หลักการใช้ one (ตอนที่ 1)
ความหมายของ one ในที่นี้จะไม่ได้หมายถึงจำนวนนับที่แปลว่า “หนึ่ง” แต่เราจะพูดถึง one ที่เป็นคำสรรพนามแทนคำนามที่กล่าวถึงมาแล้ว ถ้าเป็นนามนับได้เอกพจน์ก็จะใช้ one แทน แต่ถ้าเป็นนามนับได้พหูพจน์ก็ใช้ onesแปลว่า “คนคนนั้น หรือ ของชิ้นนั้น” เช่น
- I’m making a pancake. Would you like one?
ฉันกำลังทำแพนเค้ก เธออยากจะได้แพนเค้กสักชิ้นมั้ย
( one ในประโยคหลังแทนคำนาม pancake ในประโยคแรก) - My bag is the biggest one on the table.
กระเป๋าของฉันคือใบที่ใหญ่ที่สุดที่วางอยู่บนโต๊ะ
(the biggest one = the biggest bag)
แต่ถ้าเป็นคำนามพหูพจน์ ก็จะเติม s หลัง one เป็น ones เช่น
- Do you want white shoes or pink ones?
คุณอยากได้รองเท้าสีขาวหรือสีชมพู ( ones แทน shoes )
** oneกับ ones สองคำนี้แทนคำนามทั่วไปค่ะ แต่ถ้าเป็นนามชี้เฉพาะเราใส่ the เข้าไปข้างหน้า one กับ ones ได้เลยค่ะ เป็น the one (แทนนามชี้เฉพาะที่เป็นพหูพจน์) และ the ones (แทนนามชี้เฉพาะที่เป็นเอกพจน์)
ตัวอย่างประโยคค่ะ
A: Can you get me the book, please? ช่วยหยิบหนังสือเล่มนั้นให้หน่อยได้มั้ย
B: Which one? เล่มไหนล่ะ
A: The one on that shelf. เล่มที่อยู่บนชั้นนั้นน่ะ
A: Can you get me two pens, please? ช่วยหยิบปากกาให้หน่อยได้มั้ย
B: Which ones? อันไหนล่ะ
A: The ones in my pencil case. สองอันที่อยู่ในกระเป๋าดินสอฉันน่ะ
** หลักการใช้ one และ ones
1. one และ ones ใช้กับคำนามนับได้เท่านั้น จะไม่ใช้ one และ ones แทนคำนามที่นับไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องกล่าวซ้ำก็ให้พูดคำนามนั้นซ้ำได้เลย เช่น
- If you haven’t got whole wheat bread, you can use white bread. (ถูก)
- If you haven’t got whole wheat bread, you can use white one. (ผิด)
2. one และ ones ถ้าใช้กับ adjective หรือคำคุณศัพท์ ถ้าหากว่าไม่คำนำหน้า เช่น that, this ต้องใส่ article a, an, the
article (a, an, the) + adjective + one (s)
- I’d like one on the table.
ฉันอยากได้อันที่อยู่บนโต๊ะ - I’d like the big one on the table.
ฉันอยากได้อันใหญ่ๆอันนั้นที่อยู่บนโต๊ะ