Category Archives: ประโยคสนทนาภาษาอังกฤษ

เจาะลึกการใช้คำว่า even อย่างมืออาชีพ!!

เจาะลึกการใช้คำว่า even อย่างมืออาชีพ!!

เจาะลึกการใช้คำว่า even อย่างมืออาชีพ!!

ในภาษาพูดของภาษาอังกฤษ บางคนอาจจะเคยได้ยินเขาพูดคำว่า even ในประโยคกันบ่อยๆ even อย่างนั้น even อย่างนี้ even อย่างโน้น ถ้าเอามาพูดบ้างน่าจะเข้าท่าแห๊ะ น่าจะดูเหมือนเจ้าของภาษาเขาพูดกัน แต่ก่อนจะนำไปใช้ก็ต้องรู้จักความหมายและการนำไปใช้กันก่อนนะคะว่า even หมายความว่าอะไรได้บ้าง  มาดูที่ ความหมายง่ายๆ ของ even กันก่อนค่ะ

evenแปลว่า จำนวนคู่ก็ได้ เช่น

  • 24 is an even number.
    24 เป็นเลขจำนวนคู่
  • 51 isn’t an even number.
    เลข 51 ไม่ใช่เลขคู่

evenแปลว่า “เสมอ หรือ เท่ากัน” ก็ได้ เช่น

  • My mark and Janie’s mark are even.
    คะแนนของฉันกับคะแนนของเจนี่เท่ากัน
  • I was so upset after I had my hair cut. My new haircut isn’t even.
    ฉันหัวเสียมากๆเลยหลังจากไปตัดผมมา ผมทรงใหม่นี่ไม่เท่ากันเลย

คราวนี้มาถึงความหมายของ even ที่แปลย๊ากยากกันบ้าง เพราะบางทีไปเจอในประโยคก็ไม่รู้จะแปลมันว่าอะไร จริงๆ even เนี่ยไม่ได้มีไว้เท่ๆในประโยคอย่างเดียวนะคะ เพราะมันยังเป็นการพูดให้คนฟังเห็นภาพหรือเป็นการเน้นย้ำ พูดง่ายๆคือเพิ่มอรรถรสทางภาษานั่นเอง

evenถ้าแปลเป็นภาษาพูดของไทยก็จะแปลว่า “แม้แต่, แม้กระทั่ง, ขนาด” เช่น

  • Even Nathan who always comes early is late today.
    ขนาดอีตานาธานที่มาเช้าประจำ วันนี้ยังมาสายเลย
  • Can you see even the kids can do it? Why can’t you do it?
    เห็นมั้ยว่าแม้แต่พวกเด็กๆยังทำได้เลย แล้วทำไมคุณจะทำไม่ได้

evenแปลเป็นภาษาพูดแบบไทยๆ ได้อีกว่า “ด้วยซ้ำ” เป็นการเน้นความหมายของประโยคให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น

  • Martin didn’t even talk to me.
    มาร์ตินไม่คุยกับฉันเลยด้วยซ้ำ
  • How can I call you? I don’t even know your number.
    ชั้นจะไปโทรหาเธอได้ไง แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

เอาละค่ะ รู้การใช้ even กันอย่างนี้แล้วก็นำไปใช้กันได้เลยจ้า ^^

การใช้ yet

การใช้ yet

การใช้ yet

yet  เป็นคำศัพท์ที่มีหลายหน้าที่และหลายความหมาย เราอาจพบเจอ yet ได้ในหลายๆตำแหน่งของประโยค ฟังแบบนี้ปุ๊บก็อาจจะสงสัยว่ามันแปลว่าอะไรได้บ้าง มาดูกันเลยค่ะว่า yet ใช้อย่างไรได้บ้าง

—– yet แปลว่า “ยัง” —–

yet ในความหมายว่า “ยัง” นี้ เราจะเห็นบ่อยในประโยคปฏิเสธหรือประโยคคำถามของ perfect tense แปลว่า ยังไม่ได้ทำสิ่งนี้ หรือ ทำสิ่งนี้แล้วหรือยัง เช่น

