Category Archives: ความแตกต่างระหว่าง

in time กับ on time ต่างกันอย่างไร

in time กับ on time

in time กับ on time ต่างกันอย่างไร

เห็นฝรั่งเค้าพูดกัน  ประเดี๋ยวก็ in time  ประเดี๋ยวก็ on time  ครั้นพอเราจะเอามาใช้บ้างก็ไม่รู้ว่ามันใช้ยังไง  มันจะใช้เหมือนกันไหมน้า  มาดูกันเลยค่ะ

on time แปลว่า  ตรงเวลาแบบจะเป๊ะหน่อยๆ  เช่นนัดบ่ายโมง  คุณก็มาถึงที่นัดหมายไม่ช้ากว่าบ่ายโมง ถ้าเกินกว่านี้คือมาสาย  เราจะใช้ on time

  • I’m sorry. I can’t make it on time because of the terrible traffic.
    โทษทีนะ ฉันคงไปไม่ตรงเวลา(สาย)เพราะว่ารถติดมาก
  • You have to be at work on time, or else you will be fired.
    คุณต้องมาทำงานให้ตรงเวลาไม่งั้นจะถูกไล่ออกนะ
  • The plane departed on time.
    เครื่องบินออกตรงเวลา

in time  แปลว่า  ทันเวลา   เช่น  คุณจะไปดูหนังรอบบ่ายสอง  แต่คุณไปถึงตอนบ่ายสองครึ่ง  ก็แสดงว่าคุณมาช้าแต่ยังไปทันได้ดูหนัง ถึงแม้ว่าจะไปไม่ทันดูตั้งแต่แรก  Continue reading

ตอนที่ 52 เวลา morning afternoon evening เขาแบ่งกันยังไง

morning afternoon evening เขาแบ่งกันยังไง

เวลา morning  afternoon  evening เขาแบ่งกันยังไง

เราเรียนคำทักทาย Good morning    Good afternoon กันมานานแล้ว แต่เคยรู้ไหมว่าจริงๆแล้วเขามีการแบ่งเวลาออกมาแน่นอนเลยว่า ช่วงเช้าคือตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง ช่วงบ่ายหรือเย็นคือตั้งแต่กี่โมง

มาเริ่มกันที่ morning เลย  ช่วงเช้า หรือ morning จะเริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นหรือประมาณ (5.00 am. – 11.59 am.)    บางทีเราอาจจะได้ยินคำว่า early morning นั่นหมายถึงเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเองค่ะ  และคำว่า dawn คือตอนเช้าตรู่หรือ รุ่งอรุณ ซึ่งก็คือช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง

พอมาถึงช่วง afternoon ก็จะหมายถึงเวลา 12.00 – 17.00 ค่ะ แต่ถ้าพูดถึงเวลา early afternoon นี่เขาก็จะหมายถึงช่วง 11.00 – 13.00 ค่ะ    อีกคำหนึ่งที่เห็นบ่อยคือการใช้คำว่า noon ซึ่งก็จะหมายถึงตอนเที่ยงพอดี  เวลาใช้จะไม่ใช้ in noon นะคะ แต่ให้ใช้ at noon ค่ะ เพราะถือว่าเป็นเวลาเฉพาะที่แน่นอนคือเที่ยงตรงพอดี  เช่น

  • We have lunch at noon.   พวกเราทานอาหารกลางวันเวลาเที่ยงตรง

แต่ถ้าพูดถึง late afternoon คือ เวลาบ่ายแก่ๆ โดยนับตั้งแต่ 16.00-18.00  ซึ่งเวลา 18.00 นี้ก็อาจจะไปคาบเกี่ยวกับเวลาเย็น (evening) เล็กน้อย

มาถึงช่วงเย็นกันบ้าง  เวลา evening เขาเริ่มนับตั้งแต่เวลา 17.00-23.00 เขานับไปจนเวลาห้าทุ่มเลย แต่สำหรับคนไทยเราอาจจะคิดว่ามันคือเวลากลางคืนแล้ว   แต่ถ้าเป็น early evening ก็คือช่วง 17.00-19.00 ค่ะ  บางคนอาจจะเคยเห็นคำว่า dusk คำนี้หมายถึง ช่วงที่พระอาทิตย์ตก หรือเวลาโพล้เพล้ยามเย็นนั้นเองค่ะ  คำว่าเที่ยงคืน ก็ใช้คำว่า midnight  ซึ่งใช้กับคำบุพบท at เช่นเดียวกับคำว่า noon  แต่สำหรับช่วงเวลาอื่นๆคือ morning  early morning   afternoon    late afternoon  ให้ใช้กับบุพบท in นะคะ เช่น Continue reading

