเงิน
greenสีเขียว
light greenสีเขียวอ่อน
redสีแดง
pinkสีชมพู
orangeสีส้ม
yellowสีเหลือง
brownสีน้ำตาล
purpleสีม่วง
goldสีทอง
silverสีเงิน

 

** blue
ถ้าใครบอกคุณว่า I’m feeling blue. ไม่ต้องไปยินดีกับเค้านะคะ เพราะเค้าไม่ได้กำลังรู้สึกสดใสเหมือนกับสีฟ้าของท้องฟ้าแต่อย่างใด แต่เค้า กำลังเศร้าค่ะ ใช่แล้ว blue แปลว่า “รู้สึกเศร้าใจ หรือ เสียใจ” ค่ะ ฝรั่งเขาไม่ได้มองว่าสีฟ้าเป็นสีสดใสในเหมือนพี่ไทยนะคะ แต่เขามองว่ามันหดหู่ เศร้าใจต่างหาก อือ! แปลกเหมือนกัน ^^ ตัวอย่างประโยคอื่นๆก็เช่น

  • You made me glad when I was blue.
    คุณทำให้ฉันดีใจเวลาที่ฉันเศร้า

** green
สีเขียวนี่ปกติเรามักปิ๊งขึ้นมาในใจทันทีว่า มันต้องเกี่ยวกับธรรมชาติแน่ๆ ใช่ค่ะ บางสำนวนก็ให้ความหมายแนวๆนี้ เช่น
สำนวน have green fingers แปลว่า ปลูกต้นไม้เก่ง ปลูกอะไรก็ขึ้น อะไรแบบนั้นแหละ
แต่ถ้าสำนวน give someone the green light จะหมายถึง อนุญาตให้ทำอะไรบางอย่าง พูดง่ายๆก็คือ เปิดไฟเขียว เช่น

  • My dad has just given me the green light to drive to school.
    ป๊ะป๋าเพิ่งจะเปิดไฟเขียว (อนุญาต) ให้ฉันขับรถไปเรียนได้

green ใช้ในสำนวนแง่ลบได้เหมือนกัน เช่น be green with envy แปลว่า อิจฉาตาร้อน

  • He was damn green with envy when Jack was promoted.
    เขาอิจฉาตาร้อนเลยแหล่ะตอนที่แจ๊คได้เลื่อนขั้นน่ะ

อีกอย่าง green ยังแปลว่า “ไร้ประสบการณ์ หรือ อ่อนหัด” ได้อีกด้วย เช่น

  • You’re still green here. You have to learn a lot.
    คุณยังอ่อนหัดอยู่ ยังต้องเรียนรู้อีกมาก

** red
สีแดงเป็นสีร้อนแรง สำนวนที่เกี่ยวกับสีนี้ก็อาจจะมีความหมายไปในทางไม่ค่อยดีนัก เช่น
สำนวน (be) in the red ใช้พูดเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ ซึ่งหมายถึง เป็นหนี้หรือขาดทุนก็ได้ เช่น

  • Jim’s company has been in the red since last year.
    บริษัทของจิมขาดทุนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

แต่ถ้าสำนวน red in the face จะแปลว่า อายค่ะ แบบอายจนหน้าแดงแบบนั้นแหละ

  • I became red in the face when he talks to me.
    ฉันอายเวลาที่เขาคุยกับฉัน

** pink
in the pink หมายถึง มีสุขภาพดี สบายดี เช่น

  • Your grandmother is still in the pink.
    ย่าของเธอยังดูแข็งแรงดีอยู่เลย (คงประมาณว่า ผิวยังมีสีชมพู ยังมีเลือดฝาด เลือดลมเดินดี แสดงว่ายังมีสุขภาพดี แข็งแรง ประมาณมั้งค่ะ ^^)

แต่ถ้าเกิดคุณได้รับ “pink slip” ในที่ทำงาน อย่าเพิ่งดีใจว่า ได้จดหมายรักหรือเปล่า เพราะแท้ที่จริงแล้ว คุณได้จดหมายเชิญให้ออกจากงานหรือเขาไล่คุณออกต่างหากเล่า ประมาณว่า ได้รับซองขาว นั่นแหละค่ะ