  • Have they made up yet?     พวกเขาคืนดีกันหรือยัง
  • She hasn’t got married yet.   หล่อนยังไม่ได้แต่งงาน
  • Has she finished her work yet?    เธอทำงานเสร็จหรือยัง
  • I haven’t eaten anything yet.  ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย

*** แต่บางครั้งเราก็ใช้ใน present tense หรือ past tense ก็ได้ เช่น

  • Did you talk to him yet?      ได้คุยกับเขาแล้วหรือยัง
  • Do you have a car yet?          มีรถสักคันแล้วหรือยัง

—–yet แปลว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดยังไม่เกิดขึ้น—–

ในความหมายนี้อาจจะพบเจอได้ในสองรูปแบบคือ has yet to + verb กับ V. to be yet to + verb เช่น

  • Our attempt has yet to meet their expectation and we need to work harder.
    ความพยายามของเรายังไม่ตรงตามความต้องการของพวกเขาและเราจะต้องทำงานหนักให้มากขึ้น
  • The best moment is yet to come.
    ช่วงเวลาที่ดีที่สุดยังไม่มาถึง
  • His theory is yet to be confirmed.
    ทฤษฎีของเขายังไม่ได้รับการยืนยัน

—–yet ที่เป็นคำเชื่อมประโยค มีความหมายว่า “แต่” “อย่างไรก็ตาม” ——

  • We are totally different, yet we can get along well.
    พวกเราต่างกันมากแต่พวกเราก็เข้ากันได้ดี
  • My sister keeps complaining about the service of this restaurant. Yet, she comes here very often.
    พี่สาวฉันเอาแต่บ่นเรื่องการบริการของร้านอาหารร้านนี้ แต่เจ้าหล่อนก็มากินอาหารที่นี่อยู่บ่อยๆ

——yet ใช้ในความหมายว่า สิ่งๆนั้นเป็นที่สุด—–

  • This will be the most important information yet.
    นี่คงจะเป็นข้อมูลที่สำคัญที่สุดเลย (จนถึงตอนนี้)
  • His project is the best yet.
    โครงการของเขาดีที่สุด

—–yet ใช้ตามหลังคำบอกเวลา เพื่อบอกว่าสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้จะเกิดขึ้นหรือจะเสร็จสิ้นนับจากนี้ไปอีกกี่วัน (เท่าระยะเวลาที่ yet ตามหลัง)——

  • The conference will be held for a week yet.
    การประชุมจะถูกจัดขึ้นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์

—– yet ใช้ในประโยคเปรียบเทียบ เพื่อเน้นว่าสิ่งนี้ใหญ่กว่า ดีกว่า เล็กกว่า แพงกว่า หรืออื่นๆ กว่าอีกสิ่งหนึ่ง—–

  • The house is more expensive yet than any of the others we’ve looked for.
    บ้านหลังนี้แพงกว่าบ้านหลังไหนๆที่เราหาเลย

*** เจอการใช้ yet เข้าไปนี่ถึงกับมึนสักพักใหญ่ๆเลย ยังไงก็ลองค่อยทำความเข้าใจนะคะ

การแสดงการเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นภาษาอังกฤษ

I agree เห็นด้วยในภาษาอังกฤษ

การแสดงการเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นภาษาอังกฤษ

เวลาพูดกับชาวต่างชาติก็อาจจะต้องมีการแสดงความคิดเห็นของเราสอดแทรกเข้าไประหว่างที่สนทนา คือเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด มาดูสำนวนที่ใช้พูดแสดงการเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกันค่ะ

การแสดงการเห็นด้วย

เวลาที่ใครพูดอะไรกับเราแล้วเราเห็นด้วย ก็จะใช้สำนวนดังต่อไปนี้ค่ะ

ถ้าแบบเป็นทางการก็จะใช้ว่า

  • I agree.     ฉันเห็นด้วย
  • I concur.   ฉันเห็นด้วย
  • That’s just what I was thinking.  นั่นเป็นสิ่งที่ผมกำลังคิดเลย
  • That’s exactly my opinion.  นั่นเป็นความเห็นของผมเลย

