Category Archives: ประโยคคำถาม

การขออนุญาตในภาษาอังกฤษ (asking for permission)

การขออนุญาติ ภาษาอังกฤษ

การขออนุญาตในภาษาอังกฤษ (asking for permission)

เวลาที่เราจะขออนุญาตคนอื่นทำอะไรก็ตาม ปกติแล้วก็มักจะใช้ภาษาสุภาพ ในภาษาอังกฤษก็เช่นกัน ปกติแล้วในภาษาอังกฤษเวลาขออนุญาตมักจะพูดเป็นประโยคคำถามว่าฉันสามารถทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้หรือไม่   มีหลายประโยคและหลายสำนวนที่ใช้พูดเพื่อขออนุญาต ดังนี้ค่ะ

1. การใช้ can / could

Can กับ Could ความหมายทั่วไปจะใช้ในการพูดถึงความสามารถ แต่can / could จะใช้การขออนุญาตได้ด้วย โดยเขียนหรือพูดในเชิงประโยคคำถาม โดยการใช้ could จะสุภาพกว่าการใช้ can เช่น

  • Can I use your computer?
    ฉันขอใช้คอมพิวเตอร์ได้มั้ยคะ

** ถ้าต้องการให้สุภาพมากขึ้นก็ใช้ could และอาจจะเติม please ไว้ด้านหลังก็ได้ค่ะ

  • Could I use your computer, please?
  • Can I have your name please?
    ขอทราบชื่อคุณหน่อยได้มั้ยคะ
  • Could you move over, please?
    คุณช่วยกรุณาขยับไปหน่อยได้มั้ยคะ

 2. การใช้ may

May ปกติจะใช้ในการคาดการณ์ แปลว่า “อาจจะ” เวลาที่เรานำมาขออนุญาตจะใช้ในรูปประโยคคำถาม เช่น

  • May I turn off the fan?
    ขออนุญาตปิดพัดลมได้มั้ยคะ
  • May I go out please?
    ขออนุญาตออกไปข้างนอกได้มั้ย
  • May I use your camera?
    ขอใช้กล้องถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยคะ

3. ใช้ Do you mind if ……..?   /   Would you mind if ………….?

mindในที่นี้หมายถึง รังเกียจ เวลาขออนุญาต ใช้เป็นประโยคคำถามก็ได้

เช่น

  • Do you mind if I sit here?
    คุณจะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันจะนั่งตรงนี้
  • Would you mind if I borrow you cell phone?
    คุณจะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันจะขอยืมโทรศัพท์มือถือคุณหน่อย

** ที่กล่าวมาแล้วเป็นการแสดงการขออนุญาตแบบประโยคคำถาม แต่ถ้าเป็นประโยคบอกเล่าอาจจะใช้คำว่า canหรือ mayเช่น

  • You may use the computer.
    เชิญคุณใช้คอมพิวเตอร์ได้
  • You can borrow my money.
    คุณจะยืมเงินฉันก็ได้นะ

แต่ถ้าเป็นการพูดว่าไม่อนุญาต จะใช้คำว่า mustn’t กับ can’tเช่น

  • You mustn’t park here.
    คุณห้ามจอดรถที่นี่
  • You can’t smoke in the building.
    ห้ามสูบบุหรี่ในอาคาร

เวลาเจอฝรั่งพูดเร็ว ไม่เข้าใจ ให้ทำไง?

เวลาเจอฝรั่ง พูดเร็วภาษาอังกฤษเร็ว

เวลาเจอชาวต่างชาติพูดภาษาอังกฤษเร็ว ไม่เข้าใจ ให้ทำไง?

ปัญหาหนึ่งเวลาพูดกับชาวต่างชาติคือ เวลาเจอฝรั่งพูดเร็วๆ รัวๆ ลิ้นแทบจะพันกัน คนฟังก้อหูแทบจะพันกัน เลยทำใหคนกลัวไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ
แต่!! เป็นเรื่องปกตินะที่เราอาจจะไม่คุ้นกับสำเนียง หรือจับความไม่ทัน จริงๆฝรั่งเค้าก้อไม่ได้พูดเร็วอะไร ก้อเหมือนเราพูดภาษาไทยนี่แหละ สปีดปกติที่ราพูดกัน เพียงแต่เราไม่ชินแค่นั้นเองค่ะ
….เวลาเราฟังไม่ทันก้อจะมีประโยคที่พูดเพื่อบอกให้เค้าพูดใหม่ หรือพูดช้าลง หรือพูดเสียงดังขึ้น…เริ่มจากประโยคเลเวลง่ายๆกันก่อนค่ะ