  • He’s just got the pink slip, so he’s finding new job.
    เขาเพิ่งได้รับจดหมายไล่ออก เขาก็เลยกำลังหางานใหม่อยู่

** yellow
yellow ใช้พูดถึงคนที่ “ขี้ขลาดตาขาว” ค่ะ

  • You’re such a yellow man.
    คุณนี่มันขี้ขลาดตาขาวซะจริงๆ

*** บางสำนวนเราก็จะเห็นว่ามัน make sense แต่บางสำนวนก็ทำเอาเรางงๆไปเหมือนกัน เพราะใช้ไม่เหมือนพี่ไทยเรา แต่อย่าลืมว่าวัฒนธรรมฝรั่งกับของเราไม่เหมือนกัน ถ้าจะพูดแบบเขาก็คงต้องใช้สำนวนของเขา จริงมั๊ยคะ? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน get a kick out of something

สำนวน get a kick out of something

สำนวน get a kick out of something

สำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า ไปโดนใครเตะมานะคะ แต่มันหมายถึง enjoy something or doing something คือ ชอบ สนุกสนานหรือเพลิดเพลินกับอะไรบางอย่าง เช่น

  • I really got a kick out of this movie. I find it awesome.
    ฉันดูหนังเรื่องนี้สนุกมากๆ ฉันว่ามันเจ๋งดี
  • I think the audiences get a kick out of your presentation.
    ฉันว่าคนฟังชอบการนำเสนอของคุณ
  • I get a kick out of seeing your smile.
    ฉันชอบที่จะเห็นรอยยิ้มของคุณ
  • She gets a kick out of doing housework.
    เธอสนุกกับการทำงานบ้าน

*** แล้วคุณล่ะคะ What do you really get a kick out of? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน come up with

สำนวน come up with

# สำนวน come up with

มีน้องคนนึงถามมาว่า กริยาวลี หรือ phrasal verb ตัวนี้แปลว่าอะไร แอดมินขอเอามาลงหน้าเพจเพื่อให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วยนะคะ ^^

phrasal verb ตัวนี้ แปลประมาณว่า “เกิดความคิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง, คิดขึ้นมาได้” ส่วนมากก็จะเป็น คิดไอเดีย คิดแผนการ คิดคำตอบอะไรขึ้นมาได้ ประมาณนี้นะคะ มาดูตัวอย่างการใช้กันค่ะ

  • I wish I could come up with a good answer to your question.
    ฉันหวังว่าฉันจะคิดคำตอบดีๆให้กับคำถามของคุณได้
  • I hope you can come up with a better plan than this.
    ฉันหวังว่าคุณจะคิดแผนการที่ดีกว่านี้ได้
  • While I was walking home, I came up with the plan to get even with him.
    ตอนที่เดินกลับบ้าน ฉันก็คิดแผนการแก้เผ็ดเขาขึ้นมาได้

** ในบางประโยคอาจจะให้ความหมายที่หมายถึง “ค้นพบ, หา, หาวิธีทำอะไรบางอย่าง, สร้าง (produce, create)” ก็ได้ เช่น

  • Scientists have come up with many explanations for why the sky is blue.
    นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบคำอธิบายต่างๆมากมายที่อธิบายว่าทำไมท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้า
  • We hope that the doctor come up with a cure to help our aunt in time.
    พวกเราต่างหวังกันว่าหมอจะหาวิธีรักษาเพื่อช่วยป้าได้ทันเวลา
  • I’m broke. I have to come up with the way for making money.
    ฉันถังแตก ฉันเลยต้องคิดหาวิธีที่จะได้เงินมา

*** come up with เป็น phrasal verb ค่ะ ซึ่งถ้าหาคำแปลแยกทีละคำ ก็จะไม่ได้ความหมายนี้ หรือหาคำแปลแค่ come up ก็จะได้ความหมายอื่นมาแทนเช่นกันนะคะ เพราะ come up แปลว่า เกิดขึ้น ค่ะ ฉะนั้น คำศัพท์บางตัว เวลาค้นหาความหมายต้องหายกเซตทั้งหมดเลยนะคะ หาแยกทีละคำไม่ได้ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