หรือถ้าเห็นด้วยแบบจริงจังหรือเห็นด้วยสุดๆ ก็จะเพิ่มคำขยายเข้ามาเช่น

  • I totally agree.   เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
  • I definitely agree.    เห็นด้วยอย่างยิ่ง
  • I absolutely agree.  เห็นด้วยอย่างยิ่ง
  • I couldn’t agree more.   เห็นด้วยอย่างที่สุด

แต่ถ้าเป็นการเห็นด้วยแบบกลางๆ ก็มักจะพูดว่า

  • That’s quite right.   ก็น่าจะใช่
  • I quite agree with you.   ฉันค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณ

แต่ถ้าพูดเห็นด้วยแบบไม่เป็นทางการ มักจะใช้สำนวนนี้ค่ะ

  • Yeah! / Right!
  • Definitely!
  • Absolutely!
  • Exactly!
  • That’s right.
  • You’re right.
  • You got it!

ทั้งหมดนี้แปลเหมือนๆกันคือแปลว่า ใช่เลย หรือ นั่นแหละใช่เลย ประมาณนี้ค่ะ

ในบางครั้งเราอาจจะเห็นด้วย แต่ก็อาจจะมีบางครั้งที่เราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนอื่นพูด เราก็สามารถบอกเขาไปได้ ไม่ใช่เห็นด้วยทุกอย่างที่เขาพูดมา โดยจะมีสำนวนในการพูด ดังนี้ค่ะ

  • I disagree.   (บอกไปตรงๆเลยว่าไม่เห็นด้วย สั้นๆง่ายๆได้ใจความ)
  • I’m not sure about that.   (เป็นการแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างอ่อนโยน)
  • That’s good but……
  • I see what you’re saying but…

(เป็นการแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างสุภาพเช่นกัน คือถนอมน้ำใจคนฟังเล็กน้อย ^^)
หรือหากต้องการจบบทสนทนา เพื่อเปลี่ยนเรื่องแต่ยังต้องการบอกว่าเราไม่เห็นด้วยก็สามารถพูดได้ว่า

  • Let’s agree to disagree.
  • I think we’re going to have to agree to disagree.

สองประโยคล่างนี้แปลว่า ฉันว่าเราคงต้องเห็นด้วยที่จะไม่เห็นด้วย

** ใครถนัดสำนวนแบบไหนนำไปใช้ได้เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเห็นด้วยแบบจริงจังหรือธรรมดา หรือแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างตรงไปตรงมา หรืออ้อมค้อมเล็กน้อยเพื่อรักษาน้ำใจคนฟัง แบบไหนที่คุณถนัดก็นำไปใช้ได้เลยค่ะ

ประโยคเสนอแนะหรือชักชวนในภาษาอังกฤษ

เสนอแนะ ชักชวน ภาษาอังกฤษ

ประโยคเสนอแนะหรือชักชวนในภาษาอังกฤษ

สำนวนประโยคที่ใช้ในการเสนอแนะหรือชักชวนในภาษาอังกฤษ มีหลายสำนวนด้วยกัน มีทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ ตัวอย่างเช่น

1. Would you like to…+ V1? (based form)
เป็นคำถามที่ไม่เป็นทางการมากนัก ใช้ในการชักชวนได้โดยถามว่า คุณอยากจะทำนั่นทำนี่มั้ย เช่น

  • I’m having a birthday party this evening. Would you like to come?
    ฉันจะจัดงานปาร์ตี้วันเกิด คุณจะไปมั้ย

2. Why don’t we…+V1? (based form) / Why don’t you…+V1?

มีความหมายว่า “ทำไมเราไม่….” หรือ “ทำไมคุณไม่….” เป็นการเชิญชวนแบบโน้มน้าว โดยจะไม่ค่อยเป็นทางการเท่าไหร่ เหมาะกับเพื่อนหรือคนสนิท เช่น

