Category Archives: เรียนภาษาอังกฤษกับ English 360 องศา

queue up, please

queue up, please

queue up, please เข้าแถว ต่อคิว

เวลาต่อคิว หรือเข้าคิว ทำอะไรสักอย่าง เราใช้คำว่า queue up ค่ะ แต่ก็ยังมีคำอื่นอีกที่ใช้ได้ เช่น

Line up, please.
ช่วยต่อแถวด้วยค่ะ

Get in line, please.
ต่อแถวด้วยค่ะ

** แต่ถ้าเจอพวกไร้อารยธรรม ชอบแซงคิว ก็บอกเขาไปเลยค่ะว่า
Don’t cut in line!
อย่าแซงคิว!

แต่ถ้าเกิดมีคนต่อแถวอยู่เยอะมากๆ ประหนึ่งว่าเป็นแถวซื้อบัตรคอนเสริ์ตนักร้องเกาหลีแล้วล่ะก็ ก็อาจจะใช้คำถามนี้ได้ค่ะ เพื่อถามว่า หางแถวอยู่ตรงไหน? หรือ แถวอยู่ตรงไหน?

Where is the end of the line?
หรือ
Where is the line?
หรือ
Where is the queue?

** ถ้าเราเป็นคนมีอารยธรรม ก็ต้องต่อคิวให้เป็นนะคะ ^^
เหมือนประโยคที่ว่า

“First come, first serve”
มาก่อน ได้ก่อน
(แต่มีบางคนบอกเอาไว้ว่า ถ้าเป็นเรื่องหัวใจเนี่ย มาก่อนก็อาจจะไม่ได้การันตีว่าจะได้ก่อนเสมอไปจ้า 555)

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

What are you up to? หมายถึงอะไร

What are you up to หมายถึงอะไร

What are you up to?

เคยเจอคำถามนี้กันมั๊ยคะ แล้วรู้มั๊ยมันแปลว่าอะไร
อืม…
up ก็แปลว่า ขึ้น
to ก็แปลว่า ถึง
รวมๆแล้วน่าจะแปลว่า คุณขึ้นไปถึงอะไร??
(เฮ้ยย!! โคตรรไม่เข้าใจเลย _ _”)
หยุดมโน แล้วเลิกแปลตรงตัวซะทีค่ะ 555

จริงๆแล้ว

What are you up to? = What are you doing?

นั่นแหละค่ะ ใช้เป็นภาษาพูดมากกว่า แปลว่า กำลังทำอะไรอยู่

มาดูตัวอย่างสถานการณ์กันค่ะ

** Josh เห็น Amy กำลังดูป้ายประกาศอยู่ เลยเข้าไปทักว่า

Josh : Hey, what are you up to?
เฮ้ ทำไรน่ะ

Amy : I’m looking at this, “The Star” singing contest. I think I’m in.
กำลังดูนี่อยู่น่ะสิ ประกวดร้องเพลง The Star คิดว่าจะเข้าประกวดน่ะ

 

** Jane โทรไปหา Kate

Jane : What are you up to?
ทำไรอยู่น่ะ
Kate : Just watching TV.
ดูทีวีอยู่

# แต่บางทีคุณอาจได้ยินประโยคนี้ค่ะ What have you been up to?
เอาไว้ถามเวลาที่ไม่ได้เจอใครนานๆ แล้วเพิ่งมาเจอกัน เลยอยากอัพเดตว่าที่ผ่านมาเนี่ย หายไปทำอะไรมาบ้าง เช่น

A: What have you been up to?
เป็นไง ทำไรอยู่ตอนนี้
B: Not much. I’m still working in the restaurant.
ก็ไม่มีอะไรมาก ยังทำงานที่ร้านอาหารเหมือนเดิมแหละ

 

*** มาดูบทสนทนาในภาพกันค่ะ

What are you up to?
What are you up to?

