เสียง T เจ้าปัญหาในภาษาอังกฤษ

เสียง T เจ้าปัญหาในภาษาอังกฤษ

เสียง T เจ้าปัญหาในภาษาอังกฤษ

ทำไมถึงบอกว่าเป็นตัว T เจ้าปัญหา  เพราะตัว T เนี่ย ฟังบางทีก็ไม่ออก T แต่กลายเป็น D ซะงั้น  บางทีมีเสียง T แต่ก็ไม่ออกเสียงเพราะอะไร?

ในบางครั้งการออกเสียงแบบ American English ถ้าหากว่าเสียง T มันไปอยู่ระหว่างสระ มันก็จะออกเสียงเป็นเสียง soft D  เช่น  ที่มักได้ยินบ่อยคือคำว่า

  • water  ก็จะออกเสียงเป็น  wader
  • city ก็จะออกเสียงเป็น  cidy

หรือถ้าหากมันเป็นในรูปประโยค  เช่น

  • See you later.  เราอาจจะได้ยินคนอเมริกันออกเสียงว่า ซี ยู เล๊เด่อร์

หรือประโยค

  • What a beautiful lady!  ก็อาจจะออกเสียงเป็น ว้อท อะ บิ๊วดี้ฟูล เล๊ดี้

ในกรณีที่สอง  ถ้าหากว่าคุณไปเจอเสียง T ที่ตามหลัง ตัว N แล้วล่ะก็ คนอเมริกันเขาก็จะทิ้งเสียง T ไปเลย  เวลาฟังมันเลยอาจจะไม่คุ้นหูคำๆนั้นซักเท่าไหร่  ก็แหมเล่นตัดเสียง t ทิ้งไปเลยทั้งๆที่ตอนเรียนมาก็ออกเสียง T ชัดกันอย่างกับอะไรดี  จะให้ไม่งงได้ไงจริงมั้ย?  เช่น

  • Twenty   คำนี้เรียนมายังไง๊ยังไงมันก็ต้องออกเสียงว่า ทเว็นที่ แต่พอได้ฟังจริงๆพี่อเมริกันเขาออกว่า ทเว็นนี่

หรือคำว่า  counter  บางครั้งเขาก็ออกเสียงกันว่า เค๊าเน่อ แทนที่จะเป็น เค๊าเท่อ

Printer  บางครั้งก็ดันไปออกเสียงว่า พริ้นเน่อ  แทนที่จะเป็น พริ้นเท่อ

แต่ไม่ต้องตีโพยตีพายไปค่า  เพราะเขาไม่ได้พูดแบบนี้กันทุกคนหรอก  มันเป็นสไตล์ของแต่ละคน  บางคนที่ชอบออกเสียงรัวๆเร็วๆด้วยความอยากให้ประโยคมันต่อเนื่องหรือด้วยความขี้เกียจอะไรก็ตามแต่  ที่จะต้องตัดเสียง T ทิ้งไป  มันก็ไม่ได้เป็นกันทุกคนค่า  ในกรณีนี้คือเผื่อไว้ว่าไปเจอกรณีของคนที่เค้าตัดเสียง T ทิ้งจะได้ไม่สับสนเนอะ

ในกรณีที่สาม  ถ้าหากว่าคำๆนั้นมีเสียง T มาก่อน เสียง N  จะได้ยินคนอเมริกันเค้าออกคล้ายๆกับ เอิ่น   มันเหมือนกับกร่อนเสียงไปเหลือแค่ เอิ่น  เช่น

คำว่า written  ปกติต้องอ่านว่า  ริทเทิ่น  ใช่มั้ยคะ   เรียนมาตั้งแต่ประถมจนจบมัธยมก็เคยได้ยินแต่  ริทเทิ่น   อยู่มาวันหนึ่งได้ยินฝรั่งเค้าพูดว่า  ริทเอิ่น  ก็งงไปสิจ๊ะ มันคือคำว่าอะไรหนอ  แต่ฟังจากบริบทยังไง๊ยังไงมันก็น่าจะเป็นคำว่า ริทเทิ่น  นี่แหละ    ที่เป็นแบบนี้คือเราจะไม่ได้ยินเสียง T เพราะถูกหยุดไว้นั่นเอง  ตัวอย่างคำอื่นๆเช่น