  • Why don’t we go shopping?
    ทำไมเราไม่ไปช้อปปิ้งกันล่ะ
  • Why don’t you join the competition?
    ทำไมเธอไม่เข้าร่วมการแข่งขันล่ะ

** แต่ประโยค Why don’t สามารถเป็นคำถามธรรมดาได้ โดยหมายถึง ทำไมไม่…เช่น

  • Why don’t you like him?
    ทำไมเธอถึงไม่ชอบเขาล่ะ

3. การใช้ How about + Ving / Noun…..? และ

                    What about + Ving / Noun….?

มักใช้แบบไม่เป็นทางการ เป็นการชักชวนเชิงเสนอแนะว่า ทำอันนี้กันมั้ย เช่น

  • I’m so bored. I have a lot of work to do but I don’t feel like doing anything today.
    ฉันเบื่อมากๆ ฉันมีงานให้ทำอีกเพียบเลย แต่วันนี้รู้สึกไม่อยากทำอะไรเลย
    How about going to the cinema?
    งั้นไปดูหนังกันมั้ย
  • Why don’t we go canoeing this weekend?
    สุดสัปดาห์นี้ไปพายเรือแคนูกันมั้ย
    No, it’s boring.
    ไม่อ่ะ น่าเบื่อจะตาย
  • What about rock climbing?
    งั้นไปปีนเขามั้ย
    That sounds exciting.
    ฟังดูน่าตื่นเต้นดีนะ

4. การใช้ Let’s + V1 (based form) ใช้แบบไม่เป็นทางการกับเพื่อนหรือคนที่สนิท เช่น

  • Let’s go camping.
    ไปตั้งแคมป์กัน
  • Let’s find something to eat.
    ไปหาอะไรกินกัน

5. การใช้ Shall we + V1…? เช่น

  • Shall we go now?
    เราไปกันเดี๋ยวนี้เลยมั้ย
  • Shall we take a break?
    เราพักสักหน่อยมั้ย

ประโยคทั้งหลายเหล่านี้เอาไว้ใช้ในการชักชวน เสนอแนะได้หมดค่ะ ลองฝึกใช้ให้หลากหลายดูนะคะ ^^

ประโยคขอร้อง (Request) ในภาษาอังกฤษ

ประโยคขอร้อง (Request)

ประโยคขอร้อง (Request) ในภาษาอังกฤษ
ประโยคอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้บ่อยคือ  ประโยคขอร้อง  การขอร้องให้ผู้อื่นทำอะไรก็ควรพูดให้สุภาพเข้าไว้  จะไปพูดห้วนๆ กระโชกโฮกฮากเขาก็คงจะไม่ช่วยเรา  การขอร้องมีหลายระดับตั้งแต่ขอร้องเชิงคำสั่ง  ขอร้องแบบสุภาพและสุภาพมาก

1.  ประโยคคำสั่ง (Command)  คือประโยคสั่งให้ทำ  ซึ่งประโยคคำสั่งจะขึ้นต้นด้วยคำกริยาได้เลย  ไม่มีประธานค่ะ    ถ้าเติม please เข้าไปก็จะเป็นการขอร้องให้ทำ  เช่น

  • Please turn on the light.
    กรุณาเปิดไฟหน่อย
  • Sit down, please.
    กรุณานั่งลง
  • Please don’t park here.
    กรุณาอย่าจอดรถที่นี่

2.  ประโยคขอร้องแบบคำถาม  ประโยคแบบนี้จะใช้กันบ่อยที่สุด เพราะแสดงถึงความสุภาพมากกว่าแบบแรก  ประโยคคำถามที่ใช้ก็มีหลายแบบอีกเช่นกัน  คือ

2.1  Yes/No question

  • Will / Can you………….,please?
  • Would / Could you……………,please?  (สุภาพกว่า will / can)
  • Do you mind…..? / Would you mind……..?