** sorry?

ปกติ sorry แปลว่า ขอโทษ แต่ ถ้าพูดเป็นประโยคคำถาม จะออกเสียงว่า “ซ่อหริ๊” จะหมายถึง “อะไรนะคะ?/อะไรนะครับ?” เวลาที่เราฟังเค้าพูดไม่ทัน หรือจะใช้คำว่า

  • pardon? (พาร์ด๊อน?)
    อะไรนะคะ/อะไรนะครับ

เป็นประโยคคำถามเหมือนกัน หรือถ้าอยากได้เวอร์ชั่นยาวๆหน่อยก็บอกว่า

  • I beg your pardon? (ไอ เบ๊ก ยอร์ พาร์ด๊อน). ก็ได้ค่ะ

** ถ้าเป็นแบบทางการอีกนิดนึง ก้อให้ถามว่า

  • Can you repeat that please?
    (แคน ยู รีพี๊ท แด้ท พล๊ีส)
    กรุณาพูดใหม่ได้มั้ย
  • หรือ Can you say that again please?
    ก้อแปลเหมือนกันคือให้เขาพูดใหม่

หรือจะบอกว่า

  • I’m sorry. What did you say?
    ขอโทษนะ เมื่อกี๊คุณพูดว่าอะไรนะ

แต่ถ้าอยากให้เขาพูดช้าลงหน่อย ก้อบอกว่า

  • Can you please slow down?
    (แคน ยู พลี๊ส สโลว์ ดาวน์)
    ช่วยพูดช้าลงหน่อยได้มั้ย

หรือ

  • Could you speak slowly please?
    คุณช่วยพูดช้าลงได้มั้ย

ถ้าเราฟังในสิ่งที่เค้าไม่เข้าใจ หรือยังมึนๆงงๆอยู่ ก็อาจจะพูดว่า

  • I’m sorry. I didn’t get you. หรือ I’m sorry. I didn’t get what you said.
    ขอโทษนะคะ/นะครับ ฉัน/ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด
  • I’m sorry. I didn’t catch what you said.
    ขอโทษนะคะ/นะครับ ฉัน/ผมฟังไม่ทัน
  • I’m sorry. I didn’t keep up with what you said.
    ขอโทษนะคะ/นะครับ ฉัน/ผมฟังไม่ทัน

คราวนี้ก้อไม่ต้องกลัวแล้วว่าถ้าฟังฝรั่งไม่รู้เรื่องจะต้องวิ่งหนี สปี๊คประโยคข้างบนนี้ใส่ เดี๋ยวก้อรู้เรื่องเอง ถ้าถามหลายๆรอบแล้วเรายังฟังไม่รู้รื่อง เดี๋ยวฝรั่งเค้าก้อเดินหนีเราไปเอง

ลองเอาไปฝึกพูดดูนะคะ มีหลายประโยค หลายระดับความยากง่ายให้เลือกใช้

อ่านเพิ่มเติม การออกเสียงสูงต่ำในภาษาอังกฤษ (Intonation)

มารู้จัก “ประโยคขอความช่วยเหลือ” ในภาษาอังกฤษกันหน่อยมั้ย

help ในภาษาอังกฤษ

มารู้จัก “ประโยคขอความช่วยเหลือ” ในภาษาอังกฤษกันหน่อยมั้ย

ถ้าเกิดบังเอิญจับพลัดจับผลูได้ไปต่างประเทศ แล้วเกิดบังเอิ๊ญบังเอิญเข้าตาจน จนต้องไปขอความช่วยเหลือจากฝรั่ง เราจะพูดยังไง เริ่มต้นประโยคว่ายังไงดี เรามีประโยคขอความช่วยเหลือแบบเบสิคๆมาฝากกันค่ะ รับรองว่าถ้าเอาไปใช้ต้องมีใครสักคนช่วยคุณแน่นอนค่ะ

เริ่มต้นด้วยประโยคง่ายๆประโยคนี้ค่ะ

Can you help me please? หรือถ้าจะให้สุภาพกว่านี้ใช้
Could you help me please? ก็ได้ไม่ผิดค่ะ

จำประโยคนี้ประโยคเดียวนี่ก็ใช้ได้ทั้งประเทศเลยล่ะค่ะ แต่ถ้าอยากเปลี่ยนบ้างเพื่อความไม่จำเจเราก็มีประโยคอื่นๆมานำเสนอค่ะ เช่น

  • May I ask you a favor?
    ฉันขอให้คุณช่วยอะไรหน่อยได้มั้ย

หรือจะบอกว่า Can you do me a favor? ก็ได้ค่ะ ให้ความเหมือนกัน

favor แปลว่า ความช่วยเหลือ หรือ ความเอื้อเฟื้อ   คำนี้อาจจะฟังดูเป็นทางการไปซะหน่อย แต่จำไว้ก็ไม่เสียหลายค่ะ

อีกประโยคหนึ่งเป็นสำนวนขึ้นมาหน่อย ดูเก๋ๆ คือ Could you give me a hand?