A : hey baby girl, what are you up to?
ว่าไงจร๊า ทำไรอยู่
B : NOtH1nG, miSz Y3w, wH@Ty3W dui1ng!
ก้อม่ายได้ทำรายย คิดเถิงงแกอ่ะ แล้วทำรายยยอ่า
A : ABOUT TO THROW A DICTIONARY AT YOUR DAMN FACE. STOP TEXTING LIKE THAT!
ก็กะลังจะเขวี้ยงพจนานุกรม ใส่หน้าแกอยู่เนี่ย!! เลิกพิมพ์อย่างงี้มาซะทีได้ป่ะ
(5555)

** บางที ภาษาวัยรุ่น ก็อ่านยากไปนะ ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน I couldn’t be bothered.

สำนวน I couldn't be bothered.

# สำนวน I couldn’t be bothered.

บ่ายๆวันหยุดแบบนี้ อากาศร้อนๆแบบนี้ ใครๆก็คงอยากนอนตากแอร์เย็นฉ่ำอยู่บ้านใช่มั๊ยคะ แล้วถ้าเกิดเพื่อนตัวดีโทรมาชวนไปแฮงค์เอ้าท์ แล้วเราขี้เกียจไปจะบอกว่าไงดีล่ะ
เชื่อแน่ๆว่าหลายคนคงนึกถึงคำว่า lazy
ใช่ค่ะ ถ้าเราพูดว่า

I’m sorry. I’m too lazy to go out today. ก็คงไม่ผิดค่ะ แต่!!! มีอีกสำนวนหนึ่งที่ฝรั่งชอบใช้กัน แปลว่า ขี้เกียจ เหมือนกัน คือ
I couldn’t be bothered.

คำว่า bother เป็น verb แปลว่า รบกวน ประโยคนี้แปลตรงตัวว่า ฉันไม่สามารถรบกวนตัวเองได้ด้วยการทำเช่นนั้น เช่นนี้
เช่น

Can you go shopping by yourself? I couldn’t be bothered.
ไปซื้อของเองคนเดียวได้ป่ะ ขี้เกียจอ่ะ

I couldn’t be bothered calling him back.
ชั้นขี้เกียจโทรกลับหาเขา

A: Why do you always get up late?
ทำไมชอบตื่นสายอ่ะ
B: I couldn’t be bothered getting up early!
ก็ขี้เกียจตื่นเช้า!
A: O_O
เอิ่มม….

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

ความแตกต่างระหว่าง like กับ alike

like กับ alike เหมือน หรือ ไม่เหมือน

# like กับ alike เหมือน? หรือ ไม่เหมือน? กันนะ!!!

คำว่า like กับ alike มีความหมายเดียวกันคือ แปลว่า “เหมือนกัน, อย่างเดียวกัน”

ปกติเราจะเจอ like ที่เป็น verb แปลว่า ชอบ
แต่ like ในที่แปลว่า เหมือน จะเป็นได้ทั้ง adjective และ preposition ค่ะ

ส่วน alike จะเป็นได้ทั้ง adjective และ adverb ค่ะ
ลองดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ

  • My friends always tell me that my sister is like me, but I don’t think we are alike.

เห็นมั๊ยคะว่า วิธีการใช้สองตัวนี้จะต่างกันนิดหน่อย เราจะใช้

A + is + like + B.
แต่ถ้าเป็น alike เราจะใช้
A and B are alike.

alike เราจะวางไว้ท้ายประโยคเสมอนะคะ ไม่มีนามมาต่อท้ายเหมือน like ค่ะ เช่น

** like ยังใช้เป็น preposition ก็ได้ เช่น

  • He eats like a pig.
  • she’s so kind like an angel.

** alike ก็ใช้เป็น adverb ก็ได้ เช่น

  • How nice you are! You both are dressing alike.

***

  • “If everyone is thinking alike, then somebody isn’t thinking.”
    “ถ้าทุกคนคิดเหมือนๆกัน คนบางคนก็จะไม่คิด”

# George S. Patton

การคิดต่างไม่ผิดค่ะ เพราะคิดต่าง เราถึงได้ “คิด” ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

กริยา addict to

กริยา addict to

กริยา addict to

“I’m seriously addicted to Line Cookie Run.”

หลายคนคงมีอาการแบบนี้ คือ อาการติดเกมคุ้กกี้รัน ไงล่ะคะ

กริยา addict to แปลว่า “ทำให้ติดหรือหมกมุ่นกับบางอย่าง” เวลาใช้จะใช้ในรูป passive voice เสมอค่ะ เพราะถูกสิ่งนั้นๆทำให้ติด
ถ้าติดอย่างอื่นก็ใช้เหมือนกันค่ะ

I’m really addicted to social network.