เช่น

  • Would you mind opening the door?
    คุณจะรังเกียจมั้ยที่จะเปิดประตูให้หน่อย
  • Could you tell me the way to the nearest hospital please?
    ช่วยบอกทางไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดให้หน่อยได้มั้ย

2.2 Indirect question

  • I wonder if you……….
  • I wonder If you’d mind……..

เช่น

  • I wonder if you help me with this.
    ไม่ทราบว่าคุณจะช่วยฉันทำนี่หน่อยได้มั้ย
  • I wonder if you’d mind opening this can.
    ไม่ทราบว่าคุณจะช่วยเปิดกระป๋องนีให้หน่อยได้มั้ย

2.3  Tag question

……… ,will you?
……… ,won’t you?

เช่น

  • Speak louder, will you?
    พูดให้ดังกว่านี้หน่อยได้ไหม

ในกรณีที่เราเป็นผู้ขอร้องก็เอาประโยคด้านบนไปใช้ได้โลดเลย  แต่ถ้าบังเอิญมีใครมาขอร้องเราเพราะคิดว่าเราจะช่วยเขาได้ เราก็ต้องตอบรับคำขอร้องด้วยว่าได้หรือไม่นะคะ  ถ้าเรายินดีช่วยเขา ก็มีคำตอบหลากหลายที่สามารถตอบได้  เช่น

  • Yes, of course.
  • Certainly.
  • Sure.
  • With pleasure.
  • I’d be glad to.

**  แต่ระวังไว้นิดนึงนะคะ  ถ้าเกิดเขาถาม

would you mind……?  คุณจะรังเกียจไหมที่จะ……..

อันนี้ถ้าเรายินดีช่วย  อย่าไปตอบ yes นะคะ  เพราะนั่นหมายถึงคุณไม่อยากจะทำ  ให้ตอบว่า No  คือ ไม่  (ไม่รังเกียจที่จะทำให้นั่นเอง)
แต่ถ้าเกิดว่าเราช่วยเขาไม่ได้ ก็มีวิธีการตอบปฏิเสธเหมือนกัน  เช่น

  • I’m sorry………..           ขอโทษ………
  • I’m afraid…………..        ฉันเกรงว่า……….
  • I wish I could but…………..    ฉันอยากจะทำให้เหมือนกัน แต่ว่า…….

การใช้ who, whom ในการตั้งคำถาม

การใช้ who, whom ในการตั้งคำถาม

การใช้  who, whom ในการตั้งคำถาม

Who กับ Whom  มีหลายคนงงว่าใช้ยังไง  ในกรณีนี้จะพูดถึงเฉพาะการนำมาตั้งคำถามนะคะ   Who กับ Whom  แปลว่า  “ใคร”   โดย

Who ———–  ตั้งคำถามที่เป็นประธาน
Whom ——— ตั้งคำถามที่เป็นกรรม

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจคำว่าประธาน กับ กรรม กันก่อน    ประธานคือผู้แสดงการกระทำ  ส่วน กรรม  คือผู้ถูกกระทำ   ลองเปรียบเทียบจากสองประโยคนี้ค่ะ

“ใครให้เงินคุณ?”          “คุณให้เงินกับใคร?”

ประโยคแรก  “ใครให้เงินคุณ?”    ใครเป็นประธาน  เพราะทำกริยา ให้   ฉะนั้นประโยคนี้เวลาจะถามต้องใช้  who  คือ

  • Who gave money to you?

ประโยคที่สอง  “คุณให้เงินกับใคร ?”    ใครเป็นกรรม  เพราะถูกให้เงิน  (รับการกระทำ)  เวลาถามประโยคนี้ต้องใช้  whom  คือ

  • Whom did you give money?

โครงสร้างในการตั้งคำถามที่ใช้  who  มักจะเป็น

Who + คำกริยา + (กรรม) + ………….?