ไม่ได้แปลว่า ขอมือหน่อย นะคะ แต่แปลว่า ช่วยฉันหน่อยได้มั้ย ตัวอย่างสถานการณ์เช่น คุณจำเป็นต้องแบกทีวีเครื่องเบ้อเริ่มขึ้นไปบนห้องใดห้องหนึ่ง แต่มันหนักซะเหลือเกิน คุณก็เห็นวัยรุ่นท่าทางทะมัดทะแมงสองสามคนแถวๆนั้น เลยเข้าไปทักว่า Excuse me, could you give me a hand? แน่นอนว่าถ้าสองคนนั้นไม่ใจร้ายเกินไป เค้าจะต้องเข้ามาช่วยคุณอย่างแน่นอน

ประโยคอื่นๆ ที่ใช้ขอความช่วยเหลือก็ยังไม่หมดแค่นี้นะคะ เราอาจจะพูดได้ว่า

  • Would you mind helping me out?
    ช่วยผมทีนะ หรือ ช่วยฉันหน่อยนะ

หรือ

  • Is it possible for you to help me?    
    เป็นไปได้ไหมที่คุณจะช่วยฉัน

หรือเราอาจจะไม่ใช้ประโยคคำถามแต่ บอกออกไปตรงๆเลยว่า ฉันต้องการความช่วยเหลือ คือ

  • I need some help.  

แล้วก็ระบุสิ่งที่คุณต้องการให้เขาช่วยได้เลย

ถ้าคุณอยากขอความช่วยเหลือ โดยเจาะจงหรือต้องการระบุว่าอยากให้ช่วยอะไร ออกเป็นแนวประโยคขอร้องให้ทำนั่นทำนี่ให้หน่อย ก็ให้ขึ้นต้นประโยคว่า

Could you please…..?
Would you please….?

เช่น

  • Could you please open the window?
    คุณช่วยเปิดหน้าต่างให้หน่อยได้มั้ย
  • Would you please get me that newspaper?
    คุณช่วยหยิบหนังสือพิมพ์ให้หน่อยได้มั้ย

เอาล่ะค่ะ แค่นี้ก็พอจะช่วยให้คุณเอาตัวรอดในสถานการณ์ขับคันได้แล้ว แต่อย่าลืมว่าก่อนที่จะขอความช่วยเหลือใครให้พูดคำว่า Excuse me. ซักนิดนึง แล้วเมื่อเขาช่วยเหลือเราเสร็จแล้วก็อย่าลืมขอบคุณเขาเป็นอันขาด เพื่อเป็นมารยาทที่ดีนะคะ ^^

would คำง่ายๆ ที่บางทีก็ใช้ยาก

would คำง่ายๆ ที่บางทีก็ใช้ยาก

would คำง่ายๆ ที่บางทีก็ใช้ยาก

Would เป็นคำง่ายๆที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว ซึ่งเราจะรู้จักว่า would มีความหมายว่า “จะ”เท่านั้น แต่มันยังไปใช้ในความหมายอื่นได้อีก ดังนี้ค่ะ

** would แปลว่า จะ เป็นรูปอดีตของwill เชื่อว่าคนทั้งโลกรู้จัก would ในความหมายนี้ดี เช่น

  • She said that she would do it again.
    เธอพูดว่าเธอจะทำมันอีกครั้ง

** would ใช้คู่กับ like แปลว่า อยากจะ หรือต้องการ มีความหมายเหมือน want แต่    would like จะสุภาพกว่าเช่น

  • I would like something to drink.
    ฉันอยากดื่มอะไรสักหน่อย
  • Would you like some tea?
    คุณอยากได้ชามั้ย

** would มักใช้ถามหรือขอร้องเพื่อให้เกิดความสุภาพ เช่น

  •  Would you please pass me that book?
    คุณช่วยหยิบหนังสือเล่มนั้นให้หน่อยได้มั้ย
  • Would you mind If I come in?
    คุณจะรังเกียจมั้ยถ้าฉันจะเข้าไป

**would ใช้พูดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หรือไม่เป็นจริง มักใช้ในประโยคเงื่อนไขที่เป็นการสมมติ เช่น

  • If I were you, I wouldn’t do that.
    ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะไม่ทำอย่างนั้น
  • If I had more vacation time, I would go to Spain.
    ถ้าฉันมีวันหยุดมากขึ้น ฉันจะไปสเปน

** would ในความหมายนี้มักใช้ในภาษาพูดเพื่อสื่ออารมณ์! เพิ่มความเข้มข้นของคำพูดลงไปอีก เช่น ปกติถ้าเราจะถามว่า ทำไมถึงทำแบบนี้ เราก็จะถามว่า Why did you do that?