ตอนที่ 41 : May be กับ Maybe ต่างกันอย่างไร

May be กับ Maybe ต่างกันอย่างไร

May be กับ Maybe ต่างกันอย่างไร

May be  กับMaybe ดูเผินๆเหมือนจะเป็นคำเดียวกันใช่มั้ยคะ ต่างกันแค่เว้นวรรคกับไม่เว้นวรรค ถึงความหมายมันจะเหมือนกันแต่จริงๆแล้วมันใช้แทนกันไม่ได้นะคะ

Maybe เป็นคำๆเดียว เราใช้คำว่า  maybeในความหมายว่า  อาจจะ  หรือ  บางที ซึ่งเป็น adverb เรามักเห็น maybe ขึ้นต้นประโยค ลองมาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ

  • Maybe it will rain soon. I have to hurry.
    บางทีฝนอาจจะตกเร็วๆนี้  ฉันต้องรีบแล้วแหละ
  • Maybe the flight is delayed. The weather is terrible.
  • บางทีเที่ยวบินอาจจะล่าช้า  สภาพอากาศมันแย่มาก

หรือบางทีอาจจะเจอ maybe อยู่ท้ายประโยคก็ได้ เช่น

  • A: There’s something wrong with my mobile phone. I can’t turn it on.
    โทรศัพท์มือถือฉันต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ  เปิดไม่ได้เลย
  • B: It could be a virus, maybe.
    บางทีอาจจะเป็นไวรัสก็ได้นะ

มาดูทางฝั่งของ may beกันบ้าง   จะเห็นว่า  may be มีการแยกคำกัน  ซึ่งมันก็แยกออกเป็นสองส่วน  may เป็น modal verb ที่แปลว่า  “อาจจะ”  แล้ว be ล่ะ มายังไง   ในกรณีนี้ไม่ใช่ทุกครั้งที่มี may แล้วต้องมี be ตามเสมอ เพราะปกติ  may จะตามด้วยคำกริยารูปธรรมดาไม่ผันหรือที่เราเรียกว่า กริยา infinitive นั่นเอง  เช่น Continue reading

ตอนที่ 39 : ความแตกต่างระหว่าง say, tell, speak, talk

ความแตกต่างระหว่าง say, tell, speak, talk

ความแตกต่างระหว่าง say, tell, speak, talk

สงสัยกันใช่มั้ยคะว่า  คำว่า say  tell  speak  talk  เนี่ยมันต่างกันตรงไหน  ความหมายบางทีมันก็เหมือนกันหรือไม่ก็ใกล้เคียงกันเหลือเกิน  บางครั้งดูเหมือนจะเป็นคำพื้นๆที่หยิบมาใช้ได้ง่ายๆใช่มั้ย  แต่เคยสังเกตมั้ยว่าเราอาจจะใช้ผิดไปบ้างหรือเปล่า  เพราะต้องเข้าใจก่อนว่าคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลายๆคำเมื่อแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วมีความหมายเหมือนกัน  แต่บางครั้งก็ใช้ในสถานการณ์หรือบริบทที่ต่างกัน  นี่อาจจะเป็นความยากของภาษาอังกฤษหากเราเข้าใจภาษาอังกฤษแบบผิวเผิน  เอาล่ะค่ะมาดูความแตกต่างระหว่าง 4 คำนี้กันค่ะ

—- say —-

sayแปลว่า  “พูด”  ซึ่งความหมายว่าพูดในที่นี้ต้องการระบุถึงตัวคำพูดด้วย คือ พูดว่าอะไรนั่นเองค่ะ  เช่น

  • She always says “Hi” to me when she sees me.
    เธอมักจะทักทายสวัสดีกับฉันเวลาเจอฉัน

Say + ประโยค  ก็ได้

  • They said that they were sick of being punished.
    พวกเขาพูดว่าพวกเขาเบื่อหน่ายกับการถูกลงโทษ

ดังนั้นการใช้ say จึงเหมือนการเน้นคำพูด  หรือสิ่งที่พูดออกไป

—- speak —-

speakก็แปลว่า พูด  ถามว่า พูดในความหมายเหมือนกับ say มั้ย  ก็อาจจะจุดที่ต่างกันเล็กน้อยคือ  speak จะเป็นการพูดเรื่องทั่วๆไปก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดกันสองคน หรือพูดในสถานการณ์ที่ให้คนหลายๆคนฟังหรือพูดนำเสนออะไรต่างๆ เช่น Continue reading