เพราะเมื่อ who  ใช้ตั้งคำถามที่เป็นประธาน  ก็สามารถตามด้วยกริยาได้เลย  โดยเรียงลำดับคำเหมือนประโยคบอกเล่า   เช่น

  • Who loves you?
  • Who is sitting next to Josh?
  • Who ate my cake in the fridge?

แต่  Whom จะมีโครงสร้างดังนี้

Whom + กริยาช่วย + ประธาน + กริยา + …..?

แต่เมื่อใช้  Whom ในการสร้างประโยคคำถาม จะเรียงโครงสร้างเหมือนประโยคคำถามทั่วไปคือ   กริยาช่วยมาก่อนประธาน  เช่น

  • Whom were you talking to when I arrived here?
  • Whom did you see last night?
  • Whom will you go with?

แต่ถ้าเป็นภาษาพูดทั่วๆไป  ฝรั่งอาจจะใช้ who แทน whom ไปเลยก็ได้ ไม่แยกว่าใครเป็นประธานเป็นกรรมให้วุ่นวาย  เพราะเข้าใจได้เหมือนกัน (ฝรั่งเขาก็แอบขี้เกียจนะเออ!)  แต่ถ้าจะให้เป๊ะไวยากรณ์จริงๆ  ก็จะแยกใช้ who กับ whom  ค่ะ  ส่วนใหญ่มักเจอในภาษาเขียนมากกว่า  เพราะเวลาพูดการจะมาแยก ประธาน กรรม แล้วต้องมาเรียงประโยคอีก  ลำดับคำอีก  กว่าจะพูดจบคนฟังก็ไปซะแล้ววววว  เอาที่สบายใจเถอะค่ะ ^^

การใช้ what ในการตั้งคำถาม

What ในภาษาอังกฤษ

การใช้  what  ในการตั้งคำถาม

การตั้งคำถามในภาษาอังกฤษมี 2 ประเภทคือ คำถามแบบ yes/no question  และ  คำถามแบบ wh-question ซึ่งต้องการคำตอบที่บอกรายละเอียด  และคำแสดงคำถามแบบ wh-question ที่นึกถึงเป็นคำแรกๆเลยคือคำว่า what   ซึ่งใครๆก็รู้ว่า แปลว่า “อะไร”   แต่พอจะเอามาใช้ตั้งคำถามนี่สิ!!  มันก็เริ่มต้นไม่ค่อยจะถูก   เรามาดูโครงสร้างการตั้งคำถามโดยใช้ what กันค่ะ

1. What +v. to be +คำนาม?
ส่วนใหญ่เรามักจะใช้โครงสร้างนี้ในการถามชื่อ  ถามที่อยู่  ถามอาชีพ  ถามสัญชาติ หรืออื่นๆ เช่น

  • What is your name?        คุณชื่ออะไร
  • What are their names?    พวกเขาชื่ออะไรกันบ้าง
  • What is your nationality?    สัญชาติของคุณคืออะไร
  • What is your father?        พ่อของคุณเป็นอะไร (ทำอาชีพอะไร)
  • What is the biggest animal in the world?   สัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกคืออะไร

2.  What + กริยาช่วย +  ประธาน + กริยาแท้….?
กริยาช่วยและกริยาแท้ในที่นี้จะเปลี่ยนไปตาม tense  เช่น

  • What are you talking about?    คุณกำลังพูดเรื่องอะไร
  • What does she like to eat?        หล่อนชอบกินอะไร
  • What does your father do?     พ่อของคุณทำอาชีพอะไร
  • What will you do in next 5 years?  คุณจะทำอะไรในอีก 5 ปีข้างหน้า

3.  เราสามารถใส่ คำนาม ตามหลัง what ได้  คือ    what + noun    ในกรณีที่เราต้องการถามว่า   (นาม)อะไรที่….?  เช่น

  • What color do you like?            สีอะไรที่คุณชอบ
  • What color is your car?            รถของคุณสีอะไร
  • What kind of job do you want?        งานแบบไหนที่คุณต้องการ
  • What size is this shirt?            เสื้อเชิ้ตตัวนี้ไซส์อะไร
  • What day is today?                วันนี้วันอะไร