แต่ถ้าเราถามว่า Why would you do that? ก็จะแปลประมาณว่า ทำไมแกถึงทำแบบนี้!

หรือแทนที่จะพูดว่า I didn’t tell anyone about our secret. (ฉันไม่ได้บอกความลับของเรากับใครเลย) แต่ถ้าพูดว่า I wouldn’t tell anyone about our secret. (ฉันไม่เค๊ยไม่เคยบอกความลับของเรากับใครเลยนะเนี่ย)

เรามักจะไม่ค่อยคุ้นกับ would ในแบบสุดท้ายสักเท่าไหร่ แต่เวลาได้ยินก็แอบสงสัยว่า ทำไมแกต้องใช้ would ด้วย ถ้า would ก็แปลว่า จะ ไม่ใช่เหรอ   ทีนี้ก็จะได้รู้แล้วว่า would มันไม่ได้แปลว่า จะ อย่างเดียวนะคะคุณ แต่มันยังใช้สื่ออารมณ์ได้ด้วย ^^

การใช้ how much / how many

การใช้ how much , how many

การใช้ how much / how many

How much / How many เป็นคำแสดงคำถามที่ถือว่าอยู่ในประเภท wh-question words ใช้ถามปริมาณหรือจำนวนของคำนามค่ะ แต่สองคำนี้มีวิธีการนำไปใช้ที่ต่างกันค่ะ หลักการนั้นง่ายมากๆ จำไว้แค่ว่า

How much ใช้ถามปริมาณของคำนามที่นับไม่ได้
How many   ใช้ถามจำนวนของนามที่นับได้

1.  How many ใช้กับคำนามที่นับได้ และข้อสำคัญคือต้องเป็นพหูพจน์ หลักการใช้ทีต้องจำคือ ถามจำนวนของนามอะไร ให้เอา how many ไปวางไว้ด้านหน้านามนั้น

How many + Plural noun + ………………?

เช่น

  • How many comic books do you have in your room?
  • How many English teachers are there in your school?
  • How many glasses of water do you drink a day?
  • How many boxes does he want?

** การใช้ how many ก็ง่ายๆแบบนี้ล่ะค่ะ สังเกตมั้ยคะว่า คำนามหลัง how many จะต้องเป็นนามพหูพจน์ตลอด ส่วนด้านหลัง เราจะแต่งประโยคเป็นแบบไหนก็แล้วแต่สิ่งที่เราต้องการจะถาม

2. How much ใช้ถามปริมาณของคำนามที่นับไม่ได้

How much + คำนามที่นับไม่ได้ +……………………..?

เช่น

  •  How much sugar do you want?
  • How much milk is there in the bottle?
  • How much money do you have?

** นอกจากถามปริมาณแล้ว How much ยังถามราคาได้อีกด้วยค่ะ โดยใช้โครงสร้างประโยคต่อไปนี้ค่ะ

How much is/are +…………….?
How much does/do …………..cost?

เช่น

  • How much is it?
  • How much are these shoes?
  • How much does this shirt cost?

** ไม่ยากอย่างที่คิด ลองเอาไปใช้ดูได้เลยค่ะ^^

 

Negative Question (ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ)

Negative Question

Negative Question (ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ)

โครงสร้างประโยคคำถามโดยทั่วไปที่เราใช้ในภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่เราจะรู้จักกันแต่ประโยคที่เป็นคำถามแบบบอกเล่า เช่น

  • What are you going to buy at the supermarket?
  • Do you know Alex?