มาดูสำนวนที่เกี่ยวกับ เท้าๆ (foot) กันบ้าง

คนกำลังเดินในสวน

# มาดูสำนวนที่เกี่ยวกับ เท้าๆ (foot) กันบ้าง

คำว่า foot ก็คือ “เท้า” มีรูปพหูพจน์ว่า feet อันนี้รู้กันดีอยู่แล้ว เพราะเรียนกันมาตั้งแต่ประถม แต่มีสำนวนที่ใช้ foot หรือ feet ร่วมด้วยอยู่เยอะแยะไปหมดเลย มาดูอันที่น่าสนใจกันดีกว่าค่ะ

**อันแรก itchy feet
ถ้าแปลตรงตัวก็คือ “เท้าที่คันยุบยิบๆ” แต่ถ้าเป็นสำนวนจะหมายถึง “ชีพจรลงเท้า” ค่ะ คือ การชอบการท่องเที่ยว การเดินทาง เช่น

  • He always gets itchy feet because he loves travelling.
    เขามักจะ ชีพจรลงเท้า อยู่บ่อยๆ เพราะเขารักการเดินทาง

**สำนวน get someone’s feet wet
สำนวนนี้แปลว่า “เริ่มทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นครั้งแรกและค่อนข้างเสี่ยง” เช่น

  • He’s never run any business, so now he is getting his feet wet.
    เขาไม่เคยทำธุรกิจอะไรเลย ดังนั้นตอนนี้เขากำลังจะเสี่ยงทำมันเป็นครั้งแรก

**สำนวน get off on the wrong foot
เคยมั๊ยคะ?? เวลาที่เราเพิ่งรู้จักใครสักคนเป็นครั้งแรก แต่รู้สึกว่าความสัมพันธ์เริ่มต้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราใช้สำนวนนี้แหละค่ะ เช่น

  • He got off on the wrong foot with his new boss by coming to the office very late.
    เขาทำให้นายใหม่ไม่ประทับใจเท่าไหร่ด้วยการมาทำงานสายมากๆ
  • I got off on the wrong foot with Linda.
    ผมเริ่มต้นกับลินดาไม่ค่อยดีเท่าไหร่

* แต่ถ้าเกิดเริ่มต้นด้วยดี ก็ให้ใช้สำนวน get off on the right foot นะค่ะ

**สำนวน be back on someone’s feet
หมายถึง หายป่วย, ฟื้นตัว เช่น

  • He hopes he’ll be back on his feet by next week.
    เขาหวังว่าเขาจะหายป่วยภายในสัปดาห์หน้า
  • The new measures are intended to get the business back on its feet.
    มาตรการใหม่นี้มีเป้าหมายที่จะทำให้ธุรกิจฟื้นตัวขึ้นมาได้

**อีกสำนวนแล้วกันนะคะ get cold feet แปลว่า “กลัว, ปอดแหก” ไม่ได้แปลว่า เท้าเย็น นะคะ แต่หมายถึง เกิดอาการกลัวขึ้นมาซะเฉยๆ ทั้งๆที่วางแผนว่าจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไว้แล้ว เช่น

  • If Trevor hadn’t got cold feet, he and Jane would have got married since last week.
    ถ้าเทรเวอร์ไม่เกิดปอดแหกขึ้นมาซะก่อนนะ เขากับเจนก็คงแต่งงานกันไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วแหละ
  • The soldier got cold feet when the pilot told him it was time to parachute out of the airplane.
    นายทหารเกิดกลัวอยากเปลี่ยนใจขึ้นมาพอนักบินบอกว่าถึงเวลาโดดร่มออกจากเครื่องบินแล้ว

*** วันหลังอาจจะเอาสำนวนที่เกี่ยวกับอวัยวะส่วนอื่นๆในร่างกายมาเขียนบ้างดีกว่า แอดมินว่ามันดูน่าสนใจดีนะคะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน in the middle of (doing) something กำลังยุ่งๆอยู่

สำนวน in the middle of (doing) something

# สำนวน in the middle of (doing) something

เวลาที่ใครบอกว่า I’m in the middle of something เค้าหมายถึงว่า เขากำลังยุ่งๆอยู่ หรือกำลังทำอะไรค้างเอาไว้ เช่น

  • Sorry, I’m in the middle of something. Can I call you back later?
    โทษนะ ฉันกำลังยุ่งอยู่ ไว้โทรไปทีหลังได้มั๊ย?