Many teenagers are addicted to online game.

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน seeing someone

เรื่องรักๆ ในภาษาอังกฤษ

# สำนวน seeing someone

ปกติ see จะแปลว่า เห็น, ไปพบ, เข้าใจ ใช่มั๊ยคะ แต่ในสำนวน seeing someone แปลว่า คบหากับใครสักคน ดูๆกันอยู่ ประมาณนั้นค่ะ
เช่น

I’m seeing James.
ชั้นกำลังคบเจมส์อยู่ (เจมส์จิฯ ป่าวน้า 555)

Between you and me!! He’s seeing someone.
รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ!! เขากำลังคบใครสักคนอยู่

** Are you seeing someone? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

กริยาบางตัวเติม ing เพื่อแปลว่า “กำลังทำ” ไม่ได้

กริยาเติม ing

# รู้หรือไม่?? กริยาบางตัวเติม -ing เพื่อแปลว่า “กำลังทำ” ไม่ได้

เป็นอีกเรื่องที่เรามักจะใช้กันผิดค่ะ กริยาที่เติม -ing เพื่อเป็น continuous ไม่ได้ จะเป็นกริยาในกลุ่มที่แสดงอารมณ์ ความรู้สึก เช่น
love (รัก) like (ชอบ) hate (เกลียด) want (ต้องการ) need (ต้องการ) mind (รังเกียจ)
หรือแสดงภาวะทางจิตใจ เช่น
believe (เชื่อ)
know (รู้)
นอกจากนี้ยังมีกริยากลุ่มที่แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น have (มี) own (เป็นเจ้าของ)

กริยากลุ่มนี้จะใช้ในรูป continuous ไม่ได้ แต่จะใช้ในรูป present simple tense มากกว่าค่ะ

เช่น เวลาที่เรารักใคร เราก็จะพูดว่า I love you. ไม่พูดว่า I’m loving you. ถึงแม้ว่า ณ ขณะนั้นจะมีความรู้สึกรักอยู่ก็ตาม
แต่ที่เห็นผิดกันบ่อยๆคือ I’m missing you. ต้องเขียนเป็น I miss you ธรรมดาแบบนี้ค่ะ ^^

** วิธีจำง่ายๆนะคะ กริยาที่เติม ing ไม่ได้ จะเป็นกริยาที่เมื่อพูดถึงแล้วเรานึกจินตนาการการกระทำนั้นๆไม่ออก เช่น เวลาเรากินข้าว เราก็นึกออกว่า ลักษณะท่าทางการกินข้าวทำอย่างไร เอาช้อนตักข้าวเข้าปาก หรือเอาตะเกียบคีบ แต่กริยากลุ่มความรู้สึก เรานึกลักษณะท่าทางไม่ออก เช่น กำลังคิดถึง ท่าทางเป็นอย่างไร (บางคนบอกถ้ากำลังคิดถึง ก็คงแบบนั่งเหม่อ คิดถึงอยู่ แบบนี้ไม่ใช่นะคะ 555) กำลังรัก กำลังรู้ กำลังเชื่อ กำลังเป็นเจ้าของ นึกออกมั๊ยคะว่าท่าทางมันเป็นยังไง

** แต่มีข้อยกเว้นอีกแล้วค่ะ!! กริยาบางตัวที่มีหลายความหมาย ในบางความหมายจะเติม ing ได้ เช่น

have – แปลว่า มี เติม ing ไม่ได้
have – แปลว่า กิน เติม ing ได้
เช่น
I’m having lunch.

see – แปลว่า เห็น เติม ing ไม่ได้
see – แปลว่า ไปพบ เติม ing ได้
เช่น
I’m seeing the doctor.

miss – แปลว่า คิดถึง เติม ing ไม่ได้
miss – แปลว่า พลาด ไม่ทัน(รถ) เติม ing ได้
เช่น
I’m missing the bus.

look – แปลว่า ดูเหมือน ดูราวกับว่า เติม ing ไม่ได้ เช่น
It looks good.
look – แปลว่า ดู เติม ing ได้ เช่น
I’m looking at him.