แต่โครงสร้างประโยคคำถามอีกแบบหนึ่งคือคำถามแบบปฏิเสธ ซึ่งโครงสร้างจะไม่ต่างจากแบบธรรมดามากนัก เพียงแต่ใส่ not เข้าไปหลังกริยาช่วยในประโยคเท่านั้นเองค่ะ ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธนี้มักจะใช้ถามเพื่อแสดงความประหลาดใจหรือแปลกใจ มาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ

คำถามแบบ Yes/No question

คำถามแบบ Yes/No question จะขึ้นต้นประโยคคำถามด้วยกริยาช่วย ถ้าต้องการทำเป็น negative question ก็ง่ายๆเลยค่ะ ใส่ not เข้าไปหลังกริยาช่วยได้เลย แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเขียนหรือพูดในรูปย่อ (contracted form) เช่น

  • Isn’t she a member of the club?
    เธอไม่ใช่สมาชิกของชมรมเหรอ
  • Don’t you go to work today?
    วันนี้คุณไม่ไปทำงานเหรอ
  • Aren’t there any chairs in this room?
    ในห้องนี้ไม่มีเก้าอี้สักตัวเลยเหรอ
  • Won’t you come here next week?
    อาทิตย์หน้าคุณจะไม่มาที่นี่ใช่มั้ย
  • Can’t you pick up the children this evening?
    เย็นนี้คุณไปรับลูกๆไม่ได้ใช่มั้ย

** ในการตอบคำถาม Yes/No question แบบที่เป็น negative sentence นั้นจะมีวิธีการตอบที่ไม่เหมือน positive question (ประโยคคำถามแบบบอกเล่า) เช่น ปกติถ้าถามว่า

  • Do you have any sisters?
    คุณมีพี่สาว/น้องสาวบ้างมั้ย
    (ถ้ามีก็ตอบว่า Yes, I have. ถ้าไม่มีก็ตอบว่า No, I haven’t.)

แต่คำถามแบบ negative sentence นั้น สมมติเพื่อนคุณถามว่า

  • Don’t you have any sisters?
    คุณไม่มีพี่สาว/น้องสาวใช่มั้ย

ถ้ามีให้ตอบว่า Yes, I do.   (ซึ่งตรงข้ามกับคนไทย ปกติแล้วคนไทยเวลาถูกถามว่า คุณไม่มีพี่สาวหรือน้องสาวใช่มั้ย ถ้าไม่มีเราจะตอบว่า ใช่ นั่นหมายถึง เราไม่มี คือตอบไปในทิศทางเดียวกับคำถาม แต่ถ้ามี จะบอกว่า ไม่ คือตอบ No)

แต่ถ้าไม่มีให้ตอบว่า No, I don’t. (ที่ฝรั่งตอบแบบนี้ คือเหมือนเป็นการเน้นย้ำคำถาม คือที่เขาถามว่า คุณไม่มีพี่สาวหรือน้องสาวใช่มั้ย   ถ้าไม่มีก็เน้นย้ำไปว่า ไม่ ไม่มีพี่สาวหรือน้องสาวเลย)

ลองอีกตัวอย่างนะคะ

  • Didn’t you hear the ring? I called you many times an hour ago.
    คุณไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เหรอ ฉันโทรหาคุณตั้งหลายครั้งเมื่อชั่วโมงที่แล้ว

ถ้าไม่ได้ยิน คุณต้องตอบว่า

  • No, I didn’t. I was sleeping.
    ไม่ ไม่ได้ยิน ฉันกำลังหลับอยู่

ถ้าได้ยิน คุณต้องตอบว่า

  • Yes, I didn’t. But I was taking a shower.
    ได้ยิน แต่ฉันกำลังอาบน้ำอยู่

** สรุปวิธีการตอบคำถามแบบนี้คือ ไม่ต้องไปสนใจคำถามว่าเขาจะถามมาแบบไหน ให้ตอบตามความเป็นจริงของเรา ใช่ คือ Yes / ไม่ใช่ คือ No เท่านั้นเองค่ะ ^^

คำถามแบบ Wh-question

คำถามแบบ Wh-question ก็จะมีโครงสร้างคล้ายๆกับ Yes/No question เพียงแต่เพิ่ม Wh-question word (what, when, where, why, who, etc) เข้าไปด้านหน้าประโยคเท่านั้นเอง แต่เมื่อทำเป็น negative question ก็ยังใส่ not ที่กริยาช่วยเช่นเดิม เช่น

  • Why don’t you tell me what happened?
    ทำไมคุณไม่บอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น
  • Why doesn’t she come with you?
    ทำไมหล่อนไม่มากับคุณด้วย

Negative sentence (ประโยคปฏิเสธ)

ประโยคปฏิเสธ

Negative sentence (ประโยคปฏิเสธ)

รูปแบบประโยคอีกแบบหนึ่งในภาษาอังกฤษคือ ประโยคปฏิเสธ หลักการในการทำประโยคบอกเล่าเป็นปฏิเสธไม่ซับซ้อนเท่าประโยคคำถาม ทางลัดคือแค่หากริยาแท้และกริยาช่วยในประโยคให้ได้