แต่ถ้าอยากบอกว่ากำลังทำอะไรหรือยุ่งอยู่กับอะไรก็ ใส่ V+ing เข้าไป เช่น

  • Whenever I meet him, he’s always in the middle of talking on the phone.
    เวลาที่ฉันเจอเขาทีไรนะ เขาก็มักจะยุ่งอยู่กับการคุยโทรศัพท์ทุกครั้งเลย

** มีสำนวน in the middle อื่นๆ มาแถมค่ะ ^^
สำนวน be caught/stuck in the middle

สำนวนนี้เอาไว้บอกเวลาที่เราเกิดตกอยู่ในสภาวะที่ทำใจลำบาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในกรณีที่เราต้องไปอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งของสองฝ่าย เช่น พี่กับน้องทะเลาะกัน เราไม่รู้จะทำยังไงดี นั่นก็พี่ นี่ก็น้อง อะไรประมาณนี้ค่ะ เช่น

  • My mother and sister are always arguing and I find myself caught in the middle.
    แม่กับน้องฉันทะเลาะกันประจำเลย และฉันก็ต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หรือใช้ในกรณีที่เราไม่รู้จะทำยังไง เคว้งคว้าง ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แก้ปัญหาอย่างไร ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี
เหมือนความหมายเพลง The Show ของ Lenka ค่ะ
ท่อนที่บอกว่า

“I’m just a little bit caught in the middle
Life is a maze and love is a riddle
I don’t know where to go
Can’t do it alone I’ve tried
And I don’t know why.”

ฉันแค่กำลังรู้สึกสับสนนิดหน่อย
ชีวิตนั้นเหมือนกับทางวงกต และความรักก็เหมือนปริศนา
ฉันไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหนดี
และฉันทำมันคนเดียวไม่ได้ ถึงฉันจะพยายามแล้วก็ตาม
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม

*** ถ้าวันไหนแอดมินไม่ได้โพส แสดงว่า I’m in the middle of something นั่นเอง ไม่ได้หายไปไหนนะค่ะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

most กับ most of ต่างกันอย่างไร

most กับ most of ต่างกันอย่างไร

# most กับ most of ต่างกันอย่างไร

most เนี่ยเราแปลว่า ที่สุด มากที่สุดก็ได้ หรือจะแปลว่า ส่วนใหญ่ก็ได้ แต่ในที่นี้เราจะใช้ความหมายที่แปลว่า ส่วนใหญ่ ค่ะ

ถ้า most ในความหมายว่า “ส่วนใหญ่” ก็มักจะอยู่นำหน้าคำนาม แต่เราจะเห็นมันมีทั้ง most แล้วก็ most of
ความแตกต่างของสองตัวนี้มีนิดเดียวค่ะ

most + noun จะใช้ในความหมายทั่วๆไป เช่น

  • Most children love candy.
    เด็กๆส่วนใหญ่ชอบลูกกวาด (หมายถึงเด็กทั่วๆไปส่วนใหญ่)
  • Most novels usually have a happy ending.
    นิยายส่วนใหญ่มักจะจบอย่างมีความสุข (หมายถึงนิยายทั่วๆไปส่วนใหญ่)

แต่การใช้ most of จะแตกต่างออกไปเล็กน้อย
most of + determiners + noun

** ขออธิบายคำว่า determiner หน่อยนะคะ determiner ก็คือ คำที่ใช้นำหน้าคำนาม เช่น article (ในที่นี้จะใช้ the เพื่อให้เฉพาะเจาะจง)
demonstrative adjective (this, that, these, those) ,  possessive adjective (my, his, your, etc.)