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

Phrasal Verb : take out on

take out on

# Phrasal Verb : take out on

กริยาวลี หรือ สำนวน take out on แปลว่า “ระบาย (ความโกรธ, ความโมโห)
มาดูตัวอย่างกันค่ะ

I know you’ve had a bad day, but there’s no need to take it out on me.
ชั้นรู้ว่าคุณเจอเรื่องแย่ๆมาก แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมาลงกับชั้นเลย

I have nothing to do with your problem, so don’t take it out on me!
ปัญหาของเธอมันไม่เกี่ยวอะไรกับชั้นเลย อย่าเอามันมาลงที่ชั้น!

**
“Someone has problems at home and he takes it out on other people while someone has problems outside and take it out on his family. These make life worse.”

“บางคนเอาปัญหาที่บ้านมาลงกับคนอื่น ในขณะที่บางคนเอาปัญหาจากที่อื่นมาลงที่บ้าน นั่นทำให้ชีวิตแย่ลงไปอีก”

ลองสังเกตดูค่ะ ว่าเราเป็นแบบนี้กันหรือป่าว
ความโกรธหรือความขุ่นข้องหมองใจมันเกิดกับตัวเรา การให้คนอื่นมาช่วยแบ่งปันความโกรธนี้ไป มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้แย่ลง ว่ามั๊ย?? ^^

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

so that กับ so…that ต่างกัน?? หรือ เหมือนกัน??

so that กับ so…that ต่างกัน หรือ เหมือนกัน

so that กับ so…that ต่างกัน?? หรือ เหมือนกัน??

สองตัวนี้ความหมายไม่เหมือนกันนะคะ ลองสังเกต so that สองตัวนี้ดีๆนะคะว่าต่างกันยังไง

** so that ตัวแรกเขียนติดกัน จะแปลว่า “เพื่อที่ว่า…”
เช่น

  • ํSpeak louder so that I can hear what you are saying.
    พูดดังกว่านี้หน่อย ฉันจะได้ได้ยินว่าเธอกำลังพูดอะไร
  • You should stop smoking so that your health will not get worse.
    คุณควรจะหยุดสูบบุหรี่นะ(เพื่อที่ว่า)สุขภาพจะได้ไม่แย่ลงกว่านี้

** so…that ตัวที่สองเขียนแยกกัน โดยมี adj. / adv. คั่นตรงกลาง
เขียนเป็นสูตรคือ so + adj/adv. + that…
ตัวนี้แปลว่า “มากจะกระทั่ง…, มากเสียจน…”

  • She is so beautiful that I can’t keep my eyes off her.
    เธอสวยเสียจนฉันไม่อาจละสายตาจากเธอได้
  • The thief ran so fast that the police couldn’t catch up with him.
    หัวขโมยวิ่งเร็วมากเสียจนตำรวจตามไม่ทัน

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา

สำนวน around the clock

สำนวน around the clock

สำนวน around the clock

สำนวนนี้แปลว่า all the time คือ “ตลอดเวลา, ทั้งวันทั้งคืน” เปรียบเหมือนเข็มนาฬิกาที่หมุนไปรอบๆไม่มีวันหยุดพักไงคะ ^^
เช่น

Is your shop open around the clock?
ร้านเธอเปิดตลอด 24 ชั่วโมงเลยมั๊ย

This station broadcasts news around the clock.
สถานนี้รายงานข่าวทั้งวันทั้งคืนเลย

The police is working around the clock to locate the missing boy.
ตำรวจทำงานกันทั้งวันทั้งคืนเพื่อหาตัวเด็กหาย

** มีสแลงคำหนึ่งที่ใช้ในความหมายนี้เหมือนกันคือ 24/7 (twenty-four seven)
24 มาจาก 24 hours
7 มาจาก 7 days
ทุกชั่วโมง ทุกวัน ก็คือ ตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืนนั่นแหละค่ะ เช่น

I miss you twenty-four seven.
ฉันคิดถึงเธอทั้งวันทั้งคืนเลย

…อย่าลืมติดตามกันได้ในเพจ English 360 องศา