  • Button ออกเสียงเป็น   บั๊ทเอิ่น
  • Forgotten  ออกเสียงเป็น  ฟอร์ก๊อทเอิ่น
  • Mountain  ออกเสียงเป็น  เม๊าเอิ่น

แหม! แค่เสียง T ตัวเดียวถึงกับทำให้การฟังภาษาอังกฤษของเรายากขึ้นไปอีกขั้นเลยนะคะ  แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะพูดแบบนี้เหมือนกันหมดนะ  มันอยู่ที่สไตล์การพูด  บางคนยังคงออกเสียงเหมือนกับที่เราเคยเรียนมาในห้องเรียนนั่นแหละค่ะ  แต่ให้รู้ไว้เผื่อว่าไปเจอจะได้ถึงบางอ้อว่าทำไมเขาออกเสียงแบบนี้กันนะคะ ^^

การเปลี่ยนเสียงในภาษาอังกฤษ (ตอนที 2)

การเปลี่ยนเสียง ในภาษาอังกฤษ (ตอนที 2)

การเปลี่ยนเสียงในภาษาอังกฤษ (ตอนที 2)

การเปลี่ยนเสียง ที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนที่ 1 คือการเชื่อมเสียง  ในตอนนี้จะพูดถึงการเปลี่ยนเสียงในอีก 3 ลักษณะ คือ

  1. ลักษณะของเสียงที่หายไป

ปกติฝรั่งจะออกเสียงพยัญชนะตัวท้ายหรือ final sound ชัด เช่นเสียง t หรือ s  แต่ในบางครั้งการพูดภาษาอังกฤษอาจจะต้องทำให้เสียงท้ายเหล่านี้หายไปเพื่อให้เกิดความกระชับและลื่นไหลเพราะถ้าออกเสียงท้ายให้ชัดเจนจะทำให้การพูดเกิดความไม่ต่อเนื่อง  เช่น

  • He’s coming nex(t) week.

ในประโยคนี้คำว่า next ปกติถ้าออกเสียงเดี่ยวๆจะต้องออกเสียง t ท้ายคำ แต่เนื่องจากมันอยู่กลางประโยค  เสียง t ตรงนี้เลยต้องหายไป

  • That is the wors(t) place I’ve ever been to.

เช่นเดียวกัน เสียง t ในคำว่า worst จะหายไป

  1. เสียงรวมกัน

กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อ เสียงท้ายของคำข้างหน้าเป็นเสียงเดียวกับเสียงพยัญชนะตัวแรกของคำที่ตามหลังมา  เราจะออกเสียงพยัญชนะนั้นแค่ครั้งเดียว เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของคำพูดและไม่สะดุด  เช่น

  • He’s a bit tired. เขาเหนื่อยเล็กน้อย

เสียง t ในคำว่า bit จะไปรวมกับเสียง t ในคำว่า tired  ดังนั้นจะออกเสียง t แค่ครั้งเดียว

  • He’s swimming in the pool.   เขากำลังว่ายน้ำในสระ

ในประโยคนี้เสียง s เราจะออกเสียงแค่ครั้งเดียว

  1. เสียงเปลี่ยน

ในกรณีนี้คือ เมื่อเสียงท้ายที่เป็นพยัญชนะของคำแรกไปเจอกับเสียงพยัญชนะในคำที่สอง  ทำให้เสียงท้ายของคำแรกมีการเปลี่ยนเสียงไป อาจจะกลายเป็นเสียงเดียวกับพยัญชนะตัวแรกของคำที่สอง  เช่น

