หลักการใช้ verb to be
Verb to be ประกอบไปด้วยทั้งหมด 5 ตัวด้วยกันคือ is, am, are, was, were โดยรูป base form ของ verb to be คือ be เมื่อใช้อย่างกริยาหลักจะแปลว่า “เป็น, อยู่, คือ”
เช่น
- I’m a teacher. ฉันเป็นครู
- He is the only one that I care. เขาเป็นคนเดียวที่คนแคร์
แต่เมื่อเป็นกริยาช่วยมันจะเอาไปใช้ในกรณีดังต่อไปนี้
1.1 วางไว้หน้าคำคุณศัพท์ เช่น
- These girls are afraid of the angry dogs.
- She is worried about her exam result.
1.2 ใช้เป็นกริยาช่วยในประโยค continuous tense เพื่อบอกว่า “กำลังทำ” ซึ่งมีทั้งประโยคที่เป็น present continuous ที่เป็นปัจจุบันและ past continuous ที่เป็นอดีต เช่น
Present continuous tense
- I’m looking for my key in the room.
- She’s jogging in the park.
** เวลาทำเป็นปฏิเสธหรือคำถามให้ใส่ not เข้าไปหลัง verb to be ได้เลย และเมื่อทำเป็นประโยคคำถามให้เอา verb to be มาไว้ข้างหน้า เช่น
- They are not playing tennis.
- Are you listening to me?
- Is she talking on the phone?
Past continuous tense
- She was wandering around the stores.
- I wasn’t sleeping when he came.
- Were they having dinner when someone knocked the door?
1.3 ใช้ในโครงสร้างประโยค passive voice (ประโยคที่ประธานถูกกระทำ) เพราะโครงสร้างประโยคแบบ passive voice คือ
Verb to be + V3
เช่น
- Hundreds of people were killed by the flood.
- The car was fixed yesterday.
** เวลาทำเป็นปฏิเสธก็ใส่ not หลัง verb to be ได้เลยเช่นกัน เช่น
- The bridge wasn’t built in 1987.
1.4 วางไว้หน้า infinitive with to แปลว่า “จะ, จะต้อง” เพื่อบอกแผนการ คำสั่ง คำขอร้อง การเตรียมการ เช่น
- She is to leave now.
เธอจะต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้ - We are to be paid at the end of this month.
พวกเราอาจจะได้รับค่าจ้างปลายเดือนนี้
1.5 วางไว้หน้าสำนวน about to จะแปลว่า “กำลังจะ” เช่น
- She is about to leave.
เธอกำลังจะออกไปแล้ว - I am about to fall down.
ฉันกำลังจะล้ม
อ่านเพิ่มเติม verb to be ใช้ตอนไหน??