** ในกรณีนี้อาจจะใช้ which แทน what ก็ได้   Which สามารถตามด้วย สิ่งของหรือคนก็ได้ คือ Which + สิ่งของ/คน  เช่น

  • Which doctor did you see, Dr. Ellis or Dr. Smith?
    เธอไปหาหมอคนไหนมา ดร. เอลลิส หรือ ดร. สมิธ
  • Which way shall we go?
    เราจะไปทางไหนกันดี

What จะให้ความหมายที่กว้างกว่า which  โดยที่ถ้าเราใช้ which มักจะมีให้เลือกอยู่ไม่กี่อย่าง

No กับ Not ใช้ต่างกันอย่างไร

No กับ Not ใช้ต่างกันอย่างไร

No กับ Not  ใช้ต่างกันอย่างไร
คนส่วนใหญ่ก็มักจะคิดว่า  No แปลว่า “ไม่”  Not ก็แปลว่า  “ไม่”  มันก็คงจะใช้เหมือนๆกันนั่นแหละ  แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยค่ะ   คำว่า No  แปลว่า ไม่ แค่ตอนตอบคำถามที่เป็น Yes/No question เท่านั้น

  • Do you have any money?     No,  I don’t.
  • Will you go out tonight?      No, I won’t.

แต่ถ้าไปเจอ no ที่อื่นมันจะไม่ได้แปลว่า ไม่  แล้วค่ะ  แต่แปลว่า  “ไม่มี” ต่างหาก   เวลาใช้ก็แค่เอาไปวางไว้หน้าคำนาม  แล้วนามนั้นก็จะอันตรธานหายไป  ไม่มีโดยทันที  เช่น

  • I have no idea.
  • I had to walk home last night because there was no bus.
  • Hurry up! We have no time left.
  • No student passes math exam.

มาดูทางฝั่ง  not  กันบ้าง   not  เนี่ยแหละค่ะที่แปลว่า ไม่ ตัวจริงเสียงจริง  ใช้ในความหมายปฏิเสธโดยใช้คู่กับคำกริยา หรือ  คำคุณศัพท์  หรือ คำนาม   แต่!!  กฎคือ มันจะเข้ามาเสียบหน้าคำพวกนี้ลอยๆไม่ได้  มันต้องมีตัวช่วยเข้ามาวางไว้หน้า not  นั่นก็คือ  กริยาช่วย (Auxiliary verb)  นั่นเองค่ะ  มีทั้ง  Verb to be, Verb to do, Verb to have, และ modal verb  ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มี not ตามหลังได้เลยในความหมายปฏิเสธ  เช่น

  • Susie does not speak French.
  • I do not need your help.
  • You are not my boss.
  • She is not tall.
  • You should not wear shoes in Japanese home.

แต่เป็นธรรมดาของภาษาอังกฤษ  ตั้งกฎนู่นกฎนี่กฎนั่นมาตั้งมากมาย แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ดี  ข้อยกเว้นของการใช้  not ก็คือ  มันสามารถไปวางไว้หน้านามได้เหมือนกัน  แปลกไหมล่ะ  แต่มีข้อแม้ว่านามนั้นต้องมีคำบอกจำนวนอยู่ข้างหน้า  เช่น

  • Not many people are allowed to enter the stadium.
  • Not much sugar was used in this dish.

นอกจากนี้ในบางกรณี  ก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้  no หรือ not  เช่น

  • There was not any food left in the kitchen.
  • There was no food left in the kitchen.

สองประโยคนี้ความหมายเหมือนกันค่ะ คือแปลว่า ไม่มีอาหารเหลืออยู่ในห้องครัว

  • I have no money.
  • I don’t have any money.