  • He’s not a good girl. (goog girl)

ในประโยคนี้คำว่า good girl  เสียง d หายไปเปลี่ยนเป็นเสียง g แทน

  • I like speed boat.  (speeb boat)

เสียง d ในคำว่า speed จะเปลี่ยนเป็นเสียง b ในคำว่า boat แทน

ซึ่งในกรณีนี้มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคำในภาษาอังกฤษ  และหลายคนก็อาจจะออกเสียงชัดตามคำเดิมของมันไม่ได้มีการเปลี่ยนเสียงใดๆ เพียงแต่มันเป็นลักษณะของเสียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในการออกเสียง  ที่เราต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้เพื่อให้การฟังภาษาอังกฤษของเรานั้นง่ายขึ้น

และเข้าใจที่มาที่ไปของการออกเสียงที่ไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่เราได้เรียนมาในห้องเรียน  เพราะภาษาเป็นสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดและบางครั้งก็เปลี่ยนไปตามคนที่ใช้งาน  ดังนั้นเราจึงมีภาษาอังกฤษในหลายๆสำเนียง  วิธีการที่จะพัฒนาทักษะในการฟังของเรา คือการฝึกฟังบ่อยๆ แล้วสังเกตลักษณะการพูดของเค้า และจับความเร็ว และจังหวะในการพูดของเจ้าของภาษาให้ได้  แล้วเลียนแบบเค้าอย่างเข้าใจเพื่อให้เราใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนเสียงในภาษาอังกฤษ (ตอนที 1)

เรียนภาษาอังกฤษกับครู

การเปลี่ยนเสียงหรือเชื่อมเสียงในภาษาอังกฤษ

เรื่องที่ยากสำหรับคนไทยเรื่องหนึ่งคือ แม้จะรู้คำศัพท์ สำนวนมากแล้ว แต่ทำไมยังฟังฝรั่งพูดไม่รู้เรื่องอีก เหตุผลก็คือการออกเสียงของฝรั่งจะมีการเชื่อมเสียงเวลาพูด ซึ่งทำให้เวลาพูดเลยฟังดูรัวๆเร็วๆ และพูดคำติดกันจนบางครั้งฟังแทบไม่ออกว่าเป็นคำว่าอะไร ทั้งๆที่จริงๆแล้วเวลาแกะคำออกมามันก็คิอคำศัพท์ที่เรารู้จักแล้วทั้งนั้น นอกจากจะมีการเชื่อมเสียง ยังมีการเปลี่ยนเสียงในลักษณะอื่นๆอีก มาดูกันค่ะว่าการเปลี่ยนเสียงในภาษาอังกฤษมีกี่แบบ

การเปลี่ยนเสียงในภาษาอังกฤษ มีทั้งหมด 4 แบบ

1.การเชื่อมเสียงในภาษาอังกฤษ

ลักษณะการเชื่อมเสียงในภาษาอังกฤษ มี 2 แบบ คือ

การเชื่อมเสียงพยัญชนะกับสระ

การเชื่อมเสียงพยัญชนะกับเสียงสระ คือ พยัญชนะที่เป็นตัวสะกดของคำแรก มาเชื่อมเสียงกับอักษรตัวแรกที่เป็นสระของคำที่สอง  ตัวอย่างเช่น

turn in      อักษร n ที่เป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของคำแรก ไปเชื่อมเสียงกับสระ i  ที่เป็นอักษรตัวแรกของคำที่สอง   เราก็เลยจะได้ยินฝรั่งออกเสียงคำนี้ว่า เทิน นิน  แทนที่จะได้ยินคำว่า เทิน อิน อย่างที่เคยเรียนกันมา

four in the morning   อักษร r มาเชื่อมกับเสียงสระ i  เวลาออกเสียงจึงกลายเป็น โฟ ริน เดอะ ม๊อร์นิ่ง