1. สำหรับ simple tense ไม่ว่าจะเป็น present หรือ past tense ให้ใช้ verb to do เข้ามาช่วย เพราะประโยคบอกเล่าของมันไม่มีกริยาช่วย แค่นำกริยาช่วย verb to do มาเติม not แล้ววางๆไว้หน้ากริยาแท้ในประโยคก็เป็นอันเรียบร้อย สามารถเขียนรูปย่อได้ดังนี้

do not           =        don’t
does not       =        doesn’t
did not          =        didn’t

เช่น

  • You don’t have to go there.
  • They did not tell us about this.
  • She doesn’t like living in downtown.

2. ใน Tense อื่นๆ นั้นจะมีกริยาช่วยในประโยคบอกเล่าอยู่แล้ว ไม่ต้องไปตามหาให้วุ่นวาย ก็จับ not ใส่ข้างหลังกริยาช่วยเหล่านั้นได้เลยเป็นอันเรียบร้อยค่ะ รูปย่อของกริยาช่วยแต่ละตัวมีดังนี้

is not            =        isn’t                        has not         =        hasn’t
am not          =        ‘m not                     have not       =        haven’t
are not         =        aren’t                      had not         =        hadn’t
was not        =        wasn’t
were not       =        weren’t

เช่น

  • They weren’t sleeping when the thief came in.
  • I have not opened my computer for months.

*** ในกรณีที่ verb to be ไม่ว่าจะเป็นกริยาช่วยหรือกริยาแท้ (แปลว่า เป็น, อยู่, คือ) ก็เติม not เข้าไปได้เลย เช่น

  • He isn’t here.
    เขาไม่ได้อยู่ที่นี่

แต่ถ้า verb to have หรือ verb to do เป็นกริยาแท้จะเติม not เข้าไปเลยไม่ได้ ต้องเอา verb ช่วย ตาม tense นั้นมาเติมอีกทีหนึ่ง เช่น

  • I don’t have much work.
  • She has done it alone.

** ประโยคอื่นๆ ที่มี modal verb (can, could, will, would, may, might, shall, should) เวลาอยากจะทำเป็นปฏิเสธก็เติม not เข้าไปหลัง modal verb ได้เลยเช่นกัน เช่น

  • I can’t believe it happened.
  • You shouldn’t spend much money on useless things.

ประโยคบางประโยค ถึงแม้ไม่มีคำว่า not แต่มีจะมี adverb ที่มีความหมายเป็นปฏิเสธก็จะถือเป็นประโยคปฏิเสธเช่นกัน เช่น

  • He never comes early.
  • She hardly speaks rudely.

ตำแหน่งในการวางกริยาวิเศษณ์เหล่านี้ก็มักจะวางไว้หน้า verb แท้ในประโยค

interrogative sentence (หลักการสร้างประโยคคำถาม)

interrogative sentence ประโยคคำถาม

interrogative sentence (หลักการสร้างประโยคคำถาม)

ประโยคคำถามในภาษาอังกฤษมีโครงสร้างที่ไม่เหมือนประโยคบอกเล่า ดังนั้นเวลาจะพูดหรือจะเขียนแต่ละทีต้องมานั่งนึกว่าอะไรมาก่อนมาหลัง ประธาน กริยา กรรม วางยังไง ประโยคคำถามในภาษาอังกฤษมี 2 ประเภท คือ

1. Yes/No Question
2. Wh-Question

1. Yes/No Question – เหตุใดจึงเรียกว่าเป็นคำถามแบบ yes/no question? ก็เพราะมันเป็นคำถามแบบที่ต้องตอบว่า yes หรือ no   หลักการง่ายๆในการสร้างประโยคคำถามแบบนี้คือ เอากริยาช่วย (Helping verb) มาขึ้นต้นประโยค ไม่ว่าในประโยคนั้นจะมีกริยาช่วยอะไรเอามันมาไว้ข้างหน้าประโยคก่อนเลย แล้วที่เหลือก็เรียงประธานและกริยาแท้ตามลำดับ จบท้ายด้วย question mark (?)

                    กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้……..?

หลักการนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุก Tense เช่น Continuous tense ก็จะมี Verb to be เป็นกริยาช่วย

  • Is mom cooking dinner?    (present continuous tense)
  • Are you wearing sunglasses? (present continuous tense)
  • Was she working when you came?         (past continuous tense)

หรือ perfect tense ก็จะมี verb to have เป็นกริยาช่วย

  • Have you ever been to Korea?     (Present perfect tense)
  • Had she called you before she left for Tokyo?   (Past perfect tense)

แต่สำหรับ simple tense นั้น ในประโยคบอกเล่าจะไม่ปรากฏกริยาช่วยใดๆ แล้วจะหากริยาช่วยได้จากที่ไหน? Tense นี้มีความพิเศษหน่อยคือจะเอา Verb to do เข้ามาช่วย ฉะนั้นเวลาตั้งเป็นคำถามก็ต้องเอา verb to do (do, does, did) ขึ้นต้น ถ้าเป็น present tense ก็ใช้ do, does แต่ถ้าเป็น past tense ก็ใช้ did เช่น

  • Do they take writing course this semester?
  • Does she work as an assistant of Prof. Harisson?
  • Did he go with you last night?

คำถามแบบ Yes/No question แน่นอนว่า เวลาตอบก็ต้องตอบ yes หรือ no เช่น

  • Have they broken the window?
  • Yes, they have. (ย่อมาจาก Yes, they have broken the window.)
  • No, they haven’t. (ย่อมาจาก No, they haven’t broken the window.)

หรือในบางประโยคที่ตอง No ก็อาจจะพูดประโยคที่ถูกต้องไปเลยก็ได้ เช่น

  • Are you Matt?         No, I’m Martin.

** หลักการง่ายๆในการตอบแบบสั้นคือ ให้ตอบ Yes หรือ No แล้วตามด้วยสรรพนามที่แทนประธานในประโยคคำถาม แล้วตามด้วยกริยาช่วยและถ้าคำตอบเป็น No ก็เติม not ไปที่หลังกริยาช่วย เช่น

  • Are the students wearing the scout uniform?
  • Yes, they are. / No, they aren’t.
  • Does she like eating spaghetti?
  • Yes, she does. / No, she doesn’t.

2. Wh-quesiton – คือคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question words (What, When, Where, Why, Whose, Who, Which และ ตระกูล How เช่น How old, How long, How much, How many, etc.) ประโยคคำถามแบบ Wh-question นี้ จะเป็นการถามเพื่อขอข้อมูล

โครงสร้างประโยคก็เหมือน Yes/No question เพียงแต่วาง Wh-question ไว้ข้างหน้าสุด หน้ากริยาช่วย แล้วตามด้วยประธานและกริยาหลัก ตามลำดับ

                    Wh-question + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้….?

ตัวอย่างประโยคคำถามแบบนี้คือ

  • Where does your brother work?
  • What have you done these days?
  • How long will you stay here?
  • What movie were you watching last night when I called?

มีข้อควรระวังและข้อเสนอแนะอยู่สองสามข้อในการสร้างประโยคคำถามคือ ประโยคคำถามที่มี do/does/did เป็นกริยาช่วยนั้น กริยาแท้ที่ตามมาในประโยคจะต้องเป็นรูป base form คือรูปธรรมดา ไม่ผัน ไม่เติม s/es และอีกข้อหนึ่งคือ Wh-question words ใดที่ต้องมีนามตามมาด้วย เช่นในความหมายว่า หนังสืออะไร หนังสือของใคร หนังสือเล่มไหน ให้วางนามต่อท้าย Wh-question words นั้นได้เลย เช่น what book, whose book, which book แล้วค่อยตามด้วยโครงสร้างที่เหลือ เช่น

  • What book are you reading?
    คุณกำลังอ่านหนังสืออะไร

หลักการใช้ some กับ any

การใช้ some กับ any

หลักการใช้ some กับ any
some กับ any เป็นคำนำหน้าคำนามที่ใช้บอกปริมาณ แปลว่า “บ้าง หรือ จำนวนหนึ่ง” ทั้งสองคำนี้สามารถนำหน้าคำนามนับไม่ได้ และคำนามนับได้พหูพจน์ได้ เช่น

some milk               any coffee
some tourists         any students

เราจะใช้ some ในประโยคบอกเล่า เช่น

  • We have some milk in the fridge.
  • There are some books on the shelf.

some สามารถใช้ในกรณีที่เป็นประโยคคำถามได้ แต่จะเป็นประโยคคำถามที่ผู้ถามมั่นใจอยู่แล้วว่าเขาจะตอบ yes เช่น

  • Would you like some coffee?
  • Have you lost something?
  • Could I have some water, please?

สำหรับ any เราใช้ ในประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธทั่วๆไป เช่น
ประโยคปฏิเสธ

  • I don’t have any money left.
  • There aren’t any birds in the tree.