สองประโยคนี้ก็มีความหมายเดียวกัน  ซึ่ง don’t ก็คือ do not ที่เป็นรูปย่อ  แต่ข้อควรระวังคือ  อย่าเอาสองคำนี้มาใช้รวมกันเด็ดขาด  คือ  I don’t have no money.  อย่างนี้ผิดค่ะ  เพราะ ถ้าจะใช้ no ก็ไม่ต้องมี don’t ข้างหน้าแล้ว  เพราะ no มีความหมายเป็นปฏิเสธอยู่แล้ว กริยาจึงต้องเป็นรูปประโยคบอกเล่า  แต่ถ้าจะใช้  don’t  ก็อย่าเอา  no  มาทับซ้อนกัน   ใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้นค่ะ  ประมาณว่า  เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้  ^^

คำย่อในภาษาอังกฤษ แบบไม่เป็นทางการ (Informal Contractions)

คำย่อในภาษาอังกฤษ แบบไม่เป็นทางการ
How ya doin'?
How ya doin’?

การพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน บ่อยครั้งที่ชาวต่างชาติมักจะพูดคำย่อที่ไม่เป็นทางการ หรือเป็นภาษาพูดในการพูดคุยกัน เพื่อให้คำพูดนั้นดูสั้นลง และกระทัดรัด หากเราไม่รู้จักคำย่อเหล่านี้เราก็อาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่ชาวต่างชาติต้องการสื่อสาร  วันนี้เรามารู้จักคำย่อต่างๆ เหล่านี้กันครับ

ตัวอย่างคลิปวีดีโอ How Native Speakers Use Gonna, Wanna & Gotta จาก https://reallifeglobal.com/

ตัวอย่างคำพูดย่อ

  • you = ya (ยา) ==> How ya doin’? (How are you doing?)
  • am not/are not/is not = ain’t (เอ๊นทฺ) ==> I ain’t sure.
  • will not = won’t (โว็ทฺ)
  • do not = dona (โด็นา)
  • don’t you = dontcha
  • its = tis (ทิซฺ)
  • has not/have not = ain’t (เอ๊นทฺ) ==> I ain’t done it.
  • give me = gimme (กิมมี) ==>  Can you gimme a hand?
  • come on = cmon (คะมอน)
  • don’t know = dunno (ดะโน)
  • let me = lemme (เล๊มมี) ==> Lemme go!
  • out of = outta (เอ๊าท์ดะ)
  • could have = coulda (คู๊ลดะ)
  • should have = shoulda (ชู๊ดดะ)

Continue reading

ศัพท์ภาษาอังกฤษ สัตว์บก (land animals vocabulary)

ศัพท์ภาษาอังกฤษ สัตว์บก

ศัพท์ภาษาอังกฤษ สัตว์บก (land animals vocabulary)

alpaca อัลปาก้า
alpaca อัลปาก้า

ศัพท์ที่ควรรู้

  • animal (แอ๊นนิมอล) สัตว์
  • ant (แอ๊นทฺ) มด
  • antelope (แอ๊นโทลโลพฺ) ละมั่ง
    antelope (แอ๊นโทลโลพฺ) ละมั่ง
    antelope (แอ๊นโทลโลพฺ) ละมั่ง
  • ape (เอ๊พฺ) ลิงชนิดไม่มีหาง
    ape (เอ๊พฺ) ลิงชนิดไม่มีหาง
    ape (เอ๊พฺ) ลิงชนิดไม่มีหาง
  • baboon (บาบู๊น)  ลิงบาบูน
  • badger (บ๊าเจอรฺ) แบดเจอร์
    badger แบดเจอร์
    badger แบดเจอร์
  • bear (แบรฺ) หมี
  • black bear (แบ็ลคแบรฺ) หมีดำ
black bear (แบ็ลคแบรฺ) หมีดำ
black bear (แบ็ลคแบรฺ) หมีดำ
  • beaver (บี๊เฝอรฺ)  บีเวอร์
    beaver (บี๊เฝอรฺ) บีเวอร์
    beaver (บี๊เฝอรฺ) บีเวอร์
  • bison (ไบเซิน) กระทิง
    bison กระทิง
    bison กระทิง

Continue reading