การเชื่อมเสียงสระกับสระ

การเชื่อมเสียงแบบที่สองคือ เชื่อมเสียงสระกับสระ  สระตัวสุดท้ายของคำแรกเชื่อมกับสระตัวแรกของคำที่สอง  เสียงสระเมื่อเชื่อมกันแล้ว จะกลายเป็นเสียงได้ 2 เสียงคือ เสียง /w/ และเสียง /y/  แทน  สระที่ต้องมีการห่อปาก เวลาเชื่อมกันแล้วจะออกเป็นเสียง /w/ ส่วนสระที่เวลาออกเสียงมีการเหยียดปากออกด้านข้าง เวลาเชื่อมเสียงจะออกเป็นเสียง /y/  ตัวอย่างเช่น Continue reading

บอกลาเป็นภาษาอังกฤษยังไงให้เหมือนเจ้าของภาษา

Good bye

บอกลาเป็นภาษาอังกฤษยังไงให้เหมือนเจ้าของภาษา

คำบอกลาในภาษาอังกฤษที่เราใช้กันบ่อยสุดก็คงหนีไม่พ้น Bye หรือ Good bye ใช่มั้ย  นึกอะไรไม่ออกก็ bye ไว้ก่อน  แต่จริงๆแล้วมีอีกหลายคำเลยที่เราใช้พูดตอนบอกลาได้

คำที่น่าจะใช้บ่อยรองลงมาจาก Good bye ก็คือ see you. หรือ See you later. ก็แปลประมาณว่า ไว้เจอกันใหม่  บางคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า See you then. ซึ่งก็มักจะใช้ในกรณีที่มีการนัดหมายเอาไว้  แล้วจะเจอกันเร็วๆนี้  หรือ  See you around.   See you soon. ก็ได้เช่นกัน   อีกคำหนึ่งที่บางคนอาจเข้าใจผิดได้คือคำว่า So long. คำนี้ไม่ได้แปลว่า ยาว หรือยาวมาก หรือความหมายที่เกี่ยวกับยาวนะคะ  ในที่นี้ใช้ในการบอกลาได้เช่นกัน แปลว่า แล้วพบกันใหม่    หรือพูดลาแบบไม่เป็นทางการว่า All right then.  แปลประมาณว่า  ลาละนะ  ไปแล้วนะ  ประมาณนี้ค่ะ   คำนี้ก็น่าเอาไปใช้ค่ะ  I’m off. แปลว่า ฉันไปแล้วนะ  ในบางครั้งเราอาจจะบอกว่า “ต้องไปแล้วนะ”  ซึ่งก็ถือเป็นการบอกลาไปเลย  เช่นพูดว่า  I’ve got to go now.  ตอนนี้ฉันต้องไปแล้ว หรือพูดว่า  I’ve got to get going.  หรือ I must go now.  I must be going.

ที่กล่าวมานี้เป็นการบอกลาแบบที่ใช้กันทั่วไปกับครอบครัว เพื่อน  คนรู้จักจะสนิทหรือไม่สนิทก็แล้วแต่ก็ใช้ได้ค่ะ

แต่ในกรณีที่เราต้องใช้การบอกลาในเชิงธุรกิจ คือแบบเป็นทางการและต้องการความสุภาพก็อาจจะต้องใช้คำลาที่ต่างออกไป  ซึ่งโดยปกติคำว่า Good bye ก็ยังนำมาใช้ได้อยู่  แต่ประโยคอื่นๆที่ใช้ได้นอกจาก Good bye ก็มีค่ะ  เช่น Continue reading

คำว่า place ในภาษาอังกฤษ หมายความว่าอะไรได้บ้าง (1)

place ในภาษาอังกฤษ

คำว่า place ในภาษาอังกฤษ หมายความว่าอะไรได้บ้าง (1)