** ประโยคปฏิเสธในที่นี้รวมไปถึงประโยคบอกเล่าที่มีคำที่มีความหมายในเชิงปฏิเสธ ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำว่า not อยู่ในประโยคก็ตาม เช่น

  • I hardly ask for any help.
  • We can’t live without any water.

ประโยคคำถาม

  • Do you have any pens?
  • Have you found anything important?
  • Is there any coffee in the cup?

นอกจากนี้เรายังใช้ any ในกรณีที่เป็นเรื่องที่ไม่เจาะจง เช่น

  • Which dress would you like to wear to the party?
    คุณอยากใส่ชุดไหนไปงานปาร์ตี้
  • Any dress.
    ชุดไหนก็ได้

เรายังใช้ any กับประโยค If-clause ได้อีกด้วย เช่น

  • If anyone wants to answer the question, please raise your hand.
  • If anything goes wrong, I’ll cancel the project.

ประโยคคำถาม Subject and Object Question

Subject and Object Question

Subject and Object Question

เรียนภาษาอังกฤษก็วนเวียนอยู่แต่กับ Subject ไม่ก็ Object นี่แหละค่ะ เพราะประโยคมันก็ประกอบไปด้วย Subject คือผู้กระทำกริยา หรือบางประโยคก็จะมี Object ผู้ถูกกระทำ หรือ Subject เป็นผู้ถูกกระทำซะเองซึ่งก็คือ โครงสร้างประโยคแบบ Passive voice นั่นเองค่ะ แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้คือ Subject and Object Question เป็นประโยคคำถามด้วยกันทั้งคู่! แต่มันต่างกันอย่างไร มาดูกันเลยค่ะ

1. Subject Questions คือ ประโยคคำถามที่ Question words (what, who, where, when, etc.) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค หรือถ้าจะให้พูดง่ายกว่านั้นคือ คำถามนี้ต้องการถามหาประธานที่กระทำกริยา โครงสร้างประโยคของมันก็ง่ายๆ ใช้ question words ที่เราต้องการถาม แล้วตามด้วย verb ได้เลย ง่ายมั้ย!! เช่น

  • Who ate my cake in the fridge? / Babara did.
    ใครกินเค้กฉัน / บาบาร่ากิน

( ถามหาคนกินเค้ก ซึ่งคือผู้กระทำกริยา จึงเป็นประธานในประโยค)

  • Who is playing the piano? It’s awesome!
    ใครเล่นเปียโนน่ะ อย่างเพราะเลย!
  • What brings you here?
    ลมอะไรหอบมานี่ได้?

2. Object Questions คือ ประโยคคำถามที่ Question words ทำหน้าที่เป็นกรรมในประโยค ซึ่งโครงสร้างประโยคจะแตกต่างจากแบบแรกเพราะต้องใส่ตัวช่วยนั่นคือ (is, am, are, was, were, do, does, did, has, have, had, modal verbs) โดยกริยาช่วยเหล่านี้มันจะไปแทรกอยู่หน้าประธานค่ะ เช่น

  • Where have you been?
    เธอไปอยู่ที่ไหนมา
  • What are you listening to?
    คุณกำลังฟังอะไร
  • Who did you see on the beach last night?
    เมื่อคืนเธอเห็นใครที่ชายหาด
  • What should I do to quit smoking?
    ฉันควรจะทำยังไงดีที่จะเลิกบุหรี่

** เพิ่มเติมหลักการใช้กริยาช่วย do, does, did นิดนึงว่า ถ้ามีกริยาช่วยในกลุ่มนี้ปุ๊บ กริยาแท้ในประโยคไม่ว่ามันจะเพิ่มออปชั่นอะไรเข้าไป เช่น เติม s/es หรือ เติม ed/V2 อยู่ให้มันกลับมาเป็น Verb1 หรือ based form ธรรมดาได้เลย

และกฎเหล็กที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ ในประโยคเดียวกันกริยาช่วยจะใช้ซ้ำซ้อนกันไม่ได้ มีช่วยแล้วก็ยังจะมาช่วยอีก อันนี้ไม่ได้เด็ดขาด! เช่น ในประโยค present continuous tense มีกริยาช่วยคือ is, am, are อยู่แล้ว ไม่ต้องไปใส่ do หรือ does เข้าไปอีก เช่น

  • Where are you going?
    ไม่ใช่             Where do are you going?      X
  • What sport can you play?
    ไม่ใช่             What sport do you can play?   X

ฉะนั้นจำไว้ว่า ถ้ามีกริยาช่วยในประโยคให้มีตัวเดียวพอค่ะ ไม่ต้องไปใส่ซ้ำซ้อนนะคะ ^^