ตอนที่ 35 : like กับ prefer ต่างกันอย่างไร

like กับ prefer ต่างกันอย่างไร

likeกับ prefer ต่างกันอย่างไร

ถ้าจะบอกว่าชอบอะไรแน่นอนว่าทุกคนต้องนึกถึงคำว่า like ก็เรียนกันมาตั้งนมตั้งนานก็รู้จักแต่คำว่า like นี่แหละที่แปลว่า  “ชอบ”    เช่น  ถ้าจะบอกว่า  “ฉันชอบเดินไปโรงเรียน”  ก็ต้องบอกว่า

  • I like to walk to school.
  • I like walking to school.

likeถ้าหากตามด้วยคำกริยาสามารถ  ใช้เป็น infinitive with to (to + V.1)   หรือใช้  Verb เติม ing ก็ได้ค่ะ  ใช้แบบไหนก็ได้เลือกได้เลยความหมายไม่ต่างกันค่ะ   ถ้าหากสิ่งที่ชอบเป็นคำนามก็วางคำนามนั้นหลัง  like ได้เลยค่ะ  เช่น

  • I like fried rice with a lot of sausages.
    ฉันชอบกินข้าวผัดที่ใส่ไส้กรอกเยอะๆ

แต่ถ้าเราอยากบอกว่า “ชอบเดินไปโรงเรียนมากกว่านั่งรถเมล์”  ลองเดาสิคะว่าจะใช้คำว่าอะไร?? เพราะประโยคนี้จะเห็นว่าเป็นการเลือกชอบอย่างใดอย่างหนึ่งจากสองอย่าง  แน่นอนค่ะ  เราก็ใช้คำว่า  prefer นั่นเอง เพราะ  prefer แปลว่า  “ชอบมากกว่า”    หลักกการใช้คำว่า prefer จะมีโครงสร้างดังนี้ค่ะ

prefer something to something

เช่น Continue reading

ตอนที่ 34 : ความแตกต่างระหว่าง during กับ while

during กับ while

ความแตกต่างระหว่าง during กับ while

duringกับ while มีความหมายใกล้เคียงกัน  คือหมายถึง  ระหว่างที่…  หรือ ในช่วงที่….  ซึ่งอาจจะสร้างความสับสนให้กับบางคนและอาจจะคิดว่ามันสามารถใช้แทนกันได้  แต่จริงๆแล้วมันมีวิธีใช้ที่แตกต่างกันค่ะ  เทคนิคการจำการใช้สองคำนี้ก็ง่ายแสนง่ายค่ะ  มาดูกันเลย

เวลาที่ใช้  during จะต้องตามด้วย คำนาม หรือ กลุ่มคำนาม

During + Noun 

เช่น

  • During the class, I fell asleep.
    ระหว่างที่เรียน  ฉันรู้สึกง่วง
  • The manager has already made up his mind during the meeting.
    ผู้จัดการได้ตัดสินใจแล้วระหว่างการประชุม

** เราจะไม่ใช้During studying in the class, I fell asleep. (X)

แต่ถ้าจะใช้  while จะต้องตามด้วย  คำกริยา ซึ่งกริยาอาจจะอยู่ในประโยคแบบเต็มๆคือมีประธานและกริยา  หรือจะตามด้วยกริยาที่เติม ingก็ได้

While + ประโยค (Subject + verb)

While + Ving

เช่น Continue reading

ตอนที่ 33 : การใช้ also, as well, too ใช้ต่างกันอย่างไร

การใช้ also, as well, too

การใช้  also, as well, too  ใช้ต่างกันอย่างไร

also, as well และ too สามคำนี้มีความหมายเหมือนกันคือ  “อีกด้วย หรือ ด้วยเหมือนกัน” แต่มีวิธีใช้ที่ต่างกันค่ะ

— also —-

โครงสร้างประโยคของ also  เรามักจะวาง also ไว้หน้าคำกริยาแท้ในประโยค  เช่น

  • I hate you but I also love you.
    ฉันเกลียดคุณแต่ฉันก็ยังรักคุณด้วย  (ฉันทั้งรักทั้งเกลียดคุณ)
  • Jeffry speaks English. He also speaks Spanish.
    เจฟฟรี่พูดภาษาอังกฤษ  แล้วเขาก็ยังพูดภาษาสเปนอีกด้วย

แต่ถ้าในประโยคนั้นมี  verb to be ให้วางไว้หลัง verb to be เช่น Continue reading

ตอนที่ 29 : คำคล้าย….ชวนสับสน!!??

คำคล้าย….ชวนสับสน!!??

คำคล้าย….ชวนสับสน!!??

ในภาษาอังกฤษมีคำศัพท์อยู่หลายคำที่อาจจะเขียนเหมือนกันหรือออกเสียงคล้ายๆกัน  ซึ่งก็สร้างความสับสนให้กับคนใช้ภาษาอังกฤษไม่น้อยเลยทีเดียว  ลองมาดูกันสิว่ามีคำว่าอะไรบ้าง

—- advise // advice  —-

adviseเป็นคำกริยา  แปลว่า  ให้คำแนะนำ, แนะนำ

  • She advised me to go to the doctor for a checkup.
    เธอแนะนำให้ฉันไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกาย

adviceเป็นคำนาม  แปลว่า  คำแนะนำ

  • He doesn’t need my advice.
    เขาไม่ต้องการคำแนะนำของฉัน

—- compliment // complement—- Continue reading

ตอนที่ 24 : look watch see ต่างกันอย่างไร

look  watch  see  ต่างกันอย่างไร

look  watch  see  ต่างกันอย่างไร

ภาษาอังกฤษมีหลายคำที่มีความหมายคล้ายๆกัน  เล่นเอางง!! ว่าจะเอาไปใช้ยังไง  เช่น  สามคำนี้  คือ look  watch  see  เรามาดูกันค่ะว่า สามคำนี้มีวิธีใช้ที่ต่างกันอย่างไร

—- see —- แปลว่า  เห็น 

เราจะใช้คำว่า see ในความหมายว่าเป็นการมองเห็น  การรับรู้จากประสาทสัมผัสของตา  แบบไม่ได้ตั้งใจดู หมายความว่า  เราไม่ได้ตั้งใจว่าเราจะดูสิ่งนั้นแต่เราเห็นเองจากการรับรู้ทางสายตา และมักเป็นการมองเห็นในช่วงระยะเวลาที่สั้นๆ เช่น

  • I saw your brother at the party last night.
    ฉันเห็นพี่ชายเธอด้วยที่งานปาร์ตี้เมื่อคืน

** เราจะไม่ใช้ see ในรูปของ present continuous tense ในความหมายว่า กำลังเห็น  แต่เราจะใช้คำว่าcan เข้ามาช่วย  เช่น

  • I can see the players very clearly from here.
    ฉันเห็นผู้เล่นได้ชัดมากเลยจากตรงนี้

—- look —- แปลว่า มอง

คำว่า look จะใช้เมื่อเราตั้งใจดูอะไรสักอย่างหนึ่ง  หรือเพ่งพินิจดูเพื่อพิจารณา  ถ้าไม่มีกรรมเราใช้ look เฉยๆ แต่ถ้ามีกรรมเรามักจะใช้ look at  เช่น Continue reading

good กับ well ต่างกันอย่างไร

good กับ well ต่างกันอย่างไร

good กับ well ต่างกันอย่างไร

goodกับ well สองคำนี้ก็แปลว่า  ดี  ทั้งคู่  หลายคนก็เลยถามว่า  แล้วใช้แทนกันได้มั้ย มาดูค่ะว่า good กับ  well ใช้อย่างไร

>>goodเป็น  adjective  เพราะฉะนั้นมันจึงทำหน้าที่ขยายคำนาม  วิธีใช้ก็คือจะวางไว้หลัง verb to be หรือ linking verb  เช่น

  • The show was so good.
    การแสดงดีมากเลย
  • It sounds good.
    ฟังดูดีนะ

หรือวางไว้หน้าคำนามก็ได้เพื่อขยายนามนั้น  เช่น

  • That is a good choice.
    นั่นเป็นตัวเลือกที่ดี
  • You are my good friend.
    เธอเป็นเพื่อนที่ดีของฉันนะ

>>well เป็น adverb  ซึ่งหน้าที่ของมันจะทำหน้าที่ขยายกริยา  เพื่อบอกว่าใครทำกริยานั้นๆอย่างไร  เช่น

  • Last night, you sang well.
    เมื่อคืนคุณร้องเพลงได้เพราะมาก
  • This building has been well designed to conserve energy.
    ตึกนี้ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อประหยัดพลังงาน

และเรามักใช้ well ไปรวมกับคำกริยาแล้วทำให้กลายเป็น adjective ได้ เช่น Continue reading