most of จะใช้ในความหมายเฉพาะเจาะจง เช่น

  • Most of these children live in downtown.
    เด็กๆพวกนี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในตัวเมือง (หมายถึงเด็กส่วนใหญ่โดยเจาะจงว่าเป็นเด็กพวกนี้ กลุ่มนี้)
  • Most of my writing is inspirational writing.
    งานเขียนของฉันส่วนใหญ่เป็นงานเขียนที่ให้แรงบันดาลใจ (เจาะจงว่าเป็นส่วนใหญ่ของงานเขียนของฉันเท่านั้น ไม่ได้รวมงานเขียนของคนอื่นด้วย)

ถ้าเป็นคำนามที่มีวลีหรือข้อความมาขยายอยู่ด้านหลัง ต้องใช้โครงสร้าง most of นะคะ เช่น

  • Most of the people who’s working here are from Asian countries.
    คนส่วนใหญ่ที่ทำงานอยู่ที่นี่มาจากประเทศแถบเอเชีย

** ข้อควรจำ **
*** หลัง most จะเป็นนามนับได้ที่เป็นพหูพจน์ หรือ นามนับไม่ได้ก็ได้
*** หลักเกณฑ์ในการให้ความหมายว่าเป็นทั่วๆไปหรือเจาะจง ยังสามารถใช้ได้กับ คำบอกปริมาณตัวอืนๆได้อีก เช่น

  • all, all of
  • some, some of
  • each, each of etc.

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวนที่ใช้ make

สำนวนที่ใช้ make

มาดูสำนวนที่ใช้ make กันค่ะ

1. สำนวนแรกคือ ‘make someone do something’

สำนวนนี้แปลว่า “บังคับให้ใครทำอะไร” เช่น

  • They make us work for 12 hour a day.
    พวกเขาบังคับให้เราทำงานวันละ 12 ชั่วโมง
  • I made my brother eat all of his food yesterday.
    เมื่อวานนี้ฉันบังคับให้น้องชายกินอาหารให้หมด

**** สังเกตนะคะว่า กริยาตัวที่สองที่อยู่หลัง make ต้องเป็น Verb ธรรมดาไม่ผัน คือไม่เติม s หรือ es และไม่มี to อยู่หน้ากริยาเหล่านี้ และไม่ผันเป็น V2 หรือ Ving ไม่ว่า Tense จะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าจะผันกริยาเป็นอดีตหรือทำให้เป็น tense ที่กำลังเกิดขึ้น ให้ผันที่กริยา make ซึ่งเป็น Verb แท้ในประโยคนะคะ

  • Jerry’s mother is making him clean his room. His room is such a mess.
    แม่ของเจอร์รี่กำลังบังคับให้เขาทำความสะอาดห้องอยู่ ห้องเขารกสุดๆไปเลย
  • I can’t make you love me.
    ฉันบังคับให้คุณรักฉันไม่ได้หรอก
  • Don’t make me do this.
    อย่าบังคับให้ฉันต้องทำอย่างนี้

2. สำนวนที่สอง make do

ไม่ต้องแปลกใจนะคะ ว่าทำไมเอา make กับ do มาเขียนติดกันแบบนี้ ไม่ได้เขียนผิดหรอกค่ะ แต่มันเป็นสำนวนแปลว่า
“สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่น้อยนิด หรือสามารถทดแทนได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่ แม้ว่าสิ่งที่เราต้องการจะไม่มีก็ตาม” เช่น

  • I was broke last month but I made do with instant noodle.
    เดือนที่แล้วฉันถังแตกไม่มีเงินเลย แต่ฉันก็รอดมาได้ด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่ล่ะ
  • I usually make do with a cup of coffee for breakfast.
    ฉันมักจะดื่มกาแฟแทนการกินอาหารเช้า
  • We don’t have right color now, so we have to make do with what we have.
    เราไม่สีที่ต้องการตอนนี้ ดังนั้นเราจึงต้องใช้สีที่เรามีมาใช้แทน

3. สำนวน make someone + ตำแหน่ง

แปลว่า “แต่งตั้งให้เป็น, แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง”