คำในภาษาอังกฤษหลายๆคำ มีหลายความหมายและเป็นชนิดของคำได้หลายประเภท เช่นคำที่นำเสนอในวันนี้คือคำว่า place  ซึ่งคำว่า place ในรูปแบบของคำนาม (noun) จะเป็นที่คุ้นเคยมากกว่า แปลว่า  สถานที่  ตำแหน่ง  บริเวณ   ตัวอย่างประโยค เช่น

  • There is no place like home.
    ไม่มีสถานที่ไหนเหมือนบ้านของเรา
  • It is the place where I was born.
    มันเป็นสถานที่ที่ฉันเกิด

Place ก็อาจจะมีความหมายกลายๆว่า บ้านของคุณก็ได้  เช่น

  • Is it ok if I would like to come to visit your place soon?
    จะโอเคมั้ยถ้าฉันจะขอไปบ้านเธอเร็วๆนี้

บางครั้งเราก็จะใช้ place ร่วมกับคำบอกลำดับที่  เช่นในสำนวน  in the first place (ตั้งแต่แรก,ประการแรก), in the second place (ประการที่สอง)   เช่น

  • I should have told you in the first place.
    ฉันน่าจะบอกคุณตั้งแต่แรก
  • In the first place, I’m so busy and in the second place I don’t really want to go.
    ประการแรกเลย ฉันยุ่งมาก และประการที่สองฉันไม่ได้อยากไปจริงๆหรอก

Place ยังนำมาใช้ในการบอกลำดับที่อีกด้วย  เช่น first place, second place, third place, etc.  เช่น Continue reading

คำว่า place ในภาษาอังกฤษ หมายความว่าอะไรได้บ้าง (2)

place ในภาษาอังกฤษ

คำว่า place ในภาษาอังกฤษ หมายความว่าอะไรได้บ้าง (2)

          ในตอนนี้เราจะมาพูดถึงสำนวนที่ใช้คำว่า place กันค่ะ  ซึ่งมีอยู่หลายสำนวนที่น่าสนใจทีเดียว  เริ่มจากสำนวนแรก  out of place   หมายถึง  ไม่เข้าที่เข้าทาง  ไม่เข้ากับ  แปลกๆ  เช่น

I don’t know the theme of the party, so my dress looked out of place in the party.  (ฉันไม่รู้ธีมงานปาร์ตี้มาก่อน ชุดเดรสฉันเลยดูไม่เข้ากับงานเท่าไหร่)

อีกสำนวนหนึ่งที่น่าสนใจคือ  in someone’s place   หมายถึง  การที่เราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับใครคนหนึ่ง เช่น

  • I don’t know what I will do if I’m in his place.
    ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะทำอย่างไรถ้าเป็นเขา
  • Don’t judge me if you aren’t in my place.
    อย่าตัดสินฉันถ้าเธอไม่ได้ลองมาเป็นฉัน

สำนวน in place  แปลว่า  เข้าที่  หรืออยู่ในที่   เช่น     Continue reading

มารู้จัก filler words ในภาษาอังกฤษที่ฮิตติดปากฝรั่งกันสักหน่อย (2)

filler words ในภาษาอังกฤษ

มารู้จัก filler words ในภาษาอังกฤษที่ฮิตติดปากฝรั่งกันสักหน่อย (2)

มาดูคำ filler words กันต่อค่ะ จะได้เข้าใจเวลาชาวต่างชาติพูดมากขึ้นนะคะ

ต่อมาเป็นคำในตำนานเลยค่ะคำว่า you know กับ you see  เป็นคำซื้อเวลาที่ได้ยินบ่อยมากใช่มั้ยคะ  คำว่า you know พูดได้ทั้งเป็นประโยคบอกเล่าหรืออยู่ในรูปประโยคคำถามก็ได้  คือ you know? ความหมายก็ประมาณว่า “นึกออกป้ะ  เก็ตป้ะ”  หรือแปลว่า “ก็แบบว่า…”  เช่น

When the elevator went down, I got that weird feeling in my ears, you know?

(ตอนที่ลิฟท์ร่วงลงมานะ รู้สึกแปลกๆในหูเลยอ่ะ นึกออกป้ะ)

We went to Mark’s party, you know, it was fabulous! (พวกเราไปงานปาร์ตี้ของมาร์คมา คือแบบว่ามันสุดยอดมากเลย)

ส่วนคำว่า you see ใช้เวลาที่เราหวังให้ใครเข้าใจในสิ่งที่คุณพูด หรือสิ่งที่เราพูดต่อไปนี้อีกฝ่ายไม่รู้  เช่น  You see, it’s better if you do your homework before dinner. (เห็นป้ะว่ามันจะดีกว่าถ้าทำการบ้านก่อนกินข้าวน่ะ)

อีกคำหนึ่งคือคำว่า you know what I mean?  เป็นประโยคเชิงคำถาม  เอาไว้ถามเพื่อเช็คว่าอีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เราพูดมั้ย  เช่น Continue reading

มารู้จัก filler words ในภาษาอังกฤษที่ฮิตติดปากฝรั่งกันสักหน่อย (1)

filler words ในภาษาอังกฤษ

มารู้จัก filler words ในภาษาอังกฤษที่ฮิตติดปากฝรั่งกันสักหน่อย (1)

คำถามแรกเลยที่ทุกคนอยากรู้คือ filler words คืออะไร  filler word ก็คือคำที่แทบจะไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นการเป็นงาน แต่เอาไว้พูดเวลาที่เรานึกคำไม่ออกหรือไม่อยากให้บทสนทนาเราเงียบไปเฉยๆ หรือเอาไว้เชื่อมต่อบทสนทนา  ซึ่งชื่อทางการของมันคือ discourse marker  เรามาดูกันค่ะว่า filler words ที่เจ้าของภาษาเค้าชอบพูดกันจนเกร่อ พูดกันจนฮิตติดปากมีอะไรบ้าง

คำนี้ทุกคนน่าจะรู้จัก  คำว่า Really?  ให้ความหมายในเชิง  จริงเหรอ?  งั้นเหรอ?  เหมือนเป็นคำที่แสดงความประหลาดใจกับสิ่งที่คนอื่นพูดมา  เช่นสมมติว่าเพื่อนบอกว่าสอบไม่ผ่านวิชาฟิสิกส์  เราก็บอกออกไปว่า Really? เหมือนกับประหลาดใจหรือไม่เชื่อว่าเพื่อนจะสอบตกจริงๆ   คำต่อมาคือ Right กับ Sure สองคำนี้เหมือนเป็นการยืนยันว่า ใช่  ใช่แน่นอน อะไรแบบนี้ เช่นบอกว่า Right, you need to take it to the shop and get it looked at. (ใช่ แกต้องเอาไปให้ที่ร้านดูว่าเป็นไง)  อีกคำที่น่าจะได้ยินบ่อยคือ exactly / certainly / definitely  เป็นการยืนยันหรือบอกว่าแน่นอน  เหมือนเป็นคำตอบรับว่าใช่ แทนที่เราจะใช้แต่คำว่า ok หรือ yes ก็ลองใช้พวกนี้ดูก็ได้ค่ะ เช่น เราถามเพื่อนว่าหนังเรื่องจูราสสิคเวิร์ลเนี่ยมันสนุกมากมั้ย

Is the Jurassic World Movie awesome?  แทนที่เราจะตอบว่า yes เราก็ต้องการที่จะให้น้ำหนักมันมากขึ้นไปอีกว่าเยี่ยมสุดๆ ก็อาจจะใช้คำว่า Continue reading

เชื้อเชิญเป็นภาษาอังกฤษอย่างไรให้ดูมืออาชีพ

Welcome

เชื้อเชิญเป็นภาษาอังกฤษอย่างไรให้ดูมืออาชีพ

ถ้าหากว่าเรามีเพื่อนชาวต่างชาติ วันหนึ่งเราอาจจะอยากชวนเขาไปนู่นไปนี่  แล้วทีนี้จะพูดอย่างไรดีล่ะ ประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในการเชิญชวนก็จะมีรูปแบบหลากหลายแล้วแต่ผู้พูดจะนำไปใช้หรือแล้วแต่สถานการณ์และระดับความสุภาพที่ต้องการ

แบบแรกเรามาดูประโยคบอกเล่าที่สามารถพูดเชิญชวนได้  เริ่มกันที่ประโยคง่ายๆและแปลได้ตรงตัวเลยคือ

I want to invite you to…… หรือ I would like to invite you to…….. ซึ่งทั้งสองประโยคนี้ก็ใช้ได้ ไม่มีความแตกต่างกันมากเพียงแต่การใช้ would like จะฟังดูสุภาพกว่า want แค่นั้นเองค่ะ  ตัวอย่างประโยค เช่น

  • I would like to invite you to my wedding party this Saturday.

เป็นไงคะ ง่ายๆ  เข้าใจได้ทันที  บางครั้งเราอาจจะได้ยินประโยคนี้นะคะ

I want to have you….. หรือ I would like to have you…..ใช้คำว่า have ในประโยค ตัวอย่างประโยคเช่น

  • I want to have you attend our seminar in July.

ถ้าอยากให้สุภาพมากๆเราอาจจะใส่ความรู้สึกลงไปว่าดีใจถ้าคุณมาได้  เช่น

  • We would be pleased if you could come to my birthday party tonight.

ประโยคนี้ถ้าคนฟังว่างยังไงก็ต้องมาจริงมั้ย ^^

นอกจากประโยคบอกเล่าแล้ว การเชื้อเชิญยังสามารถทำเป็นรูปแบบคำถามได้ด้วยซึ่งมักใช้กันอยู่บ่อยๆเพื่อให้เกิดความสุภาพมากยิ่งขึ้น  เช่น  Can you….? หรือ Could you….?

  • Will you…? หรือ  Would you….?  การใช้คำถามแบบนี้เป็นคำถามพื้นๆง่ายๆในการเชื้อเชิญ จำเอาไปใช้ได้  ลองดูตัวอย่างประโยคนะคะ
  • Would you come over tonight?   หรือ Could you come to conversation class this afternoon?

ประโยคคำถามที่ใช้บ่อยอีกประโยคหนึ่งคือคำว่า Would you like to…? (คุณอยากจะ….มั้ย?)  เช่น  Continue reading

Adjective ที่วางหน้าคำนามไม่ได้

Adjective

Adjective ที่วางหน้าคำนามไม่ได้

Adjective หรือคำคุณศัพท์ คือคำที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม  ปกติก็จะวางไว้หลัง verb to be หรือ linking verb หรือวางไว้หลังคำนาม  แต่กฎทุกกฎก็ย่อมมีข้อยกเว้น (อีกแล้ว)  เพราะคำคุณศัพท์บางคำไม่สามารถวางไว้หน้าคำนามได้ แต่จะตามหลัง verb to be หรือ linking verb แทนค่ะ คำในกลุ่มนี้มีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

คำคุณศัพท์ที่มักขึ้นต้นด้วยตัวอักษร a  เช่น

  • ablaze (ไหม้)
  • aflame (ที่ลุกไหม้)
  • afloat  (ลอย)
  • afraid  (กลัว)
  • alight  (ที่กำลังลุกโชน เต็มไปด้วยพลัง)
  • alike (เหมือน)
  • alive (มีชีวิต)
  • alone (โดยลำพัง)
  • aloof (ที่อยู่ไกล)
  • ashamed (น่าอับอาย ละอายใจ)
  • askew (เฉ เอียงไปข้าง)
  • asleep (นอนหลับ)
  • awake (ตื่น)
  • aware (ตระหนักรู้)

ตัวอย่างประโยค Continue reading