  • We made him captain of the team.
    เราแต่งตั้งให้เขาเป็นกัปตันทีม
  • They made Jim head teacher after Mike left.
    พวกเขาแต่งตั้งให้จิมเป็นหัวหน้าครูหลังจากที่ไมค์ออกไป

*** ไม่ต้องใส่ article a, an, the นำหน้าตำแหน่งนั้นๆนะคะ

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

การใช้สำนวน do with

สำนวน do with

สำนวน do with

do with เป็นกริยาวลี (Phrasal Verb) ค่ะ มี Expression หรือสำนวนที่น่าสนใจที่ใช้ do with ร่วมด้วยอยู่หลายสำนวนเลยค่ะ เห็นว่าน่าสนใจดีเลยเอามาแบ่งปัน ^^

1. เริ่มที่สำนวนแรก คือ

have (something/anything) to do with หรือ
be something/anything to do with
ไม่ได้แปลตรงตัวว่า มีบางอย่างที่ทำกับ นะคะ แต่สำนวนนี้จะแปลว่า “เกี่ยวข้อง (กับบางคนหรือบางอย่าง)” เช่น

  • Gambling addiction has a lot to do with his divorce.
    การติดพนันมีส่วน(เกี่ยวข้อง)อย่างมากเลยกับการที่เขาหย่า
  • I’m quite sure that her resignation is something to do with her dispute with a colleague.
    ฉันค่อนข้างแน่ใจเลยว่าการลาออกของเธอต้องเกี่ยวกับความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานแน่ๆ

2. สำนวนต่อมาคือ be/have nothing to do with

สำนวนนี้แปลตรงข้ามกับอันบน คือแปลว่า “ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” เพราะ nothing ให้ความหมายเป็นปฏิเสธ เช่น

  • Harry said that he had nothing to do with her.
    แฮรี่บอกว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้ว
  • My love affair has nothing to do with your life.
    เรื่องรักๆของฉันมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตคุณเลย

3. สำนวน What has something (got) to do with…?

สำนวนนี้มักจะพูดเวลาโกรธค่ะ ความหมายก็ประมาณว่า “แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับ…ด้วยล่ะ” เช่น

  • I don’t have any girlfriend. So what? What has that got to do with you?
    ฉันไม่มีแฟน แล้วไงล่ะ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ (พูดง่ายๆก็คือ แล้วมายุ่งอะไรด้วยล่ะ ^^)
  • What have her personal problems got to do with our holiday plans?
    แล้วปัญหาส่วนตัวของเจ้าหล่อนมันไปเกี่ยวอะไรกับแผนวันหยุดของพวกเราด้วยล่ะ

4. สำนวน could do with (something)

สำนวนนี้ก็ห้ามแปลตรงตัวอีกเช่นเคย เพราะมันแปลว่า “ต้องการ” นะคะ เช่น

  • It’s really cold outside. I could do with a nice cup of tea right now.
    ข้างนอกอากาศหนาวจริงๆเลย ตอนนี้ฉันอยากได้ชาร้อนๆสักแก้ว
  • I could do with your help.
    ฉันอยากได้ความช่วยเหลือจากคุณ
  • The exam is around the corner. We could do with a good tutor to help us.
    ใกล้จะสอบแล้ว เราอยากได้ติวเตอร์เก่งๆมาช่วยน่ะ

5. อีกสักสำนวนแล้วกัน What somebody does with themselves? สำนวนนี้ใช้เพื่อถามว่า “จะใช้เวลาทำอะไรช่วงนั้นช่วงนี้” เช่น

  • What are you going to do with yourself during the school holidays?
    คุณจะทำอะไรช่วงปิดเทอมล่ะ
  • He doesn’t know what to do with himself while Jane has gone to Paris for a month.
    เขาไม่รู้ว่าจะใช้เวลาไปทำอะไรดีช่วงที่เจนไปปารีสเดือนนึง

*** การรู้ความหมายของสำนวนพวกนี้ทำให้เราอ่านภาษาอังกฤษได้เข้าใจมากขึ้นค่ะ เพราะสังเกตว่าเป็นแค่คำง่ายๆเอง แต่พอเวลามันมารวมกันเป็นสำนวนก็ให้ความหมายได้อีกแบบหนึ่ง ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา